บทที่ 8 ตราจ้าวนรก
น้ำตกอเวจีนั้นงดงามและยิ่งใหญ่เป็นอย่างมาก เพราะว่าดวงวิญญาณทั้งหมดที่ยังล่องลอยอยู่ในโลกมนุษย์ก่อนจะถึงเทศกาลวันสารทจีนนั้น มีจำนวนมากกว่า 100,000 ดวง เมื่อพวกเขาพุ่งไปที่แม่น้ำแห่งความหลงลืมพร้อมกัน น้ำตกวิญญาณก็ดำเนินต่อไปเป็นเวลาหลายสิบนาที
ฟึ่บ…เรือยังคงวนอยู่อย่างนั้นราวกับไม่มีน้ำหนัก ฉินเย่เองก็พยายามบังคับหางเสืออย่างดุเดือด แต่มันกลับดูเหมือนว่าไม่มีทางที่เรือจะไปที่สะพานนั้นได้ เวลายังคงดำเนินต่อไป ขณะที่ดวงวิญญาณจำนวนมากแห่แหนไปที่ปลายสะพานราวกับแมลงเม่าที่บินเข้ากองไฟ ตกลงไปตายในเหวลึก
20 นาทีผ่านไป…40 นาทีผ่านไป….
ทันใดนั้นเอง ขณะที่ดวงวิญญาณจำนวนมากที่รวมตัวกันอยู่ที่ปลายสะพาน วิญญาณดวงหนึ่งก็สามารถเดินบนความว่างเปล่าได้โดยที่ไม่ร่วงลงไป
ในขณะนั้น หญิงชราก็ถอนหายใจออกมาอย่างโศกเศร้า แล้วจู่ ๆ ร่างของนางหายไป และคลื่นพลังความมืดบางอย่างก็แผ่ไปทั่วความว่างเปล่าและโอบล้อมดวงวิญญาณทั้งหมดเอาไว้
เมื่อเหล่าดวงวิญญาณปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง พวกเขาก็ขึ้นมาอยู่บนเรือข้ามฟากที่อยู่ห่างออกมาแล้ว
“นั่นใช่เขาหรือเปล่า?” ฉินเย่เหลือบสายตาไปเห็นดวงวิญญาณดวงหนึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ อีกฝ่ายคือชายวัยกลางคน สภาพของเขาแทบจะไม่มีที่ติเลยแม้แต่น้อย ดวงวิญญาณของเขามีสันกรามที่ชัดเจน จมูกโด่งเป็นสัน และคิ้วที่คมเข้ม เสื้อผ้าที่เขาสวมอยู่ก็ถูกเลือกมาอย่างดี มันเป็นของยี่ห้ออามานี่เสียด้วย!
บุคคลที่ทำให้ยายเฒ่าที่มีพลังมหาศาลต้องประสบกับปัญหามากมาย…เป็นเพียงแค่คนธรรมดาคนหนึ่งเนี่ยนะ?
“ใช่ ตอนนี้นรกกำลังตกอยู่ในความวุ่นวาย และข้าก็ไม่สามารถระบุตำแหน่งที่แน่ชัดของเขาได้ เมืองชิงซีมีประชากรมากและเวลาก็มีอยู่อย่างจำกัด ข้ารู้แค่ว่าเขาเพิ่งตายมาไม่ถึงเจ็ดวันเท่านั้น และผู้ชายคนนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับ ‘มัน’ อย่างแน่นอน การมาที่ประตูนรกคือตัวเลือกที่ดีที่สุดที่เรามีในตอนนี้” ทันทีที่เอ่ยจบ หญิงชราก็ยื่นมือของนางเข้าไปที่หน้าอกของวิญญาณดวงนั้น
“อ๊ากกกก!!!” เสียงกรีดร้องทรมานดังขึ้นและสีหน้าของอีกฝ่ายก็บิดเบี้ยวอย่างรุนแรง และในวินาทีต่อมา ความเย็นของโลกใต้พิภพก็แผ่ซ่านไปทั่วเรือ
ฟิ้ววววว! ไม่มีการเตือนอะไรทั้งสิ้น กระแสลมกระโชกแรงพัดเข้าใส่ร่างของฉินเย่จนเสื้อคลุมที่เขาสวมอยู่ปลิวสะบัดไปในอากาศ ดวงตาของชายหนุ่มเบิกกว้างขึ้นอย่างตกตะลึง ขณะที่อุทานออกมาอย่างเหลือเชื่อ “พระเจ้า…”
มันคือพลังหยิน!
