ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] – ตอนที่ 47 สมาคมอวี๋หลาน (2)

บทที่ 47 สมาคมอวี๋หลาน (2)

“เงียบ!” ฉินเย่หลับตา เปิดหูและตั้งใจเสียงรอบข้างอีกครั้ง

เงียบ….

ความเงียบที่แปลกประหลาด

การตีกันของเสียงฆ้องและกลองที่อึกทึกดูเหมือนจะยิ่งทำให้ความเงียบที่อยู่รอบตัวของพวกเขาชัดเจนมากยิ่งขึ้น

ตึ่ง ตึ่ง ตึ่ง!!!….หึ่งงงง!!! เสียงที่เป็นจังหวะดังก้องไปทั่วทั้งอาคาร มันช่างน่ากลัวที่ได้ยินเสียงที่น่าขนลุกแบบนี้ในค่ำคืนที่เงียบสงัด

ฉินเย่ยังคงฟังเสียงดังกล่าวอย่างอดทน หนึ่งนาทีต่อมา เสียงกลองและฆ้องก็เริ่มอื้ออึง ฉินเย่รู้ได้ทันทีว่าที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า…ขบวนแห่ที่ว่าได้เข้ามาในหอพักเป็นที่เรียบร้อยแล้ว!

แหล่งที่มาของเสียงกลองและฆ้องนั้นเป็นเรื่องลึกลับ อันที่จริง เสียงพวกนี้ดูเหมือนจะได้ยินเฉพาะผู้ที่มันจงใจให้ได้ยินเท่านั้น และสำหรับตอนนี้ ดูเหมือนว่าเสียงดังกล่าวกำลังขึ้นบันไดมาและหมายจะไปที่ห้องใดห้องหนึ่ง

ยิ่งขบวนเสียงเข้ามาใกล้มากเท่าไหร่ เสียงของมันก็ยิ่งดังขึ้นและชัดเจนยิ่งขึ้น ฉินเย่เลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย สิบนาทีต่อมา ขบวนเสียงก็หยุดลงที่ชั้น 4 ดังที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมา พร้อมกับเสียงตะโกนกระหึ่ม “เฮ้ โห เฮ้ โห” ขบวนเสียงค่อย ๆ เข้ามาใกล้ประตูห้องของฉินเย่มากขึ้นเรื่อย ๆ

ดวงวิญญาณทั้งสามที่อยู่ที่มุมหนึ่งของห้องดูซีดเซียว และไร้วิญญาณอย่างน่าเหลือเชื่อ

ฟึ่บ…เสียงของบางอย่างดังมาจากด้านหน้าประตู หลังจากนั้น ทุกอย่างก็เงียบสนิท

ไม่มีเสียงใด ๆ ทั้งสิ้น

ความเงียบที่ทำให้ใครก็ตามที่อยู่ภายในห้องตอนนี้จะต้องร้องขอ แม้แต่เสียงแหลมของอะไรก็ได้ ต้นไม้ที่แกว่งไปมาด้านนอกทำให้เกิดเงาที่น่ากลัวปรากฏขึ้นมาบนผนังห้อง

ก๊อก…วินาทีต่อมา เสียงเคาะดังมาจากประตูห้อง

ก๊อก ก๊อก…ครั้งที่สอง มันคงที่และเป็นจังหวะ

ดวงจันทร์ส่องแสงเจิดจ้าท่ามกลางทะเลแห่งกลุ่มดาว

ชั้นที่สี่ของอาคารสว่างขึ้นจากประกายแสงจากดวงจันทร์ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อแสงของดวงจันทร์ส่องผ่านช่องว่างของประตู มันกลับเผยให้เห็นว่าด้านนอกห้องไม่มีเงาของใครเลยสักคน!

