บทที่ 59: นักล่าวิญญาณ (1)
เขาต้องปัดเป่าวิญญาณอาฆาตอีกห้าตนเท่านั้น ก็จะสามารถบรรลุเป็นขั้นนักล่าวิญญาณ…และก็ยังเหลือเขตไล่ล่าอีกหกเขต…
เวลาและทรัพยากร…ทั้งหมดอยู่เคียงข้างเขา!
หลักฐานยืนยันตัวตนยมทูตลอยกลับเข้าไปในอก จากนั้น ขณะที่เขากำลังจะเดินกลับลงไปด้านล่างของอาคาร แววตาของเด็กหนุ่มก็ต้องสั่นไหวอย่างรุนแรง
ดวงวิญญาณหยิน!
กลุ่มก้อนของวิญญาณหยินจำนวนมาก!
ดวงวิญญาณหยินที่อยู่โดยรอบทั้งหมด ต่างกำลังมุ่งหน้าตรงมาที่อาคารที่เขาอยู่ราวกับน้ำท่วม แต่ละตนล้วนถือโคมไฟสีแดงที่มีคำว่า “เชา” เขียนติดอยู่ขณะที่มุ่งหน้ามาจากทั่วทุกสารทิศ
สูงราวภูเขาและกว้างใหญ่ราวมหาสมุทร พวกมันต่างมาบรรจบกันที่นี่ราวกับเมฆฝนฟ้าคะนองที่เข้ามาบดบังแสงจากดวงอาทิตย์
“เห้อ~ ทั้ง ๆ ที่เขาไม่ใช่คนโง่ แต่การตอบโต้แบบนี้มันไม่ต๊อกต๋อยไปหน่อยเหรอ?” ฉินเย่เก็บกระบี่ปีศาจของตนขึ้นมาจากพื้นพร้อมกับพลังหยินที่ปะทุออกมาจากร่าง “แต่สงสัยจริง ๆ ว่าเขาถึงขีดจำกัดแล้วจริงหรือว่าเขารู้ความจริงเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว?”
เสียงของน้ำลายไหลดังก้องไปทั่วอย่างน่าขนลุก ดวงตาแดงก่ำหลายคู่ต่างหันไปมองยังดาดฟ้าที่ยันต์จำนวนนับไม่ถ้วนกำลังปลิวไหวอย่างรุนแรง
มันแทบจะเหมือนกับว่าสีของมันได้แต่งแต้มให้ท้องฟ้าถูกฉาบด้วยสีแดง
พรึ่บบบ…เครื่องแบบของยมทูตที่ฉินเย่สวมอยู่กระพืออย่างรุนแรงขณะที่เปลวไฟสีเขียวหยกบนกระบี่ปีศาจยังคงลุกโชนอย่างต่อเนื่อง เปลี่ยนให้บรรยากาศโดยรอบให้ดูตึงเครียดเป็นอย่างมาก
โฮกกกกก!!! จากนั้น พร้อมกับเสียงคำรามที่ทำให้แผ่นดินสะเทือน ดวงวิญญาณหยินนับพันพุ่งตัวขึ้นไปที่ชั้นดาดฟ้าอย่างบ้าคลั่งราวกับฝนอุกกาบาตที่ตกลงมาจากฟ้า
กำจัด ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม!
