บทที่ 32 การฆาตกรรม
เวลา 18.00 น. ฉินเย่เรียกรถแท็กซี่ไปโรงแรมเฝิงไหลอย่างสบายใจ
ภายในมณฑลของพวกเขานั้นไม่ได้ร่ำรวยหรือมั่งคั่ง เท่ากับเมืองที่ใกล้ทะเล โรงแรมเฝิงไหลแทบจะไม่ถือว่าใหญ่โตหรือหรูหรา แม้จะเรียกว่าโรงแรม แต่ก็แทบไม่เหมือน อาคารที่ถูกครอบครองนี้เคยเป็นเกสต์เฮาส์ที่ดำเนินการโดยรัฐบาลตั้งแต่ยุค 90 หลังจากเปลี่ยนมือเจ้าของหลายครั้ง พ่อของหวังเฉิงห่าวก็ได้ซื้อโรงแรมต่อและเปลี่ยนชื่อเป็นโรงแรมเฝิงไหล
อย่างไรก็ตาม โรงแรมเฝิงไหล ยังเป็นโรงแรมเพียงแห่งเดียวในเมืองชิงซี ดังนั้นทำให้ธุรกิจของโรงแรมนี้ค่อนข้างดี
“ ข้าไปล่ะ … ” ฉินเย่กระโดดลงจากรถลากและมองไปที่โรงแรมหกชั้นด้วยความมุ่งมั่น ในทางกลับกันอาร์ทิสรู้สึกงุนงง“ สถานที่นี้มีอะไรดี? มันดูเก่ามาก”
“ เจ้าไม่เข้าใจหรอก … ” น้ำเสียงของฉินเย่เต็มไปด้วยอารมณ์มากมาย
“ ข้าไม่ได้ไปที่สถานที่ที่มีระดับแบบนี้มาเกือบสามปีแล้ว … ”
ตอนนี้อาร์ทิสอยากทิ้งฉินเย่และเดินหนีเขาให้ไกลที่สุด น่าขายหน้า!
เขาเข้าไปในโรงแรม บอกหมายเลขห้องและขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้นหก ทันทีที่ประตูเปิดออก เสียงโหวกเหวกโวยวายก็ดังขึ้นมาให้ได้ยินทันที
นี่คือพื้นที่จัดงานขนาดใหญ่ประมาณ 200 ตารางเมตร เกือบทั้งหมดของงานแต่งงานในมณฑลนี้จัดขึ้นที่นี่ การตกแต่งค่อนข้างดี โคมไฟระย้าโบราณขนาดใหญ่ที่วิจิตรงดงามแขวนอยู่บนเพดานอย่างสง่างาม ภาพจิตรกรรมฝาผนังขนาดใหญ่ที่มีความยาวหลายสิบเมตร แบ่งพื้นที่จัดงานออกเป็นโซน พรมแดงราคาถูกแต่ดูเป็นพิธี โต๊ะไม้โบราณเน้นสไตล์ของห้อง
พื้นที่จัดงานทั้งหมดถูกจองเต็มในคืนนี้ กับนักเรียนเพียง 35 คน พื้นที่จัดงานที่เหลือ จึงค่อนข้างว่างเปล่าและมืดมน ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออก คนที่เห็นเขาก็โบกมือและร้องเรียกทันทีว่า “ฉินเย่อยู่นี่! ทางนี้!”
ฉินเย่รู้สึกอึกอัด
แต่ที่สุดแล้วเขารู้สึกกระตือรือร้นกับอาหารมื้อนี้มาก ถึงขั้นไม่กินมื้อเที่ยงมา เขากำลังมองหาทำเลที่ดีที่สุดในการนั่งเพื่อที่จะไม่มีใครสังเกตเห็นวิธีการกินที่ตะกละตะกลามของเขา
ได้โปรดอย่าทำเหมือนว่าเราสนิทสนมกันมาก ฉันขอโอกาสในการทำตามใจตัวเองในคืนนี้เถอะ
“ ฉินเย่ ตรงนี้” ในขณะที่เขากำลังลังเลอยู่ก็มีเสียงแหบแห้งเรียกเขา หวังเฉิงห่าวลุกขึ้นจากที่นั่งและกวักมือเรียกฉินเย่
จู่ ๆ ทุกคนก็เงียบ
“ฉันอยากรู้!” จางอี้หลงที่อยู่โต๊ะอื่นมองไปที่ฉินเย่และพึมพำเสียงต่ำ “ ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ไอ้โง่นี่สนิทกับพี่ห่าว?”