เสียงเคาะดังกล่าวยังคงดังขึ้นให้ได้ยินจากประตูไม้เก่า ๆ ของห้อง มันไม่ได้เบาไปหรือหนักเกินไป แต่เหนือทั้งหมดทั้งมวลนั้น เสียงเคาะดังกล่าวนั้นทำให้เส้นประสาทของผู้ที่ได้ยินใกล้จะขาดสะบั้นลงในไม่ช้า

มันเหมือนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสามปีที่แล้วไม่มีผิด!

ฉินเย่ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก หลังจากผ่านไปประมาณห้านาที เสียงเคาะที่ดังขึ้นต่อเนื่องมาตลอดก็หยุดลงในที่สุด

ไปแล้วเหรอ?

ท่ามกลางความมืดมิดภายในห้อง ฉินเย่ลุกขึ้นยืน บิดตัวไปมาอย่างขี้เกียจ จากนั้นจึงมองออกไปที่ช่องตาแมวของประตู!

ทว่าสิ่งเดียวที่เขาเห็นคือดวงตาแดงก่ำที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดที่แผ่กิ่งก้านสาขามากมายจ้องมองกลับมา!

ตอนนี้พวกเขาอยู่ห่างกันเพียงแค่ประตูกั้นเท่านั้น!

แม้แต่คนอย่างฉินเย่เองก็ยังตกตะลึง หัวใจของเขาหยุดเต้นไปชั่วขณะ

แซกซ่าาา…ทันใดนั้น เสียงบางอย่างก็ดังขึ้นเหนือศีรษะของเขา

หอพักของพวกเขาเป็นอาคารที่ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่หลายสิบปีก่อน และมันจึงเป็นธรรมดาที่ประตูของมันจะปิดไม่สนิทเหมือนอย่างพวกประตูที่ใช้ในการก่อสร้างสมัยใหม่

กลับกันประตูไม้เข้ามายังห้องของพวกเขานั้น เต็มไปด้วยรอยแตกจำนวนมาก แม้กระทั่งแผ่นกระจกเหนือประตูก็ขุ่นมัวจากการขาดการบำรุงรักษาและการทำความสะอาดตลอดหลายปีที่ผ่านมา

และในเวลานี้….ส่วนที่คล้ายศีรษะของคนสี่คนก็กำลังเบียดเสียดกันอยู่ที่กระจกด้านบน มองลอดช่องมาและจ้องมาที่ฉินเย่!

แสงจันทร์ยามค่ำคืนส่องให้เห็นใบหน้าขาวซีดของพวกเขา ซึ่งถูกขับให้ซีดกว่าเดิมด้วยเสื้อผ้าสีดำราวน้ำหมึก ภาพใบหน้าทั้งสี่ที่จ้องมองมาที่เขาผ่านบานกระจกที่เต็มไปด้วยฝุ่นนั้นน่าขนลุกและน่าหวาดกลัวเป็นอย่างมาก!

พวกมันก็คือคนกระดาษสี่ตัว

ทั่วทั้งอาคารหอพักชายเงียบสนิท ไม่มีใครรู้ถึงความน่าสะพรึงกลัวของยามราตรีที่ค่อย ๆ คืบคลานผ่านทางเดินเลยสักนิด คล้ายกับว่าพวกเขาทุกคนต่างตกอยู่ในห้วงแห่งนิทรารมณ์

“ข้าแต่ท่านผู้ทรงอำนาจ” ในวินาทีที่คลื่นพลังหยินเริ่มแผ่ออกจากร่างของฉินเย่ เสียงที่แหลมสูงก็ดังมาจากอีกด้านหนึ่งของประตู “เจ้านายของข้าได้ส่งคำเชื้อเชิญมาให้ท่าน…”

ฉินเย่ผงะไป

เป็นแค่วิญญาณแท้ ๆ แต่กล้าดียังไงมาเชิญยมทูตอย่างเขา? นี่อีกฝ่ายกำลังดูถูกเขาอยู่อย่างนั้นหรือ?

