บทที่ 49 การต่อสู้ครั้งแรกของหลิงยู่ชาน[รีไรท์]
มี่ไลกลับไปยังตระกูลหลิงด้วยด้วยความหนักใจ แม้ว่านางจะตัดพ้อกับพ่อของนางเรื่องส่งนางไปอยู่เรือนหลิง แต่นางเข้าใจมี่ตั้วตั้วดีว่าจริง ๆ แล้วพ่อนางนั้นมีเจตนาดี อยากให้นางได้อยู่กับคนที่คู่ควร เพียงแต่ว่าหลังจากที่ได้อยู่กับหลิงตู้ฉิงมาพักหนึ่ง นางก็รู้ดีว่าวิธีที่พ่อของนางบอกนั้นใช้ไม่ได้
อย่างไรก็ตาม นางมั่นใจมากว่าตราบใดที่นางสามารถดูแลต้นไผ่เซียนสวรรค์ได้สำเร็จ นางก็น่าจะมีโอกาสเข้าใกล้หลิงตู้ฉิงได้มากยิ่งขึ้น
ด้วยเหตุนี้นางจึงไม่ยอมพักผ่อน นางทำงานล่วงเวลาเพื่อหล่อเลี้ยงต้นไผ่เซียนสวรรค์ให้เติบโตโดยไวที่สุด
หลังจากกลับมาจากตระกูลมี่ นางแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น หลิวเฟ่ยเฟ่ยและเดินเข้าไปในสวนด้านหลังทันที นางสาบานกับตัวเองว่านางจะทำให้ต้นไผ่เซียนสวรรค์พร้อมใช้งานภายใน 10 วันให้ได้ แม้ว่ามันจะทำให้นางไม่ได้นอนเลยก็ตาม
อันที่จริงหากไม่มีใครไปที่สวนหลังเรือน คงไม่มีใครทราบถึงการคงอยู่ของมี่ไล นางพยายามทำงานอย่างเป็นบ้าเป็นหลังกับต้นไผ่เซียนสวรรค์
หลังจากมี่ไลเดินหายเข้าไปยังสวนหลังเรือน หลิงตู้ฉิงก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของเคล็ดวิชาฝนฤดูใบไม้ผลิที่สวนหลังเรือนทันที แต่เขาไม่สนใจเพราะเป้าหมายของเขาคือการได้ต้นไผ่เซียนสวรรค์มาโดยเร็วที่สุดเท่านั้น
ทันใดนั้นหลิงตู้ฉิงผู้ซึ่งกำลังนั่งอยู่ในลานกลางเรือนมองออกไปยังด้านนอกแล้วพูดกับหลิวเฟ่ยเฟ่ยว่า “เจ้าไปเปิดประตูหน่อยสิ ดูเหมือนว่าเราจะมีแขกมาเยี่ยม”
หลิวเฟ่ยเฟ่ยที่กำลังนวดไหล่ของหลิงตู้ฉิงเช่นนั้นจึงรีบเดินไปเปิดประตู
เมื่อเปิดประตูหลิวเฟ่ยเฟ่ยก็สังเกตเห็นร่างคน 8 คนในชุดเสื้อคลุมสีแดงโลหิตกำลังเดินมุ่งหน้าเข้ามาทางเรือนหลิง กลิ่นอายของผู้มาเยือนนั้นเต็มไปด้วยไอสังหาร นางกลัวมากจนวิ่งกลับไปที่ด้านหลังของหลิงตู้ฉิงทันที
เมื่อสัมผัสได้ถึงไอสังหารด้านนอกเรือน ถังชี่หยุนเดินเข้ามาหาหลิงตู้ฉิงและพูดว่า “ท่านหลิง คนที่มาในครั้งนี้ค่อนข้างแข็งแกร่งกว่าคราวที่แล้ว”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “กลุ่มที่มารอบนี้ถือว่าพอใช้ได้ คนหนึ่งอยู่ที่ขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 3 อีก 2 คนอยู่ที่ระดับ 1 และที่เหลืออยู่ในระดับจุดสูงสุดขอบเขตควบแน่นลมปราณ หากเป็นคนทั่วไปเจอกับคนพวกนี้ย่อมทำอะไรพวกมันไม่ได้แน่”