“มีอะไรเหรอ?” นักเรียนที่อยากรู้อยากเห็นอีกคนถาม จางอี้หลงพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
“ไม่มีอะไรมากหรอก ครั้งก่อนเขาอยู่ช่วยพี่ห่าวและฉันทำความสะอาดห้องเรียน ใครจะคาดคิดว่าคนงี่เง่าคนนี้จะเป็นพวกหวังสูง? ไม่เข้าใจเลยว่าพี่ห่าวเห็นอะไรในตัวเขา!”
ฉินเย่ไม่สนข้อกล่าวหาใด ๆ เขาเหลือบมองไปที่ที่นั่งของ หวังเฉิงห่าว ทั้งหลินเย่และเฉิงห่าวนั่งอยู่ที่โต๊ะที่มีคนเพียง 4 คน นอกจากพวกเขาก็เป็นชายวัยกลางคนที่มีคิ้วหนา สวมหน้ากากสีดำและเครื่องแบบของตำรวจ สิ่งเดียวที่ขาดไปคือหมวกตำรวจที่มีสัญลักษณ์ประจำชาติอยู่ ส่วนอีกคนคือรองหัวหน้าห้องซูเฉาหยาง
ฉินเย่เดินไปที่โต๊ะและนั่งลงภายใต้สายตาของทุกคนที่จับจ้อง ทันทีที่เขานั่งชายวัยกลางคนก็พูดขึ้นทันที “ แล้วคุณคือ?”
ฉินเย่ขมวดคิ้วและยิ้มจาง ๆ “หัวหน้าห้องหลินเย่….”
ฉินเย่รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างแปลก ๆ ทันทีที่เขามองไปที่หลินเย่ รูม่านตาของเขาก็คลี่แคบขึ้นในทันที
ตอนนี้เป็นช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วง
อากาศค่อนข้างอบอุ่น แต่หลินเย่ยังคงสวมชุดนักเรียนของเธอ
หลินเย่เธอเป็นเด็กสาวอายุ 17 ปีที่หน้าตาสะสวย คิ้วของเธอเรียงตัวอย่างสวยงาม แต่ฉินเย่สังเกตว่าตั้งแต่เขามาถึงเธอกลับไม่ได้พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว เธอเพียงแค่ก้มหน้าลงต่ำ ปล่อยให้ผมยาวประบ่าสีดำสนิทของเธอพาดผ่านบดบังใบหน้า
ชุดนักเรียนของเธอก็ดูผิดปกติมาก… มันขาดวิ่นราวกับชุดตุ๊กตาเศษผ้าหน้าตาน่าเกลียด
ชายวัยกลางคนมองไปที่หลินเย่ด้วยสายตาที่นุ่มนวลและอ่อนโยน แต่ใบหน้ากลับไม่ขยับไปไหนเลย
“เธอ…เธอคิดว่าเธอมีอะไรผิดปกติอย่างนั้นเหรอ?” เสียงแหบของชายคนนั้นขัดจังหวะความคิดของฉินเย่ ฉินเย่เกาหัว“ เธอไม่สบายเหรอ”
ชายวัยกลางคนยังคงจ้องตรงเข้าไปในดวงตาของเขา กล้ามเนื้อใบหน้าของเขาหดตัวเล็กน้อย เหมือนว่าเขากำลังยิ้มอยู่ภายใต้หน้ากาก“ ใช่ … เธอป่วยนิดหน่อย … ”
“สวัสดี … ฉันเป็นลุงของหลินเย่ชื่อหลินเชาเซิง”
ฉินเย่มองเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าชายคนนี้มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล
นอกจากนี้ … เห็นได้ชัดว่าการเคลื่อนไหวของเขาไม่ต่างจากคนที่ตายแล้ว ไม่ … บางทีมันอาจจะถูกต้องกว่าถ้าจะบอกว่าการเคลื่อนไหวของเขาไม่ต่างจากหุ่นเชิด ถ้อยคำที่พูดนั้นชัดเจนและสอดคล้องกัน แต่มันแทบจะไม่มีอารมณ์แฝงอยู่เลย