ฟึ่บ! เปลวไฟสีเขียวหยกพุ่งออกไปจากกระบี่ปีศาจ เปลี่ยนให้ดวงวิญญาณหยินที่อยู่ใกล้ ๆ กลายเป็นเถ้าถ่านภายในพริบตา น่าเสียดายที่จำนวนดวงวิญญาณที่ถูกทำลายไปนั้นมีเพียงหยดเดียวของทั้งมหาสมุทรเท่านั้น ทันทีที่คลื่นลูกแรกถูกกำจัดไป คลื่นลูกใหม่ก็ถาโถมเข้ามาทันที
ใช่แล้ว วิญญาณหยินธรรมดา ๆ ไม่มีความสามารถในการป้องกันอะไรอยู่แล้ว ร่างกายของมนุษย์ประกอบไปด้วยสมดุลระหว่างหยินและหยาง การสัมผัสกับดวงวิญญาณหยินอย่างต่อเนื่องทำให้เกิดการสะสมของพลังงานร้ายและก่อโรคร้ายในร่างกาย เมื่อพลังร้ายพวกนี้สะสมจนถึงจุดสูงสุด ไฟชีวิตที่อยู่ภายในร่างจะถูกดับลง ส่งผลให้คนคนนั้นตายไปในทันที
เห็นได้ชัดว่าเชาโยวเต๋าตั้งใจที่จะกำจัดฉินเย่ ด้วยกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด
ดังนั้นดวงวิญญาณหยินจำนวนมาก จึงมุ่งหน้าที่ชั้นดาดฟ้าและพุ่งตรงเข้าหาฉินเย่โดยไม่คำนึงถึงระยะการโจมตีของเด็กหนุ่ม ราวกับระเบิดพลีชีพไม่มีผิด พวกมันมีจำนวนเยอะเกินไป…อันที่จริง มันมีมากเสียจนเปลวไฟสีเขียวหยกรอบกระบี่ปีศาจเริ่มสั่นไหว! กลุ่มวิญญาณหยินนับหมื่นตน!
ทันใดนั้นเอง…
ขณะที่ฉินเย่ยังคงคิดหาวิธีที่ดีที่สุดในการทำลายวงล้อมของดวงวิญญาณหยินพวกนี้ เสียงตะโกนของใครบางคนก็ดังขึ้นจากเครื่องกระจายเสียงที่อยู่ห่างออกไปประมาณ 50 เมตร “ยิง!!!”
ทันใดนั้น ลูกศรนับพันที่ผูกด้วยยันต์ที่กำลังลุกไหม้ก็พุ่งผ่านท้องฟ้ามาจากรอบ ๆ ของอาคารจนดูคล้ายกับหิ่งห้อย แต่งแต้มค่ำคืนอันมืดมิดด้วยแสงไฟก่อนจะพุ่งตรงไปในฝูงวิญญาณหยิน!
เวลานี้…ท้องฟ้าเป็นเหมือนกับสนามเด็กเล่นของเหล่าดวงวิญญาณหยิน วิญญาณนับหมื่นลอยวนอยู่รอบ ๆ อาคาร และพลังหยินที่แผ่ออกมาจากการรวมตัวกันของดวงวิญญาณทั้งหมดก็ได้ก่อให้เกิดพายุทอร์นาโดขนาดใหญ่ที่หมุนวนอยู่บนชั้นดาดฟ้าของอาคาร โคมไฟสีแดงจำนวนนับไม่ถ้วนที่ประดับอยู่บนท้องฟ้าอันมืดมิด ทำให้เกิดเป็นภาพที่น่าสยดสยองมากยิ่งขึ้น ทว่าทันทีลูกศรจำนวนมากถูกยิงมา ดวงวิญญาณที่อยู่วงนอกก็ถูกกำจัดไปอย่างรวดเร็ว
“นี่มัน…” ฉินเย่ผงะไป และเผลอคลายมือที่จับกระบี่ปีศาจอยู่ เขาไม่คิดเลยว่ากองทัพของจีนจะให้การสนับสนุนเขาในวินาทีสำคัญแบบนี้
เด็กหนุ่มหันไปมอง และพบว่าในเวลานี้ รอบ ๆ อาคารที่เขายืนอยู่ได้ถูกล้อมรอบโดยรถยนต์จำนวนมากซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณร้อยเมตร และรถทุกคันก็มีไฟสัญญาณเปิดอยู่ เจ้าหน้าที่จำนวนมากต่างอยู่ในชุดลายพรางและชุดตำรวจ ฉินเย่สามารถบอกได้เลยว่าในบรรดาเจ้าหน้าที่ทั้งหมด มีเจ้าหน้าที่ที่เป็นผู้ฝึกตนผู้ซึ่งสามารถปล่อยพลังปราณออกมาจากร่างได้ประมาณ 100 คน
ในวินาทีต่อมา เขาก็สัมผัสได้ถึงภัยคุกคามที่ร้ายแรงที่กำลังเข้ามาใกล้ และแทบจะทันที เขาเก็บกระบี่ปีศาจและเปลี่ยนจากร่างยมทูตกลับเป็นร่างปกติในชุดลายพรางเหมือนอย่างก่อนหน้านี้ วินาทีต่อมา เขาก็รู้สึกถึงสายตาที่จับจ้องมาที่ร่างของตน
กึก!!