กลุ่มเสื้อคลุมโลหิตได้นำคนมาโจมตีอีกครั้งและรอบนี้พวกมันมาพร้อมกับผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งขึ้นมากกว่าเดิม
ในครั้งนี้กลุ่มเสื้อคลุมโลหิตถึงขั้นกับเรียกผู้เชี่ยวชาญขอบเขตประสานทะเลปราณมาถึง 3 คน นี่เห็นได้ชัดว่าพวกมันมีความตั้งใจอย่างแรงกล้าที่จะสังหารหลิงตู้ฉิงโดยไม่สนใจว่าพวกมันจะต้องทุ่มเททรัพยากรลงไปแค่ไหน
กลุ่มเสื้อคลุมโลหิตทั้งแปดเดินมาถึงด้านหน้าของเรือนตระกูลหลิงและเมื่อพวกเขาเห็นว่าตระกูลหลิงเป็นฝ่ายที่เปิดประตูต้อนรับพวกเขาก่อน แม้ว่าพวกเขาจะรู้สึกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล แต่พวกเขาก็ยังเดินเข้าไปในเรือนโดยไม่กลัวอะไร
หลิงตู้ฉิงส่ายหัวแล้วพูดว่า “มาได้ถูกเวลาดีจริง ๆ”
ถังชี่หยุนไม่แน่ใจว่าหลิงตู้ฉิงจะจัดการกับคนพวกนี้ยังไง นางจึงพูดเสนอความคิดเห็นกับหลิงตู้ฉิงว่า “ท่านหลิง ข้าสามารถรับมือกับผู้เชี่ยวชาญระดับแรกขอบเขตประสานทะเลปราณได้ 1 คนและขอบเขตการควบแน่นลมปราณได้อีก 2 คน ส่วนที่เหลือท่านต้องหาทางรับมือด้วยตนเอง”
หลิงตู้ฉิงส่ายหัว “เจ้าไม่จำเป็นต้องทำอะไร ข้าไม่ต้องการให้พวกเขาตายตอนนี้ ข้าต้องการใช้ประโยชน์จากคนพวกนี้นิดหน่อย”
ในเวลานี้หัวหน้ากลุ่มเสื้อคลุมโลหิตซึ่งอยู่ในขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 3 พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นพร้อมกับชี้นิ้วไปยังหลิงตู้ฉิง “ถ้าเจ้าไม่ต่อต้าน ข้าจะฆ่าเจ้าเพียงคนเดียว แต่ถ้าเจ้าต่อต้านพวกเราจะล้างตระกูลเจ้าทั้งหมด!”
หลิงตู้ฉิงตะโกนกลับ “ข้าหวังว่าเจ้าจะพูดจายโสได้ตลอดไปนะ”
หลิงตู้ฉิงหันหลังกลับและพูดกับหลิงยู่ชาน “ยู่ชาน เดี๋ยวพ่อจะเตรียมคน 2-3 คนเพื่อให้เจ้าฝึกการต่อสู้จริง เจ้ามาลองดู เจ้าเองก็ได้ฝึกออกหมัดมาหลายวันแล้ว ถึงเวลาแล้วที่จะเอาพวกมันมาใช้งาน”
หลิงยู่ชานหยุดออกหมัดและเดินมาที่ด้านข้างของหลิงตู้ฉิง เขามองไปที่กลุ่มนักฆ่าเสื้อคลุมโลหิตและพูดว่า “ท่านพ่อ ตอนนี้ข้ายังเอาชนะพวกเขาไม่ได้หรอก”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าและพูดว่า “พ่อรู้…ว่าเจ้าอยู่ที่ขอบเขตหลอมรวมลมปราณระดับ 2 โดยปกติแล้วเจ้าคงไม่สามารถเอาชนะพวกเขาได้หรอก แต่เจ้าอย่าลืม ว่าเจ้ามีพ่ออยู่ทั้งคน เจ้าไม่ต้องกลัว พ่อจะจำกัดระดับการบ่มเพาะของพวกเขาให้อยู่ในระดับเดียวกันกับเจ้า”
หลังจากพูดเสร็จเขาก็เงยหน้าขึ้นมองกลุ่มเสื้อคลุมโลหิตและพูดว่า “หากพวกเจ้าชนะพวกเจ้ารอด! แต่ถ้าพวกเจ้าแพ้ พวกเจ้าทั้งหมด…ตาย!”