“ ชายคนนี้ … ” หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งอาร์ทิสที่อยู่ในกระเป๋าของฉินเย่ก็พูดขึ้นในใจ “ เขาไม่ใช่คนที่อยู่ในโลกมนุษย์”
เธอมองไม่เห็นเขา การรับรู้ของเธอขึ้นอยู่กับความแตกต่างของเสียงเท่านั้น
ฉินเย่พยักหน้าเบา ๆ ไม่ได้พูดอะไรอีก
ผู้ที่สามารถรอดพ้นจากนรกขุมที่ 18 จะรู้ดีกว่าคนมีชีวิต เป็นสิ่งมีค่าเพียงใด ใครจะกล้าไปโผล่ในสถานที่อันตรายแบบนี้
ฉินเย่เลิกคิ้วและยิ้มจาง ๆ เขาพยักหน้าให้ชายคนนั้น จากนั้นเขาก็หันกลับมาทำเป็นพูดคุยกับหวังเฉิงห่าว หวังเฉิงห่าวยังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ที่สูญเสียพ่อแม่ไป หน้าตาจึงดูไม่ค่อยดีนัก อันที่จริง เหมือนสติของเขาไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอยเลยด้วยซ้ำ “ อืม …ปลานึ่งซีอิ๋วของที่นี่ดังมาก คราวหน้าจะเอามาฝาก … เมนูอื่น ๆ ก็ไม่เลวเหมือนกัน … ”
หวังเฉิงห่าวเงยหน้าขึ้นด้วยความสับสน เพราะเขาเห็นว่าฉินเย่กำลังเขียนคำอะไรบางอย่างบนหน้าตักของเขา
หนึ่งขีดสองขีด… เขาเหลือบมองคำที่กำลังเขียนนิ่งเงียบ มันคือคำว่า “หนี”
หวังเฉิงห่าวมองกลับไปที่ฉินเย่ด้วยความประหลาดใจ แต่ฉินเย่กลับทำตัวตามปกติ หลังจากนั้นก็เล่าเรื่องตลกอีกหลายเรื่อง แล้วจู่ ๆ เขาก็ตบไหล่หวังเฉิงห่าวแล้วถามว่า “ ไปห้องน้ำกันไหม สูบบุหรี่สักมวน”
“ ได้เลย” หวังเฉิงห่าวตอบตกลงอย่างรวดเร็ว และทั้งสองก็แยกตัวไป
ทันทีที่สองคนนี้ยืนขึ้น หลินเชาเซิงก็วางตะเกียบลงอย่างเงียบ ๆและจ้องมองแผ่นหลังของทั้งคู่จนลับสายตา หลังจากที่พวกเขาไป ก็มีเสียงอีกคนดังขึ้น “ ลุงหลิน … เกิดอะไรขึ้นกับหลินเย่? คืนนี้ยังไม่เห็นเธอเงยหน้าเลย ให้เธอไปพักผ่อนหน่อยเถอะครับ เธอน่าจะรู้สึกไม่สบาย”
หลินเชาเซิงเลื่อนสายตาจ้องตรงไปที่ซูเฉาหยาง จนซูเฉาหยางอดไม่ได้ที่จะเลียริมฝีปากที่แห้งผาก มือของเขาจับกางเกงอยู่ใต้โต๊ะ ซูเฉาหยางรู้สึกเย็นที่หลังคอแปลก ๆ ในที่สุดหลินเชาเซิงก็พูดว่า “ นายประหม่าเหรอ”
“ ฮ่าา … ไม่ครับ … ผมไม่ประหม่า ทำไมผมต้องประหม่าด้วยล่ะครับ?” เขาประหม่า แต่เขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมทันทีที่ฉินเย่และหวังเฉิงห่าวลุกขึ้นและออกไปจากโต๊ะไป จู่ ๆ ซูเฉาหยางถึงรู้สึกเย็นวาบแปลก ๆ
และแน่นอนมันไม่ใช่อาการหนาวสั่นจาก เครื่องปรับอากาศ … มันเป็นอะไรที่เยือกเย็นและน่ากลัวกว่านั้นมาก