ร่างกายของเขาทรุดลงอย่างไม่สามารถควบคุมได้เมื่อสายตาของอีกฝ่ายจับจ้องมา มันแทบจะเหมือนกับมีภูเขาลูกใหญ่หล่นลงมาทับ
อันที่จริง ฉินเย่ไม่ใช่เพียงคนเดียวที่ประสบกับแรงกดดันพวกนั้น ดวงวิญญาณหยินทั้งหมดในเมืองเป่าอันเองก็เงียบไปครู่หนึ่ง และที่ชั้นใต้ดินของมหาวิทยาลัยอันฮุ่ย เชาโยวเต๋าเงยหน้าขึ้นและอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง
“นี่มัน…ขั้นยมทูตขาวดำ! ผู้ตรวจการอย่างนั้นเหรอ?!”
หากออร่าที่แผ่ออกมาจากร่างของฉินเย่เทียบได้กับแสงสว่างจากหิ่งห้อย ออร่าความกดดันที่แผ่ออกมาจากร่างของบุคคลลึกลับผู้นี้ ก็คงจะเทียบได้กับดวงจันทร์ที่ส่องสว่างอยู่บนท้องฟ้า ที่มองดูเมืองเป่าอันจากมุมสูง มันคล้ายกับว่าเจ้าของออร่านี้ต้องการเพียงแค่ปล่อยออร่าของตนออกมาเพียงชั่วครู่เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดภายในเมืองเป่าอันอย่างละเอียด
ฟึ่บ…แรงกดดันจากออร่าปกคลุมไปทั่วทั้งชั้น แต่ฉินเย่กลับไม่ได้มีท่าทีตื่นตระหนกเลยสักนิด เขาคิดเอาไว้แล้วว่าเหตุการณ์แบบนี้จะต้องเกิดขึ้น และเขาก็รู้ดีว่ามันคืออะไร หากความรุนแรงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในเมืองชิงซีอยู่ในระดับที่ต้องได้รับการจัดการจากนักพรตเต๋าที่มีความสามารถขั้นยมทูตขาวดำ ขนาดของความโกลาหลที่เกิดขึ้นในเมืองเป่าอันก็ย่อมต้องเป็นนักพรตขั้นยมทูตขาวดำเท่านั้นที่จะต้องมาที่นี่ อันที่จริง หากคืนนี้จะมีผู้เชี่ยวชาญระดับนั้นมาที่นี่มากกว่าหนึ่งคน มันก็ยังดูสมเหตุสมผลด้วยซ้ำ!
“กล้าดีนี่…” ท่ามกลางเหล่าเจ้าหน้าที่ทั้งหมด ชายชราร่างผอมคนหนึ่งค่อย ๆ ถอดเสื้อคลุมของตนออกและมองไปยังกระแสวังวนของพลังหยินที่ก่อตัวขึ้นบนฟ้า แสยะยิ้มและเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า “เพราะพยัคฆ์ไม่ยอมแสดงความน่ากลัวที่แท้จริงของมันออกมา….มันเลยโดนหยามหน้าแบบนี้สินะ?!”