แม้ว่ามันจะไม่ได้รุนแรงเท่าไหร่นัก แต่ความบริสุทธิ์ของมันนั้นน่าตกตะลึงเป็นอย่างมาก!
ฟิ้ว~……คลื่นพลังหยินที่พลุ่งพล่านเข้ามานั้นรุนแรงจนความว่างเปล่าที่เรือข้ามฟากลอยอยู่สั่นเล็กน้อย และแม้แต่อสูรที่อยู่ที่ก้นเหวลึกก็เงียบไปเช่นกัน มันเป็นไปไม่ได้เลยที่คลื่นพลังขนาดนี้จะมาจากร่างของวิญญาณธรรมดา ๆ! พลังของมันน่าสะพรึงกลัวกว่าของยายเฒ่าเสียอีก!
มันคืออะไร?!
ผู้ชายคนนี้?
วิญญาณพันปี?
“อึก…” วินาทีนี้หญิงชราได้ยื่นมือของตนออกไปขณะที่ถอยหลังไปสองสามก้าว ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยเหงื่อ และแขนของนางก็เป็นประกายสีทองอ่อน ๆ และที่แปลกกว่านั้น..จู่ ๆ ริ้วรอยบนใบหน้าของนางก็เพิ่มขึ้น มันเหมือนกับว่านางอายุมากขึ้นหลายสิบปีภายในพริบตา
ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบทันที
ตึกตัก ตึกตัก หัวใจของเขาเต้นแรงจนเสียงของมันดังก้องอยู่ในหู และทันใดนั้นฉินเย่ก็พบว่าร่างของเขาได้เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ จากนั้นจึงเอ่ยพึมพำออกไปด้วยหัวใจที่สั่นระริก “ราชาวิญญาณ?”
หญิงชราจ้องมองไปที่มือของตัวเองโดยไม่พูดอะไร หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งนางก็ยิ้มออกมาอย่างเศร้า ๆ “มันอยู่ในร่างของผู้ชายคนนี้…ข้าคำนวณได้แค่ว่ามันอยู่ภายในเมืองชิงซี แต่เจ้าก็ยังไม่สามารถหาเขาเจอ ดังนั้นข้าจึงคิดขึ้นมาได้ว่าตัวเลือกที่ดีที่สุดของเราก็คือรอให้เขามาที่นี่ ตอนที่ประตูนรกเปิดในช่วงเทศกาลวันสารทจีน นั่นคือเวลาที่ผู้ที่ถือครอง ‘มัน’ จะมาที่นี่ในที่สุด…”
ฉินเย่มองหญิงชราตากะพริบ “ ‘มัน’ ที่ว่าของท่านคืออะไรกันแน่?”
อีกฝ่ายเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบออกมา “ตราจ้าวนรก”
“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง….เดี๋ยวนะ!” ฉินเย่มองไปยังหญิงชราตรงหน้าของตนราวกับเห็นผี จากนั้นถึงเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเหลือเชื่อ “ตราจ้าวนรก? รากฐานสำคัญในตำนานที่ใช้สร้างให้เกิดนรกขึ้นมาน่ะหรือ? พวกท่านทำของที่สำคัญขนาดนี้หายไปได้อย่างไร?”