แสงที่ส่องสว่างและเสียงอึกทึกดังก้องอยู่รอบตัวพวกเขา น่าจะทำให้พวกเขารู้สึกวางใจสิ แต่ด้วยเหตุผลแปลก ๆ บางอย่างซูเฉาหยางรู้สึกโดดเดี่ยวราวกับว่าเขาตกลงไปในห้องแช่แข็งใต้ดิน ความรู้สึกแปลก ๆ นี้แทรกซึมเข้าไปในร่างกายของเขาและแม้กระทั่งตัวเขาเองก็ไม่รู้จะอธิบายถึงความหวาดกลัวภายในใจอย่างไร ความกลัวทำให้หัวใจของเขาเต้นแรง
หลินเชาเซิงหยิบแก้วไวน์แล้วยิ้ม “ ลองดื่มไวน์ผลไม้ที่นี่สิ รสชาติดีทีเดียวมันน่าจะช่วยสงบสติอารมณ์ของนายได้นะ”
“ ไม่ครับ … ไม่ ขอบคุณ! เชิญคุณดื่มเลยครับ” ซูเฉาหยางตอบตามสัญชาตญาณ เขาเริ่มเสียใจแล้วที่ได้นั่งโต๊ะนี้
เขาไม่รู้ว่าทำไม
ความกลัวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษย์ คือความกลัวในสิ่งที่มองไม่เห็น
หลินเชาเซิงจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเขาอีกครั้ง หลังจากหยุดไปนานเขาก็บอก“ งั้นฉันจะชิมเอง”
เขาหยิบแก้วไวน์ขึ้นมา
และก้มศีรษะลง
จากนั้นเขาก็ค่อย ๆ ดึงหน้ากากออก
ขากรรไกรของซูเฉาหยางอ้าค้างทันที เขาช็อก!
สิ่งที่อยู่ภายใต้หน้ากากของหลินเชาเซิงไม่ใช่ปากของมนุษย์
แต่ … มันเป็นโครงฟันที่น่าสะพรึงกลัว!
หนอนสีดำหนาทึบคลานเข้าคลานออกลอดเหงือกและตามไรฟัน ลิ้นยาวบางสีแดงเลือดก็ยื่นออกมาเลียชิมไวน์ในแก้ว
นี่ไม่ใช่มนุษย์ … ฉันนั่งอยู่กับลุงหลินเกือบชั่วโมงแล้วและเขาก็ไม่ใช่มนุษย์ด้วยซ้ำ !!! ในบรรดาคนทั้งหมดที่นี่ในวันนี้ฉันได้นั่งข้างผีร้าย … ซูเฉาหยางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาได้กรีดร้องตอบรับสายตาที่น่ากลัวนี้แล้วหรือยัง ท้ายที่สุดแล้วเมื่อใดก็ตามที่คนเราต้องเผชิญกับความหวาดกลัวอย่างรุนแรงที่ก้าวข้ามขีดจำกัด ประสาทสัมผัสและกระบวนการคิดทั้งหมดจะลดลงเหลือเพียงแค่ความว่างเปล่า
หลินเชาเซิงพูดต่อด้วยเสียงที่ไร้วิญญาณ“ รสชาติดีทีเดียว … ”
“ อ่า … ” ในขณะที่ซูเฉาหยางกลับมามีสติและกำลังจะกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว มีดอันแหลมคมขนาดเล็กก็พุ่งตรงผ่านร่างกายของเขาตรงระหว่างที่ซี่โครงที่สามและสี่
นี่เป็นครั้งแรกที่หลินเย่เงยหน้าขึ้นมอง
ขยับเช่นเดียวกับหุ่นเชิด
ในความเป็นจริง … มันสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่ากรามอันแหลมคมของเธอแทบจะบดบังเส้นสีแดงจาง ๆ บนคอ
หมายความว่าหัวของเธอถูกหั่นออกและใส่กลับเข้าไปอีกครั้ง!