แต่ก่อนที่เขาจะเอ่ยจบ ชายสูงวัยก็ใช้มือตบลงบนรถจิ๊บที่ตนนั่งอยู่และพุ่งตัวขึ้นไปบนฟ้าราวกับลูกศรที่ถูกยิงออกไป
“ตระกูลหลิว ตระกูลคนขับรถขนศพอันดับ 1 ในมณฑลเสฉวน! ตาแก่คนนี้จะเป็นคนส่งพวกเจ้ากลับไปที่นรกเอง!”
ในเวลานี้ ฉินเย่กำลังพินิจการเคลื่อนไหวของชายสูงวัยผู้มาใหม่ ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะดูเหมือนบินได้ แต่ความจริงแล้วก็คือตัวของเขานั้นเบามาก และการก้าวแต่ละครั้งก็ทำให้เขาสามารถเคลื่อนที่ได้ระยะกว่าสิบเมตร มันจึงทำให้ดูราวกับว่าร่างของเขานั้นไร้น้ำหนักอย่างสมบูรณ์
และทันทีที่เขาก้าวเท้าออกมาจากรถจิ๊บ ผู้ฝึกตนอีกประมาณ 30 กว่าคนที่สวมเครื่องแบบเต๋าสีเหลือและผ้าพันคอหยินหยางต่างก็พุ่งตัวออกมาเช่นกัน พวกเขาแต่ละคนล้วนถือเชือกยาวเส้นหนึ่งที่มีกระดิ่งห้อยอยู่เต็มไปหมด หลังจากที่พุ่งขึ้นมาบนอากาศประมาณสิบเมตร คนทั้งหมดก็เริ่มสะบัดแขน เชือกยาวที่อยู่ในมือเริ่มผสานเข้าด้วยกัน ก่อตัวเป็นตาข่ายขนาดใหญ่ที่ลอยขึ้นไปบนฟ้า กรุ้งกริ้ง….เสียงกระดิ่งดังก้องพร้อมกับตาข่ายขนาดใหญ่ที่ปกคลุมไปทั่วอาคารเก่าทั้งหลัง
ฟรึ่บ!!…เชือกทั้งหมดรัดแน่นเข้าพร้อมกัน และวินาทีนั้นเองที่ทุกคนเห็นว่าจริง ๆ แล้วเชือกเส้นเล็กพวกนี้ทั้งหมดล้วนห้อยลงมาจากโลงศพโลงหนึ่ง!
มันคือโลงศพที่ถูกปกคลุมไปด้วยยันต์จำนวนมาก
โลงศพที่ลอยอยู่บนฟ้า!
“ทำไมเจ้ายังไม่ไปอีก? อยากจะตายหรืออย่างไร?” ฉินเย่กำลังตกตะลึงกับการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ฝึกตนทั้งหมดขณะที่เขาได้ยินเสียงพูดของชายสูงวัยดังก้องอยู่ในหู เด็กหนุ่มกลับมาได้สติอีกครั้งทันที สถานที่แห่งจะกำลังจะกลายเป็นสนามรบระหว่างผู้ฝึกตนขั้นยมทูตขาวดำและดวงวิญญาณหยินนับสิบล้าน หากเขายังอยู่ที่นี่ต่อมันจะต้องถือว่าเป็นหายนะสำหรับเขาแน่ ๆ
เขารีบออกไปราวกับปลาไหล ทันทีที่ลงไปถึงด้านล่าง คลื่นพลังหยินอันทรงพลังก็เริ่มแผ่ออกมาจากโลงศพที่ลอยอยู่กลางอากาศ
ความรู้สึกที่สัมผัสได้ในตอนนี้นั้นราวกับอาชูร่านับร้อย ที่กำลังฟื้นคืนกลับมาจากความตาย
ฉินเย่ไม่คิดที่จะรีรออีกต่อไป เขารีบหนีออกจากบริเวณนั้นด้วยพลังทั้งหมดที่มี ทันทีที่เขาออกมาได้ บนท้องฟ้าพลันเกิดเสียงคำรามดังสนั่นขึ้น และดวงวิญญาณหยินจำนวนนับไม่ถ้วนก็ร่วงหล่นลงจากท้องฟ้าราวกับดาวตก!