แค่ความจริงที่พวกท่านยังมีชีวิตอยู่ก็น่าอัศจรรย์พอแล้ว…
“มองแบบนั้นมันหมายความว่ายังไง? เรื่องมันไม่ได้เป็นไปอย่างที่เจ้าคิด” หญิงชรามองฉินเย่อย่างโมโห ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน “เมื่อครั้งที่นรกเพิ่งถูกสร้างขึ้นมา มันมีสมบัติสำคัญอยู่สามชิ้น และตราจ้าวนรกก็เป็นหนึ่งในนั้น”
“ต่อมาตราจ้าวนรกก็ได้แตกเป็นเสี่ยง ๆ ด้วยเหตุผลบางอย่าง แต่ก็เช่นเดียวกันกับสมบัติชิ้นอื่น ๆ ตราบใดที่เจ้าสามารถหาเศษส่วนชิ้นแรกของมันได้ เศษส่วนนั้นก็จะนำพาเจ้าไปยังสถานที่ของเศษส่วนชิ้นอื่น ๆ ต่อไป
“เดี๋ยวก่อนนะ” ฉินเย่จับประเด็นสำคัญทั้งหมดและชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง “ ท่านคงไม่ได้ปิดบังอะไรเอาไว้ใช่ไหม?”
“เจ้าหมายความว่ายังไง? ตอนนี้เจ้ามีโอกาสที่จะได้รับการเสนอชื่อให้เป็นจ้าวนรกคนสุดท้ายนะ สามัญสำนึกของความรับผิดชอบต่อหน้าที่และประชากรนรกของเจ้าอยู่ที่ไหนกัน?”
“บ้าไปแล้ว….ข้าไม่ได้อยากจะทำอะไรพวกนี้เลยสักนิด!”
“เช่นนั้นก็ได้โก่วต้าน แล้วเจ้าก็จะมีเวลาเหลืออยู่ในโลกมนุษย์อีกแค่สามวัน”
ครั้งนี้ฉินเย่เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เข้มกว่าเดิม สัญชาตญาณการเอาตัวรอดของเขาทำงานอีกครั้ง “…นั่น…..เรามาคุยเรื่องนี้กันอย่างจริงจังและเลิกพูดเรื่องที่ไม่จำเป็น หรือขู่ให้กลัวกันดีหรือเปล่า? อย่างตอนนี้ มาพูดเรื่องที่ว่าจริง ๆ แล้วข้าเล่นเกมที่ต้องใช้ไอคิว (IQ) สูง ๆ ไม่เก่งเท่าไหร่จะดีกว่าไหม?”
หญิงชราเหลือบมองอีกฝ่าย “ ‘หากเราไม่มีผิวหนัง ขนก็ไม่มีที่ให้เกาะ’ [1] เจ้าไม่เข้าใจหลักการนี้หรือไง? ถ้าหากนรกพบว่าตัวเองตกอยู่ในความไม่มั่นคง คนแรกที่จะต้องตายก็คือคนอย่างเจ้าที่ไม่ได้เป็นทั้งคนเป็นหรือคนตาย”
ป่าเถื่อน!
เส้นเลือดข้างขมับของฉินเย่นูนขึ้นและเต้นตุบ ๆ ชีวิตมันเป็นเรื่องบัดซบ ตั้งแต่ที่เขาไม่สามารถโตขึ้นได้ เขาก็ตัดสินใจที่จะยอมรับมันแต่โดยดีและสนุกกับมันให้เต็มที่ แต่ตอนนี้ในใจของเขากลับอยากจะหัวเราะออกมาดัง ๆ
เห้อ…เอาเถอะ….ยายเฒ่า…
“ทำไมมนุษย์ธรรมดาอย่างเขาถึงมีตราจ้าวนรกได้?” เมื่อคิดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง ฉินเย่ก็หันไปสนใจดวงวิญญาณที่ยืนอยู่ตรงหน้าตน และขณะที่เขาจะเอ่ยต่อ ฉินเย่ก็ต้องชะงักไปและขยี้ตาตัวเองซ้ำ สายตาของเขายังคงจับจ้องไปที่วิญญาณตรงหน้า
“มีอะไร?”
“ข้าเคยเห็นเขามาก่อน” หลังจากผ่านไปสักพัก ฉินเย่จึงหันกลับไปหาหญิงชราและขมวดคิ้วเข้าหากัน
“นี่…พ่อของหวังเฉิงห่าวไม่ใช่หรือ?”