นักฆ่าขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 3 กล่าวอย่างเย้ยหยันว่า “เจ้าน่ะสิที่จะตาย! เหอะ อยู่แค่ขอบเขตควบแน่นลมปราณระดับ 2 ยังกล้าพูดจายโสโอหัง ในเมื่อพวกเจ้ารำคาญชีวิตนักล่ะก็ ได้! ข้าจะส่งพวกเจ้าทุกคนไปยมโลกเอง”
พอพูดจบ เขาตะโกนสั่งกลุ่มคนที่อยู่ข้าง ๆ อย่างดุเดือดว่า “อย่าปล่อยให้ใครรอดชีวิต ฆ่าพวกมันให้เร็วที่สุด!”
จากนั้นผู้นำกลุ่มเสื้อคลุมโลหิตเตรียมพุ่งเป้าโจมตีถังชี่หยุนด้วยเคล็ดวิชาที่ทรงพลังที่สุดของเขา
ผู้นำกลุ่มเสื้อคลุมโลหิตมองออกว่าในที่นี่ถังชี่หยุนมีระดับการบ่มเพาะสูงที่สุด
งานของพวกเขาจะง่ายขึ้นกว่าเดิมหากเขาสามารถกำจัดถังชี่หยุนออกไปได้ก่อนเป็นอันดับแรก
อย่างไรก็ตามเมื่อกลุ่มเสื้อคลุมโลหิตเริ่มเคลื่อนตัวไปยังหลิงตู้ฉิงและคนของเขา หลิงตู้ฉิงได้โบกมือขึ้นไปทางกลุ่มนักฆ่า แสงของตราประทับสีทองบนฝ่ามือของหลิงตู้ฉิงพุ่งเข้าไปยังกลุ่มของเสื้อคลุมโลหิต ส่งผลให้พวกเขาเริ่มรู้สึกได้ทันทีว่าระดับการบ่มเพาะของพวกเขาเริ่มลดลงเรื่อย ๆ และเรื่อย ๆ จนในท้ายที่สุดระดับการบ่มเพาะของพวกเขาก็มาหยุดลงที่ขอบเขตหลอมรวมลมปราณระดับ 2 เท่านั้น
หลิงตู้ฉิงที่พึ่งร่ายตราประทับเสร็จเขาก็หยุดใช้งานตราประทับเวทย์สีทองในมือ เขาปรบมือแล้วพูดกับหลิงยู่ชาน “ตาเจ้าแล้ว ระดับบ่มเพาะของพวกมันเท่ากับเจ้าแล้ว”
เมื่อหลิงยู่ชานได้ยินเช่นนั้นเขาจึงรีบพุ่งเข้าไปหาหนึ่งในคนของกลุ่มเสื้อคลุมโลหิตทันที
เมื่อพวกเสื้อคลุมโลหิตถูกผนึกระดับการบ่มเพาะพวกเขาตกใจอย่างยิ่ง
เมื่อเห็นว่าหลิงยู่ชานพุ่งเข้ามาหานักฆ่าที่ตกเป็นเป้าหมาย อีกฝ่ายก็รีบหยิบขวานขนาดใหญ่ออกจากแหวนมิติ หมายจะผ่าหลิงยู่ชานเป็นสองซีก!
ทันทีที่เขาหยิบขวานออกมาเขารู้สึกได้ทันทีว่าขวานคู่ใจของเขาเหมือนมีน้ำหนักนับหมื่นกิโลถ่วงเอาไว้ เขาไม่สามารถถือมันได้และล้มลงกับพื้น
“พวกเจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้อาวุธ เจ้าสามารถพึ่งพาร่างกายของพวกเจ้าได้เท่านั้น ผู้ชนะจะมีชีวิตอยู่และผู้แพ้จะต้องตาย นอกจากนี้จะไม่มีผู้ใดขยับได้หากข้าไม่อนุญาต พวกเจ้าต้องดวลกับลูกข้าหนึ่งต่อหนึ่งเท่านั้น!”
กลุ่มเสื้อคลุมโลหิตทั้งหมดรู้สึกตกใจและหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง พวกเขารู้ว่าตอนนี้พวกเขาเตะแผ่นเหล็กเข้าให้แล้ว
นี่มันภารกิจฆ่าตัวตายชัด ๆ!