กองกำลังหลักที่ยืนหยัดต่อสู้กับกลุ่มดวงวิญญาณหยิน คือหุ่นศพจำนวนหนึ่งร้อยตัวที่แต่งตัวด้วยชุดสมัยราชวงศ์ฉิงพร้อมกับแผ่นยันต์สีเหลืองที่ถูกติดอยู่กลางหน้าผาก หุ่นทั้งหมดพุ่งเข้าปะทะทันที!
ตู้ม ตู้ม ตู้ม!! เสียงระเบิดดังขึ้น พื้นดินโดยรอบสั่นสะเทือน ตามมาด้วยคลื่นกระแทกที่ขยายออกไปเป็นระยะ 100 เมตรจากการปะทะกันอย่างรุนแรงระหว่างพลังหยินและพลังปราณ นอกจากนี้ การระดมยิงลูกศรนับพันเข้าไปในสนามรบทุก ๆ 20 วินาทีก็ทำให้ท้องฟ้าสว่างไสวไปด้วยแสงประกายมากมาย เกิดเป็นภาพที่น่าเหลือเชื่อ
ทว่าฉินเย่ก็ไม่แม้แต่ละหยุดลงเลยแม้แต่น้อย
อะดรีนาลีนของเขาสูบฉีด ทุกอย่างกำลังดำเนินไปสู่จุดสูงสุด…
ด้วยการมาถึงของผู้ฝึกตนขั้นยมทูตขาวดำ โลกมนุษย์ถูกผลักให้กลับมาเป็นปกติในท้ายที่สุด พวกเขาเกาะแน่นอยู่กับกองกำลังวิญญาณของเชาโยวเต๋า ซึ่งบังเอิญเป็นการช่วยซื้อเวลาให้ฉินเย่ได้ทำในสิ่งที่เขาจำเป็นต้องทำอย่างพอดิบพอดี!
“เราต้องการแต้มกุศลอีกแค่ 60 แต้มเท่านั้น….ชางโยวเต๋า ข้าล่ะอยากรู้จริง ๆ ว่าท่านจะมีสีหน้าเช่นไรเมื่อข้าสามารถเลื่อนสู่ขั้นนักล่าวิญญาณได้ในท้ายที่สุด…”
23.15 นาที เขตไล่ล่าแปดเขตถูกทำลายลง!
“ปัดเป่าวิญญาณอาฆาตหนึ่งตน: แต้มกุศล +20”
“แต้มสะสมปัจจุบัน: 140 แต้มกุศล จำนวนแต้มที่ต้องใช้สำหรับการเลื่อนขึ้นสู่ขั้นนักล่าวิญญาณ: 60 แต้มกุศล”
ในขณะเดียวกัน ณ จัตุรัสเป่าอัน วิญญาณหยินกว่า 2 หมื่นตนได้รวมตัวกันและเริ่มมุ่งหน้าไปที่จัตุรัสกลาง คู่ต่อสู้ของพวกมันคือกองทหารจีนและกองกำลังเสริมที่มาพร้อมกับเหล่าผู้ตรวจการที่ประกอบด้วยผู้ฝึกตนขั้นยมเทพ 20 คนและผู้ฝึกตนฝึกหัดอีก 78 คน หลอดไฟของกองทัพฉายไปที่กลุ่มก้อนพลังหยินสีขาวอมเขียวอย่างไม่มีใครยอมใคร
12.39 นาที
ตู้ม!! เสียงระเบิดดังขึ้น พื้นดินเต็มไปด้วยร่องรอยของใบมีดที่ลากไปตามพื้น ผีผู้หญิงในชุดกระโปรงสีขาวกรีดร้องออกมาอย่างน่าสังเวช ขณะที่ร่างของนางถูกฟันออกเป็นสองส่วนและสลายหายไปในท้องฟ้ายามค่ำคืน
เขตไล่ล่าที่ 5 ได้ถูกทำลายลง!