“เจ้าแน่ใจนะ?” สายตาของหญิงชราเปลี่ยนเป็นจริงจังทันที
“ข้าแน่ใจ!” ฉินเย่เอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เขาคือคนที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองชิงซี หวังเจ๋อหมิน ข้าเคยเห็นเขาตอนวันประชุมผู้ปกครองที่โรงเรียน ลูกชายของเขาหวังเฉิงห่าวเรียนอยู่ห้องเดียวกันกับข้า”
“เขาตายแล้วจริง ๆ เหรอ? ทำไมข้าถึงไม่ได้ยินเรื่องนี้มาก่อน…”
แต่แล้วเด็กหนุ่มก็ต้องหยุดพูดไปกลางคันอีกครั้ง ก่อนที่ดวงตาของเขาจะเบิกกว้างขึ้น
เดี๋ยวนะ….มันมีบางอย่างไม่ถูกต้อง!
การตายของชายที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองชิงซีจะต้องตกเป็นข่าวใหญ่แน่ ๆ และมันก็อาจจะถูกเผยแพร่ไปทั่วเมืองเลยด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะเป็นช่องทางธรรมดาหรือในสื่อออนไลน์ต่าง ๆ ยิ่งกว่านั้น ต่อให้เรื่องพวกนี้ไม่ถูกประกาศออกไป อย่างน้อย…ท่าทางของหวังเฉิงห่าวที่เป็นลูกชายก็น่าจะมีอะไรแปลกไปบ้างสิ
แต่นี่กลับไม่มีอะไรเลย
พฤติกรรมของเฉิงห่าวตลอดสองวันที่ผ่านมาแทบจะดูไม่ออกเลยว่าเพิ่งสูญเสียผู้เป็นพ่อไปสักนิด และที่สำคัญที่สุด ฉินเย่กำลังนึกถึงบทสนทนาที่ตนกับอีกฝ่ายได้พูดคุยกันก่อนหน้านี้
“ฉินเย่…นายรู้วิธีที่จะจัดการกับสิ่งนี้หรือเปล่า?”
“นายกลัวว่าตัวเองจะเจอมันอีกเหรอ?”
“มันไม่ใช่ฉิน….แต่…ครอบครัวฉัน…เพิ่งได้เจอมาเมื่อเร็ว ๆ นี้…”
ทุกอย่างมันดูแปลกขึ้นเรื่อย ๆ
นรกดูเหมือนว่าได้หยุดการทำการ ตราจ้าวนรกพังทลายและกระจัดกระจายไปทั่วโลกมนุษย์ ดวงวิญญาณของคนบังคับเรือหลุดลอยไป และยังเรื่องเหนือธรรมชาติจำนวนมากที่เกิดขึ้นในโลกมนุษย์อีก….ฉินเย่เปลี่ยนความคิดของตัวเองก่อนหน้านี้ ในนรก….สิ่งที่ร้ายแรงก็การหยุดการทำงานได้เกิดขึ้นที่นี่
“ไปกันเถอะครับ” เขาส่ายหัว จากนั้นก็หันไปเรียกหญิงชราอีกครั้ง
“หืม? แล้วความปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ของเจ้าก่อนหน้านี้ล่ะ?”
ฉินเย่กลอกตามองอีกฝ่าย ก็ในเมื่อเขาไม่สามารถต่อต้านอะไรได้ ตัวเลือกต่อไปที่ดีที่สุดก็คือการลงมือทำ เพราะอย่างไรแล้วการอยู่รอดก็คือเรื่องสำคัญอย่างหนึ่งไม่ใช่หรือไง?