“หึหึ น่าสนใจดีนี่” เด็กหนุ่มหัวเราะเบา ๆ จากนั้นจึงเปิดประตู

ทางเดินด้านนอกสว่างขึ้นจากแสงจันทร์ที่สาดส่องลงมา และกลุ่มพลังหยินที่ขาวอมเขียวลอยอยู่ทั่วบริเวณ ขบวนเสียงฆ้องและกลองก่อนหน้านี้ยืนอยู่ตรงกลางของทางเดิน

ฝ่ายตรงข้ามมีจำนวนคนอยู่ทั้งหมด 12 คน….ไม่สิ มันคือตัวตนที่เขาไม่รู้จัก 12 ตัว

ทางเดินเบื้องหน้าของฉินเย่ไม่ได้กว้างมากนัก เหล่าตัวตนที่เดินอยู่ด้านหน้าของขบวนคือร่างสี่ร่างที่แต่งกายด้วยเศษผ้าสีสดราวกับว่ากับว่าพวกเขาเป็นนักแสดงงิ้วโบราณ

นอกจากนี้ อีกฝ่ายก็ตัวสูงอย่างน่าเหลือเชื่อ

ด้วยส่วนสูงประมาณ 2 เมตร มันจึงส่งผลให้ศีรษะของพวกมันสัมผัสกับเพดานที่อยู่ด้านบน ทั้งหมดแต่งกายในลักษณะเดียวกัน ทรงผมยุ่งเหยิงหลุดลุ่ยประบ่าเหมือนกัน นอกจากนี้ในมือยังถือร่มกระดาษน้ำมันเหมือนกันอีกด้วย ไร้ซึ่งความเรียบร้อยใด ๆ โดยสิ้นเชิง

ทั้งยังไม่สามารถมองเห็นใบหน้าได้เลยสักนิด…

ทุกส่วนบนใบหน้าพวกนั้นถูกบดบังด้วยผมเผ้าที่ตกลงมาปรกหน้า

ถัดไปคือคนกระดาษสี่ตัวที่มีมือและเท้าแหลม แต่ละคนล้วนสวมหมวกทรงสูงที่ยาวประมาณหนึ่งเมตร ริมฝีปากที่ถูกทาด้วยลิปสติกสีแดงสดและบริเวณแก้มที่ซีดขาวถูกแต่งแต้มด้วยบลัชออนสีชมพู

นอกจากนี้ คนกระดาษทั้งสี่ตัวยังแบกสิ่งที่คล้ายกับโลงศพเอาไว้บนหลัง

มันคือโลงศพสีดำที่ไม่มีฝาปิด ภายในของโลงศพบุด้วยขนอย่างดีเพื่อทำให้มันดูคล้ายกับที่นั่งอันแสนสบาย

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ตามหลังคนกระดาษทั้งสี่มาก็คือวิญญาณที่สูงประมาณสองเมตรอีกสี่ตน

ขบวนของตัวตนทั้ง 12 ยืนแน่นิ่งอยู่กลางทางเดิน ปราศจากการส่งเสียงใด ๆ ในขณะที่เดินไปจนสุดของทางเดิน

“ใครคือเจ้านายของพวกเจ้า?”

“ท่านผู้ทรงอำนาจ เจ้านายของเราได้บอกเราว่าท่านได้รับคำเชื้อเชิญจากเขาแล้ว เมื่อเช้านี้ และคืนนี้ก็เป็นคืนมงคลที่พวกเราจะจัดงานฉลองสำหรับการเลื่อนตำแหน่งของเจ้านายของพวกเรา เราทั้งหมดได้รับคำสั่งมาให้ประกาศคำเชิญไปทั่ว ดวงวิญญาณที่เป็นที่เคารพนับถือและบุคคลมีชื่อเสียงมากมายในเมืองเป่าอันจะมาในงานนี้ พวกเราจึงอยากจะเชื้อเชิญท่าน เพื่อเห็นแก่หน้าของเจ้านายของเรา โปรดเข้ารวมงานฉลองในวันนี้ด้วยขอรับ…” คนกระดาษตัวหนึ่งเอ่ยตอบด้วยเสียงแหลมสูง