ฉินเย่ยืนอยู่บนสุสานชั้นบนของเมืองเป่าอัน ครืนนน! พื้นที่โดยเริ่มสั่นไหวเล็กน้อยขณะที่เปลวไฟสีเขียวหยกพุ่งออกไปจากกระบี่ปีศาจ พร้อมกับเสียงฟึ่บดังขึ้นเบา ๆ ใบมีดของกระบี่โค้งเป็นส่วนโค้งของพระจันทร์เต็มดวง พร้อมกับร่องลึกสีแดงปรากฏขึ้นทั้งสองด้าน
กระบี่ปีศาจในตอนนี้มีความยาวเกือบ 1.5 เมตร ใบมีดเป็นรอยหยักคล้ายเลื่อยและวงแหวนห้าวงห้อยลงมาจากบริเวณสันของใบมีด เปลวไฟสีเขียวหยกลุกท่วมทั้งใบมีดและด้ามจับ เกิดเป็นภาพที่ดูอันตรายและน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก
“ปัดเป่าวิญญาณอาฆาตหนึ่งตน: แต้มกุศล +20”
“แต้มสะสมปัจจุบัน: 160 แต้มกุศล จำนวนแต้มที่ต้องใช้สำหรับการเลื่อนขึ้นสู่ขั้นนักล่าวิญญาณ: 40 แต้มกุศล”
“ระยำ!!!” ที่ชั้นใต้ดินของมหาวิทยาลัยอันฮุ่ย เชาโยวเต๋าตะโกนออกมาอย่างโกรธจัด กำแพงกระจกตรงหน้าเขาแตกเป็นเสี่ยง ๆ พังทลายลงกับพื้น
ดวงตาของชายวัยกลางคนแดงก่ำ อกของเขากระเพื่อมขึ้นลงอย่างแรงตามจังหวะการหายใจที่ผิดปกติ ตอนนี้ร่างของเขากำลังนั่งอยู่บนโต๊ะ พื้นที่ด้านล่างเต็มไปด้วยรอยแตกมากมาย และห้องพักที่สวยงามของเขาก็ยุ่งเหยิงไปหมด เศษแก้วจะขวดไวน์ที่ถูกบีบจนแตกและซิการ์ราคาแพงเกลื่อนไปทั่ว เครื่องแบบยมทูตของเขากระพืออย่างน่ากลัว คล้ายกับมังกรที่กำลังโกรธเกรี้ยว
เจ็ด…
เขตไล่ล่าทั้งหมดเจ็ดเขต!
ตอนนี้เขาเหลือเพียงสองตัวเลือกเท่านั้น
หนึ่ง…ฆ่าฉินเย่ให้ได้ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม!
แต่ตัวเลือกข้อนี้ก็ถูกหักลบไปแทบจะทันทีที่ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัว
มันไม่มีทางเป็นไปได้ บันทึกนรกสามารถช่วยให้เขาค่อย ๆ ก้าวขึ้นไปเป็นพระยมอย่างเต็มตัว ตราบใดที่เขายังมีชีวิตอยู่ บางทีเรื่องแบบนี้ก็เพียงแค่ต้องรอเวลาเท่านั้น เขาอาจจะได้เป็นเจ้านรกคนต่อไปในพงศาวดารของนรกก็ได้! แล้วเขาจะต้องยอมเสียสละชีวิตอันมีค่าของตัวเองเพียงเพื่อคนที่น่ารังเกียจอย่างนี้ได้อย่างไร?
สอง…ถอนกำลังกองทัพวิญญาณทั้งหมดและแสร้งทำเป็นว่าเรื่องในคืนนี้ไม่เคยเกิดขึ้น
น่าเศร้าที่ตัวเลือกนี้กลับเป็นการตัดสินใจที่ยากยิ่งกว่า
ทุกอย่างอยู่เหนือการควบคุม…
เขาไม่คิดเลยว่าฉินเย่จะหันกลับมาแว้งกัดเขาราวกับหมาบ้า และเมื่อรวมกับการแทรกแซงที่มีประสิทธิภาพของหน่วยสอบสวนพิเศษแห่งชาติ การคำนวณที่ผิดพลาดเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้แตกต่างจากสิ่งที่เขาคาดการณ์เอาไว้อย่างสิ้นเชิง
หากยอมล้มเลิกเสียตอนนี้ ในอนาคต เขาเกรงว่าตัวเองอาจจะไม่มีโอกาสให้ฆ่าฉินเย่อีก!