การอยู่รอด คำนี้ไม่ได้หมายถึงแค่การใช้ชีวิตอยู่ต่อไปเรื่อย ๆ เหมือนกับสุนัขตัวหนึ่ง แต่มันหมายถึงความมั่นคงในการดำรงชีวิต เหมือนกับที่สุนัขในวัดที่ได้เจอสถานที่พึ่งพิง
“นั่นคือสิ่งที่ข้าชอบมากที่สุดในตัวเจ้า เจ้าเป็นคนรู้ขีดจำกัดของตัวเอง” หญิงชราหยิบยันต์ออกมาแผ่นหนึ่งและแปะมันไว้ที่หน้าผากของหวังเจ๋อหมิน ก่อนที่จะขยำยันต์แผ่นนั้นจนกลายเป็นลูกบอล แบบนั้น…ดวงวิญญาณตรงหน้าก็กลายเป็นลูกบอลที่ถูกผนึกไว้ด้วยยันต์นั้น จากนั้นจึงใส่มันไว้ในกระเป๋าเสื้อของฉินเย่
“…บ้าน่า หลังจากที่พยายามหาตำแหน่งของเขามาอย่างยากลำบาก ท่านสามารถจัดการกับเขาได้ง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“ดูแลมันให้ดี เพื่อนของเจ้า…ข้าเกรงว่าเขาอาจจะกำลังกำ ‘กุญแจ’ ที่สำคัญที่สุดของเรื่องนี้เอาไว้ แต่ตอนนี้มันยังไม่ใช่เวลาที่จะพูดเรื่องนั้น”
เมื่อพูดจบนางก็ผลักฉินเย่ออกไปบังคับหางเสือแทน จากนั้นเพียงการบังคับแค่ครั้งเดียว แตรของเรือข้ามฟากก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“ก่อนหน้านี้เจ้าคิดว่านรกหยุดทำการแล้วใช่หรือไม่?”
“ในเมื่อเจ้าผ่านการทดสอบคุณสมบัติ ข้าจะให้เจ้าได้เห็นความจริงที่น่ากลัวมากกว่าการคาดเดาตื้น ๆ ของเจ้าถึง 10,000 เท่า จากสถานการณ์จริงทั้งหมดของนรกที่ต้องเผชิญในตอนนี้”
ฟึ่บ…ทันทีที่หญิงชราบังคับหางเสือ เรือก็เริ่มแล่นด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ เคลื่อนที่ผ่านความว่างเปล่าและเข้าไปในส่วนลึกของนรก
หลังจากผ่านไปสักพัก เสียงคำรามดังก้องไปทั่วเหว และอีกสิบนาทีต่อมา หัวขนาดใหญ่ของผู้หญิงคนหนึ่งก็โผล่ขึ้นมา
ใบหน้าของนางงดงามเป็นที่สุด คิ้วคมเรียงสวยและดวงตาทรงอัลมอนด์ ริมฝีปากแดงเข้มราวกับสีเลือด ในขณะที่ผิวของนางขาวและเรียบเนียนราวกับหิมะ
ไม่มีสิ่งไหนเลยบนใบหน้าของนางที่ไม่สวยงาม ถ้าหากมากกว่านี้มันก็จะเกินไป แต่ถ้าน้อยกว่านี้ก็จะหมายถึงความไม่สมบูรณ์แบบ
แต่มันมีแค่ส่วนหัวเท่านั้น
ตั้งแต่ส่วนคอลงไปมันไม่มีอะไรเลย! ด้านหลังของหัวมีเส้นผมสีเขียวอยู่แค่สามเส้นเท่านั้น หัวขนาดใหญ่นี้ไม่ได้เล็กกว่าเรือข้ามฟากที่แล่นไปไกลแล้วเลยสักนิด มันแทบจะเหมือนกับดวงอาทิตย์เลยด้วยซ้ำ ถึงแม้ว่ามันจะมีใบหน้าของมนุษย์อยู่ แต่มันก็ดูแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก
“นั่นคือจ้าวนรกคนสุดท้ายที่ท่านเลือกอย่างนั้นหรือ?” สายตาของนางมองตรงไปยังทิศทางที่เรือแล่นไป หลังจากผ่านไปสักพักใหญ่ นางก็ถอนหายใจออกมา “หากเราไม่มีผิวหนัง ขนก็ไม่มีที่ให้เกาะอย่างนั้นหรือ….พูดได้ดี…”
“แล้วหากไม่มีนรกแล้ว การมีอยู่ของพวกเราจะมีประโยชน์อะไรเล่า?”
“แต่ท่านก็ยังยอมใช้ทุกอย่างที่ตัวเองมี แต่มันจะทำอะไรได้?”