ฉินเย่ค่อนข้างประหลาดใจ เขารีบหยิบบัตรที่ตัวเองได้รับมาเมื่อเช้านี้ออกมาและไล่ดูเนื้อหาทั้งหมดอีกครั้ง

รูปลักษณ์ของบัตรได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อเวลาล่วงเลยเที่ยงคืนไปแล้ว

ตอนนี้ บนตัวบัตรแสดงให้ปรากฏตัวหนังสือสีแดงเลือดขนาดใหญ่สองตัว

มหาวิทยาลัยอันฮุ่ย

บังเอิญเหรอ?

ความรู้สึกมากมายฉายชัดออกมาจากแววตาของฉินเย่ ขณะที่เขาเก็บบัตรกลับเข้าไปในกระเป๋าตามเดิม เด็กหนุ่มสบถและเอ่ยกับตัวเองในใจ นอกจากเขาจะไม่ได้รับสินบนจากการเจรจาก่อนหน้านี้แล้ว ตอนนี้เขายังต้องมาเผชิญหน้ากับปัญหาแทรกซ้อนที่ส่งผลต่อการหาเงินในโลกมนุษย์อีก!

แถมมันคือรังของตัวการใหญ่ที่ตั้งอยู่ภายในเมืองเป่าอัน!

มหาวิทยาลัยอันฮุ่ย!

มันถูกซ่อนอยู่ใต้เท้าของเขานี่เอง!

“ได้โปรด…” คนกระดาษตรงหน้าคุกเข่าลงพร้อมกัน หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ฉินเย่ก็ก้าวเข้าไปในโลงศพและเอนหลังพิงกับขนนุม ๆ ที่ด้านในบุอย่างดี คนกระดาษทั้งสี่ลุกขึ้นยืนพร้อมกัน หมุนตัวด้วยท่วงท่าที่แปลกประหลาดและเดินไปตามทางเดินแทบจะทันที พวกเขาเอ่ยออกมาอย่างพร้อมเพรียงกันว่า “แขกผู้มีเกียรติกำลังเดินทางไป เดินขบวนได้!”

ตึ่ง ตึ่ง ตึ่ง!!! วิญญาณสองตนที่อยู่ด้านหน้าขบวนตีกลองหนังเป็นจังหวะในขณะที่วิญญาณตนหนึ่งที่อยู่บริเวณท้ายขบวนตีฆ้องทองแดงในมือของตนเบาๆ

หึ่งงงง!!!

เสียงของเครื่องดนตรีทั้งสองชนิดดังก้องไปทั่วทางเดิน

ที่นักโลงศพมีความมั่นคงอย่างน่าเหลือเชื่อ เท้าของขบวนวิญญาณทั้ง 12 ไม่ได้สัมผัสกับพื้นแต่อย่างใด กลับกัน พวกเขาที่ลอยไปเรื่อย ๆ เคลื่อนตัวลงจากชั้น 4 ไปที่ชั้น 1 อย่างช้า ๆ

ทันทีที่พวกเขาลงมาถึงชั้นที่ 1 ฉินเย่ก็ยกมือขึ้นอย่างกะทันหัน “หยุดก่อน”

ขบวนที่นั่งโลงศพจึงค่อย ๆ หยุดลง

นี่คือชั้นที่ 1 ซึ่งเป็นที่ตั้งของห้องพักของผู้ดูแล และมันก็ย่อมต้องมีใครสักคนอยู่ที่นี่

อันที่จริง ผู้ดูแลคนดังกล่าวก็ได้อยู่ที่นี่แล้ว

ผู้เฒ่าหลิวตัวสั่น เขาสวมชุดลายกระดาษทองขณะที่กำธูปสามดอกในมือแน่น ใบหน้าของเขาถูกแต่งแต้มด้วยบลัชออนสีชมพูและลิปสติกสีแดงสด ยืนก้มหน้าอยู่ที่ประตู ทำให้ร่างที่เตี้ยอยู่แล้วดูเตี้ยลงกว่าเดิม และในเวลานี้ เขาก็กำลังคุกเข่าและสวดอ้อนวอนกับพระเจ้าเพื่อปกป้องชีวิตของตนเอง แทบจะเหมือนกับคนบ้าไม่มีผิด “สวรรค์ช่วยลูกด้วย…สวรรค์ช่วยลูกด้วย!!”

