บทที่ 63 แผนการเจ้าเล่ห์[รีไรท์]
จ้าวเหมิงลู่มองไปที่จ้าวปาเทียนด้วยความประหลาดใจ ปู่จะให้ตำแหน่งหลิงตู้ฉิงเป็นผู้ช่วยอาจารย์?
แม้ว่าตำแหน่งผู้ช่วยอาจารย์จะฟังดูดี แต่ก็เป็นหน้าที่ที่แทบไม่มีความหมายอะไรเลย แล้วคนอย่างหลิงตู้ฉิงจะยอมรับตำแหน่งผู้ช่วยอาจารย์ได้อย่างไร?
“ท่านปู่ ท่านเชิญให้เขามาเป็นแค่ผู้ช่วยอาจารย์ นี่มันจะไม่ถือว่าเป็นการดูหมิ่นเขาไปหน่อยเหรอ?” จ้าวเหมิงลู่พูดต่ออย่างหมดหนทาง “ข้ารับรองได้เลยว่าเขาเป็นคนที่ทรงพลังมากและมีคุณสมบัติที่จะเข้ารับตำแหน่งใด ๆ ก็ได้ในสถาบันของเรา”
จ้าวปาเทียนพูดอย่างรวดเร็ว “หากเจ้าพูดว่าเขามีคุณสมบัติรับตำแหน่งไหนก็ได้ อย่างนั้นปู่ควรยกตำแหน่งของปู่ให้กับเขาเลยดีไหม? ที่ปู่บอกว่าจะให้เขามาเป็นผู้ช่วยอาจารย์นั่นน่ะ ‘อาจารย์’ คนที่ปู่หมายถึงก็คือปู่เองนี่แหละ ให้เขามาเป็นผู้ช่วยของปู่ที่เป็นอธิการบดีแบบนี้ถือว่าปู่ดูหมิ่นเขาอีกหรือไง?”
แม้จะได้ยินเช่นนั้น แต่จ้าวเหมิงลู่ก็ยังรู้สึกผิดกับหลิงตู้ฉิงอยู่ดี จะให้เขาเป็นแค่ผู้ช่วยได้อย่างไร? แม้ว่าปู่ของนางจะเป็นอธิการบดีหรือต่อให้เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดารา แต่ในด้านการสอนแล้วปู่ของนางไม่สามารถสอนนางได้หมือนกับที่หลิงตู้ฉิงชี้แนะให้นางเลย…
จ้าวปาเทียนพูดต่อว่า “เขาไม่เคยเป็นครูมาก่อน ถ้าปู่ไม่ลองให้เขามาเป็นผู้ช่วยของปู่ก่อนเป็นเวลา 2 ปี ปู่คงไม่สามารถวางใจจัดการเลื่อนตำแหน่งให้เขาได้ ถ้าเจ้าไม่ยินยอมก็ลองออกไปข้างนอกและถามว่ามีกี่คนที่ยินดีเป็นผู้ช่วยของปู่ เจ้าอย่าลืมถามพวกเขาด้วยว่าพวกเขาเต็มใจรึเปล่า…”
จ้าวเหมิงลู่รีบพูดว่า “ท่านปู่ ท่านอยากจะอ้างอะไรก็อ้างไปเถอะ! แต่ตอนนี้ท่านรีบส่งเอกสารเชิญตัวหลิงตู้ฉิงและหนังสือระเบียบการรับเด็กเข้าสถาบันการศึกษาให้ข้าเร็ว ๆ ข้าต้องรีบกลับไปที่เมืองฟีนิกซ์ด้วยตัวเองก่อน”
นางคิดว่าถ้าหลิงตู้ฉิงไม่สามารถยอมรับตำแหน่งผู้ช่วยของปู่นางได้จริง ๆ นางอาจจะคิดหาวิธีอื่นให้หลิงตู้ฉิงมาที่สถาบันของปู่นางให้ได้!
ตอนนี้นางต้องการรีบกลับไปที่เมืองฟีนิกซ์เพื่อพาหลิงตู้ฉิงและคนอื่น ๆ ให้มาที่เมืองหลวง นางจำคำกล่าวของหลิงตู้ฉิงได้ขึ้นใจ เขาได้เอ่ยกับนางไว้ว่าภายในเวลา 3 เดือนต้องให้คำตอบกับเขา และด้วยลักษณะนิสัยของคนแบบหลิงตู้ฉิงแล้ว หากนางกลับไปไม่ทันไม่แน่หลิงตู้ฉิงอาจได้แม่คนใหม่ให้กับลูก ๆ ของเขาไปแล้วก็ได้
จ้าวปาเทียนพูดอย่างขมขื่น “ดีจริง ๆ เลยหลานปู่ ดูเหมือนว่าเดี๋ยวนี้เจ้าจะเห็นผู้ชายคนอื่นดีกว่าปู่ไปแล้วสินะ ปู่ล่ะอยากจะเห็นหน้าของเขาจริง ๆ ว่าผู้ชายแบบไหนกันที่ทำให้หลานของปู่เป็นเอาได้ถึงขนาดนี้…”
เมื่อได้ยินคำพูดของจ้าวปาเทียน จ้าวเหมิงลู่ก็หน้าแดงและพูดว่า “ข้าไม่คุยกับท่านแล้วท่านรีบ ๆ ออกเอกสารให้ข้าสักทีเถอะ!”