“หากโลกมนุษย์จะตกอยู่ในความโกลาหลจริง ๆ…ก็ปล่อยให้มันเป็นไปสิ! มนุษย์และวิญญาณนั้นแตกต่างกันโดยพื้นฐานอยู่แล้ว แล้วอะไรที่ทำให้ท่านคิดว่าปัญหานี้จะสามารถแก้ได้โดยใช้แค่กำลังของมนุษย์? ทำไมต้องกังวลเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้ด้วย?”
หลังจากที่ส่ายหน้าอย่างไม่ยอมรับ ใบหน้าอันงดงามก็ค่อย ๆ จมลงไปในเหวลึกอีกครั้ง
………………………………………………..
เนื่องจากมีหญิงชราอยู่ที่หางเสือและฉินเย่อยู่ที่หัวเรือ เรือลำใหญ่จึงแล่นไปได้อย่างรวดเร็ว ทุกอย่างโดยรอบล้วนถูกปกคลุมไปด้วยหมอกดำหนา แต่เรือก็ยังคงแล่นไปด้านหน้าด้วยความเร็วที่เหลือเชื่อ ทะเลหมอกสีดำยังคงแยกออกเป็นสองทาง เหมือนกับที่โมเสสแยกทะเลออกเป็นสองฝั่ง
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดกลุ่มหมอกก็จางลงและสะพานขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าของพวกเขา
มันคือสะพานหินปูนที่กว้างจนน่าเหลือเชื่อ อย่างน้อยก็กว้างกว่า 10,000 เมตร ในขณะที่ปลายสุดของสะพานนั้นทอดยาวจนมองไม่เห็น!
ตัวสะพานทุกเส้นถูกปูด้วยหินอ่อน แต่มันกลับดูเก่าและทรุดโทรม แถมยังมีบางส่วนที่เปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นและรอยขีดข่วน และมันยังมีตะไคร่ขึ้นอยู่ตามพื้น เห็นได้ชัดเลยว่าสะพานนี้มีอายุมานานหลายปีแล้ว
ทุกคนที่ยืนอยู่บนสะพานล้วนรู้สึกตัวเล็กเท่ามดทั้งนั้น ฉินเย่ยังคงยืนมองความกว้างกว่าหมื่นเมตรของสะพานอย่างตกตะลึง จากนั้นเขาก็สูดหายใจเข้าลึก ๆ และถาม “หรือนี่จะเป็น….สะพานแห่งความจนใจ?”
สายตาของหญิงชราซับซ้อนอย่างไม่สามารถอธิบายได้ นางปล่อยมือจากหางเสือและชี้ไปที่สะพาน “เมื่อประมาณร้อยปีก่อน ข้านั่งอยู่ตรงนั้น คอยมอบชามน้ำแกงให้กับเหล่าดวงวิญญาณที่ต้องการจะลืมอดีตของตนเอง”
ฉินเย่เลื่อนสายตาไปมองตามที่อีกฝ่ายชี้ ที่ต้นของสะพานมีหม้อต้มสามขารูปทรงโบราณที่ทำมาจากสัมฤทธิ์ตั้งอยู่ ขนาดของมันถือได้ว่าใหญ่มาก ความสูงประมาณร้อยเมตร บนตัวหม้อถูกแกะสลักเป็นรูปดอกไม้ นก แมลง และงูจำนวนมาก ขณะที่มังกรสัมฤทธิ์สี่ตัวถูกสลักให้ดูคล้ายกับว่าพวกมันออกมาจากหม้อ ปากของพวกมันอยู่ห่างจากพื้นไม่เกินครึ่งเมตร ด้านล่างของหม้อมีโต๊ะสี่เหลี่ยมโบราณที่สามารถนั่งได้แปดตนตั้งอยู่ ตัวโต๊ะถูกคลุมไว้ด้วยผ้าสีเหลือง