ฉินเย่หยิบดึงกระบี่ของตนออกมาและวางมันลงบริเวณลำคอของผู้เฒ่าหลิวอย่างเงียบเชียบ

ขอเพียงเขากดแรงลงไป ขอเพียงเขาขยับแม้เพียงเล็กน้อย ก็จะสามารถตัดคออีกฝ่ายได้แล้ว

ทว่าผู้เฒ่าหลิวกลับดูเหมือนจะไม่รู้ตัวเลยสักนิด เขายังคงก้มหน้าและสวดอ้อนวอนคล้ายกับกำลังกลัวการตื่นของวิญญาณร้าย ฉินเย่ที่เห็นเช่นนั้นจึงลดกระบี่ของตนลง

“ไปเถอะ” ฉินเย่ละสายตาจากคนตรงหน้าและกลับขึ้นไปนั่งในโลงศพก่อนจะโบกมือให้สัญญาณ

“ยกโลงขึ้นได้!” ด้วยเสียงที่แหลมของคนกระดาษ ที่นั่งโลงศพถูกแบกขึ้นเหนือไหล่อีกครั้ง จากนั้น…พวกมันจึงกลับหลังหันและเดินตรงไปที่ห้องพักของผู้เฒ่าหลิว!

“พระเจ้าโปรดช่วยลูกด้วย…ท่านเทพสูงสุดโปรดช่วยด้วย!” บานประตูที่อยู่ด้านหลังของผู้เฒ่าหลิวเปิดออกด้วยตัวของมันเองขณะที่เจ้าตัวยังคงก้มหน้าแนบกับโต๊ะ สวดอ้อนวอนดังสุดเสียง

ผู้เฒ่าหลิวพักอาศัยอยู่ในช่องว่างระหว่างขั้นบันไดและพื้นของชั้น 1 ซึ่งทั้งเล็กและหายใจลำบาก ภายในห้องของเขาดำสนิท และอากาศภายในก็หนาแน่นจนแทบจะมองไม่เห็น ราวกับว่ามีหมอกปกคลุมไปทั่ว

พรึ่บ…ดวงไฟสว่างถูกจุดขึ้นเหนือศีรษะ และเป็นทันใดนั้นเองที่ฉินเย่สังเกตเห็นว่าผู้เฒ่าหลิวไม่ได้มีเตียงนอนอยู่ภายในห้องของเขา

มันมีแค่โซฟาที่กว้างพอที่จะสามารถให้คนคนหนึ่งนอนพักได้เท่านั้น กระถางต้นไม้สองกระถางถูกวางไว้ที่มุมหนึ่งของห้อง แต่นอกเหนือจากนั้น มันไม่มีอะไรอื่นเลย ไม่มีชั้นหนังสือ ไม่มีโต๊ะหรือตั่ง และสิ่งที่แปลกที่สุดของห้องนี้ก็คือความจริงที่ว่าผนังของห้องนี้ทั้งหมด…ถูกทำด้วยกระจกทั้งหมด!