“ก็ได้ ก็ได้ ปู่จะไปเตรียมให้เดี๋ยวนี้แหละ” จ้าวปาเทียนพูดอย่างช่วยไม่ได้
หลังจากจ้าวเหมิงลู่กลับไปจ้าวปาเทียนถอนหายใจออกมาหนึ่งเฮือกอย่างช่วยไม่ได้
อย่างไรก็ตามในเรื่องของเอกสาร แม้ว่าเขาจะเป็นอธิการบดีเขาก็ยังคงต้องใช้เวลาในการจัดการอยู่บ้าง
ในอีกด้านหนึ่ง เฮ่อเจี้ยนปิงตอนนี้มีความรู้กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
เนื่องจากจ้าวปาเทียนเพิ่งติดต่อถามเขาเกี่ยวกับการฝึกลูก ๆ ของหลิงตู้ฉิง ซึ่งเขาไม่สามารถตอบคำถามนั้นได้เลย
เขาไม่เคยเข้าไปอยู่ในเรือนหลิง ดังนั้นเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าเด็กเหล่านั้นฝึกกันอย่างไร
เขาไตร่ตรองอยู่นานก่อนที่จะพูดกับ หยิงหวูเจี้ยงว่า “ศิษย์น้อง ข้าว่า ข้าจะขอให้เจ้าช่วยอะไรข้าบางอย่าง”
“ศิษย์พี่ หากท่านต้องการให้ข้าช่วยอะไรท่านกล่าวมาได้เลยอย่าได้เกรงใจ” หยิงหวูเจี้ยงพูด
“ตอนนี้หลิงตู้ฉิงรู้แล้วว่าข้าเป็นใคร มันคงไม่ดีแน่หากอยู่ดี ๆ ข้าจะเข้าไปในเรือนพวกเขาเพื่อตรวจสอบเรื่องนี้ เพราฉะนั้น…ข้าคิดว่า…ข้าจะให้เจ้าเข้าไปในเรือนหลิงเพื่อสืบเรื่องนี้แทนข้า” เฮ่อเจี้ยนปิงกล่าว
อันที่จริงตอนนี้เฮ่อเจี้ยนปิงเองก็สับสนมากกับคำถามของอาจารย์ของเขา นี่มันเป็นแค่เรื่องงานแต่งระหว่างหลิงตู้ฉิงกับจ้าวเหมิงลู่ไม่ใช่หรือไง ทำไมจะต้องให้เขาไปสืบเรื่องของเด็ก ๆ ในเรือนหลิงอีก?
อย่างไรก็ตามนี่คือคำสั่งของอาจารย์ เขาไม่สามารถปฏิเสธคำสั่งได้
หยิงหวูเจี้ยงตอบกลับอย่างกระวนกระวายว่า “เดี๋ยว ๆๆ ศิษย์พี่ เราสองคนเป็นศิษย์ของอาจารย์คนเดียวกันนะถ้าหลิงตู้ฉิงสามารถเชื่อมโยงท่านกับจ้าวเหมิงลู่ผ่านการมองเห็นระดับบ่มเพาะของท่านได้ ดังนั้นมันก็ไร้ประโยชน์แม้ว่าข้าจะไปที่เรือนหลิงด้วยตัวเอง”
“เรื่องนี้สิยาก!” เฮ่อเจี้ยนปิงพึมพำ
หยิงหวูเจี้ยงก็เริ่มไตร่ตรอง
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง หยิงหวูเจี้ยงตะโกนขึ้นว่า “ข้ามีวิธีแล้ว!”