และเธอเป็นคนที่ถือมีดอยู่ในมือ
“ อะไร … เธอ…เธอ… ” ทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าซูเฉาหยางเริ่มเบลอ และก่อนที่เขาจะทรุดลงกับพื้น คำพูดสุดท้ายของเขาเป็นเพียงคำถามง่าย ๆ ที่แสดงออกถึงความสับสนไม่เข้าใจ
ห้องอาหารทั้งหมดลงอยู่ในความเงียบทันที
พึมพำ … ตึง!!
ดวงตาของซูเฉาหยางยังคงเบิกกว้าง ร่างของเขาทรุดลงไปจมกองเลือด ลมหายใจสุดท้ายเขาดึงผ้าปูโต๊ะด้วยความพยายามที่จะพยุงร่างกายของเขา จานจำนวนมากตกลงมาแตกเต็มพื้น
นักเรียนที่ส่งเสียงพูดคุยอยู่หันไปมอง สายตาของพวกเขาเปลี่ยนจากความสงสัยไปสู่ความตกใจ และกลายเป็นความหวาดกลัว นักเรียนทุกคนจ้องมองไปต้นตอของความวุ่นวายด้วยดวงตาที่เบิกกว้างและปากที่อ้าค้าง
นักเรียนหญิงยกมือปิดปากโดยไม่รู้ตัว นักเรียนชายต่างอ้าปากค้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ ก่อนที่สัญชาตญาณจะบอกให้หนี
บ่อน้ำสีแดงเข้มกลางห้องจัดงานนั้น กลับโดดเด่นขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ
“ ขอแนะนำอย่างเป็นทางการนะครับ” ท่ามกลางบรรยากาศที่หวาดกลัวหลินเชาเซิงลุกขึ้นยืนพร้อมกับหลินเย่
“ อาชีพของฉันคือผู้สื่อสารพิเศษ พวกเขาเรียกฉันว่าหุ่นเชิด”
“ ฉันต้องขอโทษด้วย แต่คุณทุกคนต้องตายที่นี่ในวันนี้เพราะฉันไม่ค่อยแน่ใจว่าใครคือคนแตะต้องสิ่งของของเรา … ”
“ ยังไงก็ตาม ฉันควรจะฆ่าคน 3000 คนดีกว่าที่จะยอมให้ผู้ร้ายหลุดมือไป … ”
………………………………………………………
ที่ตรงระเบียงทางเดินหน้าทางประตูหนีไฟ หวังเฉิงห่าวมองฉินเย่พยายามที่จะพังกุญแจ ด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ “ เกิดอะไรขึ้น ไม่กินข้าวแล้วเหรอ”
“ เราต้องหนีแล้ว!” การแสดงออกของฉินเย่ดุดันและเศร้าหมอง เขาพูดกัดฟัน“ ที่นี่มีบางอย่างผิดปกติ!”
“อะไร?” หวังเฉิงห่าวงุนงง“ ตอนนี้ข้างนอกหกโมงครึ่งแล้ว! ฉันไม่อยากออกไปข้างนอก”
“มากับฉัน นายไม่เป็นไรแน่! ตอนนี้ข้างนอกอันตรายน้อยกว่าที่นี่หมื่นเท่า!” ฉินเย่ทุบที่ล็อกประตูหลายครั้ง “ บ้าเอ๊ย!”
“ เกิดบ้าอะไรขึ้น?!”
โรงแรมเฝิงไหล ที่นี่มีทางเดินเพียงทางเดียวและตรงเข้าไปในห้องโถงจัดงาน และฉินเย่มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วว่ามีบางอย่างผิดปกติกับหลินเชาเซิง!
“ฟังฉันนะ” ฉินเย่จ้องตรงเข้าไปในดวงตาของหวังเฉิงห่าว“ นายสังเกตไหมว่าตอนฉันนั่งลงครั้งแรกหลินเชาเซิงถามฉันว่าฉันเป็นใคร”
“ มันแปลกตรงไหน?”
“ ทุกตรง!” ฉินเย่สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ พยายามสงบสติอารมณ์ “ ปกติคนที่ต้องทักทายเราคือหลินเย่ แต่เธอไม่ทำ รู้มั้ยว่าทำไม? เพราะ … หลินเย่ไม่สามารถตอบเราได้!”
จากนั้นเขาก็พูดทิ้งระเบิด “ นั่นเป็นเพราะ … เธอตายไปแล้ว”