สิ่งนี้นำมาซึ่งความรู้สึกคุ้นเคยที่ไม่สามารถอธิบายได้…ฉินเย่แทบจะมั่นใจว่าเขาเคยเห็นสิ่งที่คล้ายกันนี้จากที่ไหนสักแห่ง…เขาเคาะนิ้วของตัวเองบนกระจกและย่นคิ้วเข้าหากัน แต่ก็จำไม่ได้ว่าเขาเคยเห็นมันก่อนหน้านี้ที่ไหน

บานกระจกทั้งหมดถูกปกคลุมด้วยยันต์สีเหลืองที่ถูกวาดด้วยหมึกสีแดงเลือด และในเวลานี้ ตัวตนทั้ง 12 ก็ได้มายืนอยู่รอบ ๆ เขา ทว่าพวกมันกลับไม่มีเงาสะท้อนบนกระจกเลยสักนิด จากนั้นก่อนที่ฉินเย่จะได้มองไปรอบ ๆ ห้องอย่างทั่วถึง ห้องทั้งห้องก็คล้ายกับจมลงไปด้านล่างพร้อมกับเสียงฟึ่บ!

พรึ่บ! ขณะที่ห้องจมลงไป ยันต์บนกระจกก็ลอยขึ้นและหลุดออกไป เป็นจังหวะเดียวกับที่ตัวเลขอารบิกสีแดงเลือดปรากฏขึ้นบนผนังกระจก

-1

ตัวเลขเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว หลังจากผ่านไปไม่กี่วินาที พร้อมกับเสียงที่อู้อี้ดังขึ้น ตัวเลขก็เปลี่ยนเป็น…-2

-3, -4, -5… และในที่สุดมันก็หยุดลงที่ -6.

“นี่คือลิฟต์ที่ตรงลงไปที่นรกเหรอ? ถึงว่าทำไมเราถึงรู้สึกคุ้นนัก แค่คิดว่าเขาสร้างอะไรแบบนี้เอาไว้ใต้หอโดยที่นักเรียนที่อาศัยอยู่ที่นี่ยังมีชีวิตรอด….นี่เราควรเอ่ยชื่นชมในความเมตตาของผู้ชายคนนี้หรือเปล่า?” ฉินเย่แสยะยิ้มและเดินออกไปด้านนอกทันทีที่ประตูเปิดออก

ทางเดินหินที่กว้างประมาณ 5-6 เมตรทอดยาวออกไปจากประตู ทั้งสองฝั่งของทางเดินคือผนังหินถูกแกะสลักด้วยลวดลายโบราณ ในขณะที่โคมไฟหินที่มีรูปทรงคล้ายกับหัวของอสูรช่วยป้องกันเปลวไฟริบหรี่ที่อยู่ภายในจากสิ่งต่าง ๆ

และทางขวาของทางเดิน…ดวงวิญญาณหยินจำนวนมากกำลังยืนต่อแถวกันอยู่!

มีบางตนที่สวมชุดสูท บางตนที่แต่งตัวคล้ายกับนักเรียน และคนอื่น ๆ ที่ดูคล้ายพนักงานออฟฟิศ ทว่าสิ่งหนึ่งที่วิญญาณทั้งหมดมีเหมือนกันก็คือวิญญาณทุกตนจะถือโคมไฟสีแดงไว้ในมือ ขณะที่พวกเขาลอยไปที่ปลายสุดของเส้นทางโดยไร้ซึ่งจุดหมาย

ทันทีที่ฉินเย่เปิดประตู วิญญาณหยินทั้งหมดก็หยุดฝีเท้าของพวกเขาทันที เสียงกลืนน้ำลายดังขึ้นให้ได้ยินท่ามกลางบรรยากาศที่ตึงเครียด จากนั้น เสี้ยววินาทีต่อมา…ดวงตาแดงก่ำมากว่าร้อยคู่พลันหันหลังกลับมาและมองตรงไปที่ฉินเย่!