หากเป้าหมายมีความสามารถถึงขั้นจำกัดระดับบ่มเพาะของพวกเขาได้ง่ายดายดั่งใจนึก การฆ่าพวกเขามันก็ง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปาก
ตอนนี้พวกเขาไม่กล้าที่จะทำอะไรบุ่มบ่ามอีกแล้ว พวกเขาทำได้เพียงแค่ทำตาม ‘กฎ’ ของหลิงตู้ฉิงเท่านั้น
นักฆ่าเสื้อคลุมโลหิตที่หลิงยู่ชานเลือกก็พูดอย่างดุเดือดว่า “ข้าไม่เชื่อว่าข้าจะแพ้เด็กอย่างเจ้า!”
เนื่องจากใช้อาวุธไม่ได้เขาจึงส่งฝ่ามือไปหาหลิงยู่ชาน
หลิงยู่ชานยกมือซ้ายขึ้นสกัดฝ่ามือที่มุ่งมายังหัวของเขา และปล่อยหมัดขวาชกสวนไปที่นักฆ่าเสื้อคลุมโลหิต
ด้วยสรีระที่ค่อนข้างสูงของนักฆ่าเสื้อคลุมโลหิต หมัดที่หลิงยู่ชานปล่อยจึงพุ่งไปยังบริเวณท้องน้อย
นักฆ่าเสื้อคลุมโลหิตไม่กล้าประมาทและใช้มือขวารีบปกป้องท้องน้อยของเขาจากนั้นก็เริ่มพัวพันกับหลิงยู่ชาน
แม้ว่าระดับของเขาจะถูกจำกัด แต่เขาก็ยังมีความมั่นใจเพียงพอ ต่อให้ระดับการบ่มเพาะถูกจำกัดแต่ในด้านประสบการณ์การต่อสู้ของเขาสูงกว่าหลิงยู่ชานมาก หรือถ้าวัดเพียงแค่ความแข็งแกร่งของร่างกายเขาก็เหนือกว่าหลิงยู่ชานแล้ว นอกจากนี้เขาสูงกว่าและแขนก็ยาวกว่า เขาย่อมเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบ
และผลก็เป็นไปตามที่เขาคาดไว้ ผลที่ได้คือเมื่อสู้กันไปได้แค่เพียงครู่เดียวเขาก็สามารถควบคุมจังหวะการต่อสู้ได้ทั้งหมด หลิงยู่ชานในตอนนี้ยิ่งสู้ก็ยิ่งตกเป็นรอง
เมื่อกำปั้นของนักฆ่ากระแทกหน้าอกของหลิงยู่ชานจนกระเด็นไปไกลถึง 3 เมตร นักฆ่าผู้นั้นก็ตะโกนอย่างยินดี “ข้าชนะแล้ว ข้าชนะแล้ว!”
หลิงยู่ชานลุกขึ้นมาจากพื้นพร้อมกับสีหน้าที่ไม่ยินยอม เขาค่อนข้างอารมณ์เสียเนื่องจากผลการต่อสู้ไม่เป็นดั่งใจหวัง
หลิงตู้ฉิงยิ้มแล้วพูดกับหลิงยู่ชาน “เจ้าจะลุกขึ้นมายืนนิ่ง ๆ ทำไม? ไป ไปสู้กับเขาต่อ เจ้าต้องสู้จนกว่าเจ้าจะชนะเขา!”
เสื้อคลุมโลหิตพูดเสียงดัง “เจ้าจะผิดคำพูดหรือไง เด็กของเจ้าล้มลงไปแล้ว เขาแพ้ข้าแล้ว!”
หลิงตู้ฉิงหัวเราะเยาะ “ข้าบอกเจ้าเมื่อไหร่กันว่าการแพ้ชนะขึ้นอยู่กับว่าใครจะล้มลงกับพื้นก่อน กฎของการชนะหรือแพ้คือฝ่ายใดที่โดนอัดจนร่างกายไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อีกต่อไป ฝ่ายนั้นถึงจะนับว่าเป็นฝ่ายแพ้ต่างหาก!”
“ยู่ชาน เจ้าควรคิดให้รอบคอบว่าจะเอาชนะคู่ต่อสู้ได้อย่างไร”