หม้อต้มอยู่ที่นั่น แถมโต๊ะก็อยู่ที่นั่น…แต่มันกลับไม่มีใครยืนอยู่แถวนั้นเลย
“ตำนานกล่าวว่าสะพานแห่งความจนใจนั้นตั้งอยู่กึ่งกลางของทางหวงเฉวียน ผู้ที่สามารถมาถึงที่นี่ได้ ไม่ว่าใครก็ตาม ต่างก็จะร้องไห้ออกมาอย่างทำอะไรไม่ถูก ผู้กรรเชียงเรือทำหน้าที่ช่วยพาดวงวิญญาณมาที่สะพานแห่งความจนใจ พาพวกเขาข้ามแม่น้ำลืมเลือนมาที่สะพาน สถานที่ที่พวกเขาจะได้ดื่มน้ำแกงของยายเมิ่งก่อนที่จะได้ไปเกิดใหม่ในที่สุด” ฉินเอ่ยออกมาขณะที่มองไปยังภาพตรงหน้า “หลังจากที่ดื่มน้ำแกงของยายเมิ่งไปแล้วพวกเขาจะลืมทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชาตินี้ หากใครต้องการเก็บความทรงจำพวกนี้เอาไว้ พวกเขาก็ต้องกระโดดลงไปในแม่น้ำลืมเลือนและรอไปอีก 1,000 ปี”
“แต่หลังจากที่เกิดเรื่องขึ้น ผู้นำพาดวงวิญญาณตายไป ดวงวิญญาณทั้งหลายก็ไม่ได้มาที่สะพานแห่งความจนใจอีกต่อไป และยายเมิ่งก็ต้องเดินทางไปที่โลกมนุษย์เป็นครั้งแรก นั่นทำให้นางพบว่ามีดวงวิญญาณนับล้านที่ยังคงติดอยู่ที่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำลืมเลือน…ยายเมิ่งที่เคารพ มันเกิดอะไรขึ้นกับนรกกันแน่?”
“เจ้าดูไม่ตกใจเลยนะ?” หญิงชราสามารถรู้ได้จากสีหน้าของชายหนุ่มเลยว่าฉินเย่รู้เรื่องนี้อยู่แล้ว และตอนนี้แววตาของอีกฝ่ายก็มีแต่ความตื่นตะลึงกับความงดงามของสะพานแห่งความจนใจมากกว่า
ฉินเย่ส่ายหน้าและยิ้มแหย ๆ “ข้าพอจะเดาได้ตั้งแต่ที่ท่านบอกว่าผู้กรรเชียงเรือนำดวงวิญญาณมาส่งยังที่ที่ท่านอยู่แล้ว เพราะสุดท้าย…ท่าเรือของอีกฟากมันก็มีอยู่เพียงแห่งเดียวเท่านั้น”
ไม่อย่างนั้นท่านคิดว่าทำไมข้าถึงยอมทำตามอย่างว่าง่ายล่ะ?
เขาเป็นชายหนุ่มเลือดร้อนนะ! แค่สามวันงั้นเหรอ? แล้วมันยังไงล่ะ?
เขายอมตายอย่างสง่าภายในสามวัน ดีกว่าต้องเป็นไอ้พวกขี้ขลาดที่คอยร้องขอความเมตตา
แต่!
กุญแจสำคัญมันอยู่ที่เรื่องคุณสมบัตินี่สิ
เขาที่ไม่มีความสามารถพอที่จะต้านทานได้ก็เท่านั้น หญิงชราที่มีพลังขนาดที่สามารถทำให้เขากลายเป็นกองเนื้อบดได้เพียงแค่สะบัดข้อมือ…ต่อต้านไปแล้วมันจะมีประโยชน์อะไร?
และในเมื่อทำไม่ได้ มันก็คงจะเป็นการดีกว่าที่จะเปลี่ยนความดื้อรั้นให้เป็นความยินยอม…และนี่คือสิ่งที่ฉินเย่สามารถรับมือกับสถานการณ์ได้อย่างไม่มีที่ติ
[1] หากเราไม่มีผิวหนัง ขนก็ไม่มีที่ให้เกาะ อุปมาว่า สรรพสิ่งไม่มีพื้นฐาน สรรพสิ่งนั้นก็ไม่อาจดำรงอยู่ได้