“อุตส่าห์เตรียมวิญญาณนับร้อยตนเอาไว้เพื่อเฉลิมฉลองในการมาถึงของเรา ผู้ชายคนนี้นี่คงจะชอบเรามาก…..” ฉินเย่ไล่นิ้วไปตามผนังด้านข้างเบา ๆ มันให้สัมผัสที่ชื้นและเย็นยะเยือก และสิ่งที่ร้ายยิ่งกว่านั้นก็คือมันมีแม้กระทั่งกลิ่นของศพและพลังหยินแผ่ออกมา เด็กหนุ่มสามารถเข้าใจได้ในทันทีว่ามันหมายความว่าอย่างไร

“มันคือสุสานโบราณที่มีอายุอย่างน้อย 100 ปี และเป็นสิ่งที่คนมีเพียงคนรวยในสมัยนั้นไม่สามารถเป็นเจ้าของได้ อย่างน้อยก็ต้องเป็นข้าราชการระดับห้าหรือสูงกว่านั้น! นอกจากนี้…มันน่าจะต้องมีคนไม่ต่ำกว่าร้อยคนที่ถูกฝังทั้งเป็นไปพร้อมกับเขา”

กรรรร! ทันใดนั้น เหล่าวิญญาณที่น่ากลัวทั้งหมดที่อยู่เบื้องหน้าของเขาก็ขยับตัวพร้อมกัน เสียงกรีดร้องดังขึ้นขณะที่ฝ่ายตรงข้ามพุ่งตรงเข้าหาเขา ประกายแสงบนใบมีดของเขาเป็นสว่างขึ้นและกวาดไปโดยรอบ กลุ่มวิญญาณตรงหน้าที่เห็นเช่นนั้นพลันกลายเป็นกลุ่มก้อนพลังหยินทันที ในขณะเดียวกัน คลื่นพลังหยินที่ทรงพลังก็ระเบิดออกจากร่างของเด็กหนุ่ม! มันเป็นระดับของพลังหยินที่แตกต่างกับเหล่าวิญญาณโดยรอบอย่างสิ้นเชิง!

“ถอยไป!” ฉินเย่เอ่ยอย่างเย็นชา วิญญาณนับร้อยรีบหลบไปด้านข้าง เปิดทางให้เขาเช่นเดียวกับที่โมเสสเดินข้ามทะเลแดง

หลังจากเดินมานานกว่าสิบนาที ในที่สุดเขาก็มาถึงหน้าประตูหินที่มีรูปแกะสลักคล้ายกับหัวของนักล่าที่ดุร้าย คำว่า “สมาคม” และ “อวี๋หลาน” ถูกสลักอยู่บนฝั่งซ้ายและขวาของประตู ตัวอักษรดังกล่าวดูราวกับถูกสลักด้วยจังหวะที่ทรงพลัง และเปลวไฟแห่งนรกที่ไม่มีวันมอดดับลง ยิ่งขับตัวอักษรดังกล่าวให้ดูเด่นยิ่งขึ้น ส่งผลให้ประตูทางเข้าของสมาคมจึงเปล่งแสงสีเขียวที่ให้ลางสังหรณ์ที่ไม่ดีกับผู้ที่มองแผ่ออกมา

ทันทีที่ฉินเย่เดินมาถึงที่ประตูทางเข้า บัตรเชิญที่เขาได้รับมาก่อนหน้านี้ก็ลอยออกมาจากกระเป๋าเสื้อของเขาและสอดตัวเข้าไปในช่องว่างระหว่างประตูด้วยตัวของมันเอง หลังจากนั้นไม่นาน บานประตูก็ถูกเปิดออกพร้อมกับเสียงครืดดดด….

ฉินเย่หลับตาลงและสูดหายใจเข้าจนเต็มปอด จากนั้นขณะที่เขากำลังจะก้าวเข้าไปในหอสมาคมอวี๋หลาน เขาก็ต้องชะงักไป

“กองทัพปีศาจอันชั่วร้ายเหมือนที่ตำนานกล่าวขาน วิญญาณปีศาจและสัตว์ประหลาด มีเพียง นกกระสา และเหยี่ยวที่ร้องเสียงสูงที่ดังมาจากที่ไกล ๆ!”

“พายุทรายที่ปกคลุมเต็มท้องฟ้าที่ผ่านไปแล้ว เดินอยู่ในแม่น้ำแห่งดวงดาวที่ไร้ที่สิ้นสุด…”

อูฐในทะเลทราย?[1]

เชื่อไหมล่ะ?!