“วิธีอะไร?” เฮ่อเจี้ยนปิงรีบพูด
“วิธีของข้าคือการใช้ประโยชน์จากความขัดแย้งระหว่างสถาบันหงส์เพลิงและกลุ่มลูก ๆ ของหลิงตู้ฉิง!” หยิงหวูเจี้ยงพูดอย่างภาคภูมิใจ “ท่านลองคิดดูสิว่าในการทดสอบคราวก่อนของสถาบันหงส์เพลิง หลิงตู้ฉิงที่ไม่พอใจกับการกระทำของเจิ้นสีชวงเขาได้พูดสบประมาทนักเรียนคนอื่น ๆ ที่อยู่ในที่นั้นด้วย นี่ทำให้นักเรียนและผู้ปกครองจำนวนมากล้วนขุ่นเคืองด้วยเช่นกัน”
“เอางี้นะศิษย์พี่ เดี๋ยวก็ใกล้จะมีการจัดงานประลองประจำปีขึ้นมาแล้ว มันเป็นการประลองทุกปีของเทศการบูชาเพลิง ข้าวางแผนไว้ว่าข้าจะส่งคนไปยุแหย่พวกครอบครัวที่ถูกหลิงตู้ฉิงสบประมาทไว้สักหน่อย เมื่อถึงเวลา ครอบครัวเหล่านั้นจะต้องกรูกันเข้าไปท้าหลิงตู้ฉิงล้างอายแน่นอน ฮ่าฮ่าฮ่า”
เฮ่อเจี้ยนปิงหัวเราะเสียงด้วยเช่นกัน เขาตบบ่าหยิงหวูเจี้ยงด้วยความภาคภูมิใจ “เจ้านี่มันมีแผ่นชั่วเยอะจริง ๆ ศิษย์น้องของข้า เอาตามวิธีนี้แหละ! ไป พวกเรารีบไปเตรียมการ สุมไฟแค้นให้กับบรรดาครอบครัวที่หลิงตู้ฉิงได้ล่วงเกินไว้ให้พวกเขาทนไม่ได้จนต้องวิ่งแจ้นไปเรือนหลิงกัน”
ในระหว่างที่หลิงตู้ฉิงและบรรดาคนในตระกูลกำลังเพลิดเพลินกับบาร์บีคิวอยู่นั้น พวกเขาไม่ได้รู้ตัวเลยว่าตอนนี้กำลังมีวายร้ายสองคนกำลังวางแผนสร้างความปั่นป่วนให้ชีวิตพวกเขาอยู่…
“ท่านพ่อ ทำไมพี่รองยังไม่กลับมาอีกล่ะ?” หลิงฟ่างหัวเอ่ยถามขณะที่กำลังเคี้ยวเนื้อชิ้นโตอยู่ในปาก “นี่มันก็สองชั่วโมงแล้วนะท่านพ่อ ไม่ใช่ว่าพี่รองหล่นลงไปที่ไหนแล้วก็ไม่รู้เหรอท่านพ่อ?”
“ไร้สาระ” หลิงตู้ฉิงกล่าวด้วยน้ำเสียงติเตียน “พ่อดูนางอยู่ตลอดเวลา นางจะหายไปไหนได้ยังไง”
เมื่อได้ยินที่หลิงตู้ฉิงกล่าว ทุกคนที่กำลังนั่งกินกันอยู่ต่างพากันมองไปยังหลิงตู้ฉิงด้วยสายตาแปลกประหลาด พวกเขาแทบทุกคนล้วนคิดเหมือนกัน ‘ไม่ใช่ว่าท่านเอาแต่ย่างเนื้ออยู่งั้นเหรอ ท่านไปจับตาดูนางเมื่อไหร่กัน?’
จะมีก็เพียงแต่โม่หยูถังที่ไม่เคยกังขาในความสามารถของหลิงตู้ฉิงเลย
เขาเข้าใจได้ดีว่าทุกการกระทำของหลิงตู้ฉิง หากหลิงตู้ฉิงไม่มั่นใจเขาไม่มีทางลงมือทำอย่างแน่นอน ฉะนั้นโม่หยูถังจึงไม่ได้เป็นห่วงความปลอดภัยของหลิงว่านถิงเลย
“แต่พระอาทิตย์มันใกล้จะตกดินแล้วนะท่านพ่อ หากพี่รองยังไม่รีบกลับมาอีก มันจะมืดซะก่อนนะท่านพ่อ” หลิงว่านจุนกล่าวเสริมขึ้นด้วยความกังวล
“พวกเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง พวกเจ้าไม่ต้องรอถึงจนมืดหรอก ไม่เชื่อพวกเจ้าก็ดูทางนั้นสิ ไม่ใช่นางกำลังกลับมาแล้วหรือไง?” หลิงตู้ฉิงชี้นิ้วขึ้นไปบนฟ้าให้ทุกคนมองตาม
เมื่อทุกคนแหงนมองขึ้นไปตามทิศทางที่หลิงตู้ฉิงชี้ พวกเขาก็ได้เห็นจุดดำเล็ก ๆ บนท้องฟ้ากำลังลอยใกล้เข้ามาด้วยความรวดเร็ว
ซ่งเหวินเถาเป็นคนแรกที่เริ่มขยับตัว เขารีบลุกขึ้นจากที่นั่งเตรียมพร้อมที่จะรับหลิงว่านถิงที่กำลังหล่นลงมาจากท้องฟ้า
แต่น่าเสียดายที่ในช่วงวินาทีที่ใกล้จะถึงพื้น ซ่งเหวินเถานั้นไม่สามารถรับหลิงว่านถิงเอาไว้ได้ เนื่องจากว่าวที่พันรอบตัวของหลิวว่านถิงได้หักปีกเลี้ยวร่อนหนีซ่งเหวินเถาไป และร่อนลงในบริเวณพื้นราบอย่างนุ่มนวล
หลิงตู้ฉิงที่เห็นหลิงว่านถิงร่อนถึงพื้นแล้วจึงรีบพุ่งตัวเข้าไปหา จัดการคลายว่าวที่พันอยู่รอบตัวของหลิงว่านถิงออก และช่วยพยุงนางลุกขึ้นยืน
เมื่อหลิงว่านถิงยืนอยู่กับพื้นได้แล้ว ตัวนางสั่น สีหน้าของนางดูซีดเซียว แสดงให้เห็นได้ชัดว่าการฝึกฝนที่นางเผชิญเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมาทำให้นางขวัญกระจิงได้แค่ไหน
เมื่อนางเห็นหน้าพ่อของนาง นางก็เริ่มเบะปากร้องไห้ “ท่านพ่อ…..”
หลิงตู้ฉิงพยุงใบหน้าของนางอย่างแผ่วเบาและพูดปลอบ “โอ๋ ๆๆ ไม่ต้องกลัว ๆ เจ้าไม่เป็นอะไรแล้ว”
เมื่อเห็นหลิงตู้ฉิงปลอบ หลิงว่านถิงยิ่งร้องไห้หนักเข้าไปใหญ่ นางกระโจนเข้าไปในอ้อมแขนของหลิงตู้ฉิงพลางร้องไห้อย่างสะอึกสะอื้น
หลิงตู้ฉิงตอนนี้ได้แต่ลูบหลังของนางเพื่อปลอบประโลม
หลิงว่านถิงร้องไห้หนักจนเริ่มสะอึก และจากนั้นนางก็ได้สำรอกอาเจียนใส่หลิงตู้ฉิงจนเลอะเต็มตัว
แม้ว่าหลิงว่านถิงจะอาเจียนจนเลอะเต็มตัวไปหมด หลิงตู้ฉิงก็ไม่มีแม้แต่อาการรังเกียจเลยแม้แต่น้อย สีหน้าของเขาไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ หลิงตู้ฉิงรอจนหลิงว่านถิงอาเจียนออกจนหมด จากนั้นเขาลูบหลังหลิงว่านถิงและถามขึ้น “รู้สึกดีขึ้นแล้วหรือยัง? ช่างมันเถอะ เจ้าควรหลับพักผ่อนได้แล้ว”
เมื่อเห็นสภาพอันน่าเวทนาของหลิงว่านถิง หลิงตู้ฉิงจึงทำให้นางหลับลึกลงบนบ่าของเขา
หลิวเฟ่ยเฟ่ยเมื่อเห็นเสื้อผ้าของหลิงตู้ฉิงเลอะเต็มไปด้วยอาเจียนนางจึงรีบเดินเข้ามาถามหลิงตู้ฉิง “นายท่าน ท่านได้นำเสื้อผ้าสำรองมาด้วยหรือเปล่า ถอดเสื้อผ้าที่เลอะออกมาให้ข้าก่อน ข้าจะได้นำพวกมันไปซัก”
หลิงตู้ฉิงโบกมือขึ้นปฏิเสธ “ไม่จำเป็น”
หลิงตู้ฉิงสะบัดตัวเล็กน้อย ของอาเจียนทั้งหมดที่เลอะบนตัวเขาและหลิงว่านถิงก็หลุดออกไปทั้งหมด
จากนั้นเขาจึงอุ้มร่างที่หลับใหลของหลิงว่านถิงขึ้นและออกคำสั่ง “เอาล่ะ วันนี้พวกเราพอแค่นี้ เก็บของทั้งหมดแล้วเตรียมกลับเรือนกัน”
เมื่อเก็บของเสร็จเรียบร้อย พวกเขาก็พากันเดินกลับเรือนกันอย่างไม่รีบร้อน
โดยหารู้ไม่ว่าในอนาคตอีกไม่นานนักความปั่นป่วนจะมาเยือนถึงหน้าบ้านพวกเขา….