นี่จะไม่เท่ากับการนั่งมองดูเศษตราเจ้านรกหลุดลอยไปหรอกหรือ?
ศัตรูได้เข้ามาสร้างความวุ่นวายในถิ่นของเขา แต่เขากลับไม่สามารถทำอะไรได้เลย!
เชาโยวเต๋าพบว่ามันเป็นเรื่องยากมากสำหรับเขาที่จะยอมรับความผิดพลาดในครั้งนี้!
ชายวัยกลางคนไม่เอ่ยอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว กลับกัน ภายในหัวของเขายังคงพยายามคำนวณความเป็นไปได้ทั้งหมดอย่างเมามัน หลังจากผ่านไป 20 นาที เขาก็เอ่ยออกมาด้วยสีหน้าที่ซีดขาว
“เจ้าหนู…ข้าขอยอมรับ….ว่าข้าไม่คิดว่าเศษตราเจ้านรกที่เจ้าจะครอบครองอยู่จะสามารถปิดบังพลังของเจ้าได้ ครั้งนี้ ข้าจะยอมเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไป….อาชู…อาชู!!”
“เจ้านาย…”คนกระดาษปรากฏตัวขึ้น
“กระจายคำสั่งไป…ถอนกำลัง!!” เชาโยวเต๋ากัดฟันแน่นขณะที่บังคับตนเองให้พูดออกไป
“รับทราบ…”
หลังจากเอ่ยรับคำ คนกระดาษก็เดินจากไปทันที เชาโยวเต๋าใช้ฝ่ามือของเขาพยุงตัวเองให้ลุกขึ้น แต่หลายวินาทีต่อมาเขาก็ทุบลงไปที่โต๊ะอย่างแรงจนมันหักเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เขาไล่นิ้วผ่านเส้นผมสีดำขลับของตนก่อนจะกำมันแน่นอย่างเจ็บใจ
“รอก่อนเถอะ… ไอ้พันธุ์ผสม…”
เขาเอ่ยพร้อมกับถอนหายใจออกมา ปลดสถานะยมทูตของตัวเองและเปลี่ยนกลับเป็นนักธุรกิจในชุดสูททรงตรง จากนั้นจึงทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาตามเดิม และเอื้อมมือไปหยิบซิการ์เหมือนปกติที่เคยทำ แต่กลับพบว่าตอนนี้ซิการ์พวกนั้นได้กระจายเกลื่อนไปบนพื้นเสียแล้ว
“ให้ตายเถอะ!”
เขาปิดเปลือกตาลงและเริ่มพักผ่อน หลังจากผ่านไปประมาณ 10 ถึง 20 นาที คำสั่งของเขาก็น่าจะถูกกระจายไปจนทั่ว เชาโยวเต๋าปลอบใจตนเอง มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร สมบัติพื้นฐานของนรกแต่ละชิ้นล้วนมีความสามารถที่แตกต่างกัน เขาจะต้องดูภาพรวม เวลา…ยังคงอยู่ฝั่งเดียวกับเขา
แต่ทันใดนั้นเอง เขาก็ต้องลืมตาขึ้นอีกครั้ง
“นี่มัน…” น้ำเสียงที่เอ่ยออกมานั้นสั่นเทาอย่างเห็นได้ชัด
เสียงร้องโหยหวนดังขึ้น…
เขตไล่ล่าอีกแห่งหนึ่งกำลังกรีดร้องเพื่อขอความช่วยเหลือ
และนี่เพิ่งเริ่มขึ้นเท่านั้น!
ฉินเย่ยังคงไม่หยุดอยู่แค่นี้!