ทางเข้าของมันนั้นแตกต่างจากสิ่งที่เขาคาดเอาไว้อย่างสิ้นเชิง มันไม่มีภาพของศีรษะที่ถูกตัดขาดห้อยลงมาจากเพดานหรือมีหลุมที่มีไฟนรกแผดเผาอยู่รอบ ๆ ทันทีที่ประตูถูกเปิดออก เสียงดังสนั่นเป็นจังหวะ EDM ก็ดังเข้ามาในหูของฉินเย่ทันที การ

แสดงแสงสีเสียงที่สวยงามตระการตาบนลานเต้นรำขนาด 400 ตารางฟุตพร้อมด้วยเหล่าวิญญาณจำนวนมากที่กำลังเต้นรำกันอย่างดุเดือดถึงใจ!

วิญญาณผู้หญิงที่สวมชุดกระต่ายสาวเดินแทรกผ่านกลุ่มวิญญาณจำนวนมากพร้อมกับถาดเสิร์ฟเครื่องดื่มในมือ มีบางครั้งที่มีมือที่ไม่รู้จักเอื้อมไปบีบก้นที่สวยงามของนาง จงใจทำให้หญิงสาวส่งเสียงร้องออกมาอย่างตกใจ และรีบฉวยโอกาสหยิบธนบัตรนรก (แบงค์กงเต็ก) ที่ซุกอยู่ที่ด้านหลังของกระต่ายสาวไปด้วยรอยยิ้มบาง โคมไฟดิสโก้ที่รูปทรงคล้ายกับหัวกะโหลกห้อยลงมาเหนือลานเต้นรำทั้งหมด สว่างไสวจนทำให้ผู้ที่มองตาพร่าได้อย่างง่ายดาย

นี่มันไม่ใช่วิญญาณแค่ร้อยตนแล้ว…แต่วิญญาณทุกตนที่มีสติปัญญาและอยู่ภายในเมืองเป่าอันต่างมารวมตัวกันที่นี่!

และทำไมเขาถึงมั่นใจว่าวิญญาณทั้งหมดในที่นี้คือวิญญาณน่ะหรือ?

คำตอบนั้นง่ายมาก มันก็เพราะว่า…ขาของพวกเขาแต่ละคนล้วนพร่าเลือนตั้งแต่ช่วงเข่าลงไปน่ะสิ! นอกจากนี้ ใบหน้าของคนทั้งหมดต่างซีดขาว และร่างของพวกเขาก็ถูกปกคลุมไปด้วยซากศพ บริเวณลานเต้นรำทั้งหมดเองก็ถูกปกคลุมไปด้วยกลิ่นเหม็นของศพที่แม้แต่น้ำยาปรับอากาศก็ไม่สามารถกลบได้!

มันคือสมาคมสำหรับวิญญาณร้ายชัด ๆ!

沙漠骆驼 (อูฐในทะเลทราย) ผู้แต่งคือจ้านจ้าน (Zhanzhan) และลั่วลั่ว (Luoluo) เพลงนี้ถูกปล่อยลงในออนไลน์เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ.2560 และได้รับรางวัลจาก Asia Music Awards ในวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ.2561

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

ฉินเย่เด็กหนุ่มมัธยมปลายที่ไม่มีวันแก่ เพราะกิน “เห็ดเทียนสุ่ย” เข้าไปทำให้มีชีวิตอยู่ระหว่างสองโลก เป้าหมายในชีวิตของเขาเพียงต้องการมีชีวิตเล่นเกมอยู่ไปวัน ๆ เท่านั้น แต่ดูเหมือนนรกจะไม่ได้ยินเสียงเรียกร้องของเขา เมื่อนรกถึงกาลอวสาน ผีร้ายออกอาละวาดบนโลกมนุษย์ ทำให้ฉินเย่ที่เป็นยมทูตคนสุดท้ายต้องรับหน้าที่จ้าวนรกเพื่อพิทักษ์โลกใบนี้!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset