หลังจากบอกลาไป๋ฉี่ ฉินอวี้โม่ก็ออกมาจากหอคอยวิญญาณ
เวลานี้นางได้รับรู้ข้อมูลของหอคอยวิญญาณชั้นที่หกมาไม่น้อยแล้ว
ในตอนนี้ คนทั้งกลุ่มมีเพียงฉินอวี้โม่คนเดียวที่จำเป็นต้องใช้หอคอยวิญญาณชั้นหก ทั้งโอวหยางชิงเฟิง เสี่ยวโร่ว รวมถึงสหายของนางคนอื่น ๆ ยังไม่สามารถขึ้นมายังชั้นนี้ได้ ดังนั้นจึงยังไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องห้องฝึกที่ถูกจับจอง อย่างไรก็ตามต่อไปนี้หากว่าฉินอวี้โม่จะใช้งานหอคอยวิญญาณชั้นที่หกนางก็ควรจะระวังตัวให้มากขึ้นเพราะตอนนี้ซิวอยู่ระหว่างการเก็บตัวบ่มเพาะ มันไม่สามารถออกมาช่วยนางได้อย่างแน่นอน
และถ้าหากไร้ซึ่งพลังเสริมจากเกราะอสูรของซิวแล้ว การเผชิญหน้ากับยอดฝีมือขอบเขตมายาบรรพชนดาราสูงสำหรับฉินอวี้โม่ก็นับว่าเป็นเรื่องยากลำบากพอสมควร
แต่อย่างไรก็ถือว่าโชคดีเพราะในเวลานี้นางก้าวข้ามขอบเขตสำเร็จและบรรลุเป็นจอมยุทธ์มายาบรรพชนได้โดยสมบูรณ์ และถึงจะยังไม่สามารถเอาชนะได้ แต่เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ หากต้องเผชิญหน้ากับจีหย่งที่เป็นถึงจอมยุทธ์มายาบรรพชนแปดดารา ฉินอวี้โม่ก็จะไม่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบมากมายอีกต่อไป
สำหรับเรื่องการแย่งชิงห้องฝึกบนชั้นหกที่ยังคงเหลือว่างอยู่อีกสองห้องนั้น ฉินอวี้โม่ยังไม่ได้เก็บมาคิด เพราะในตอนนี้นางยังไม่มีความจำเป็นต้องเข้าไปในหอคอยวิญญาณเพื่อทะลวงพลัง ยิ่งกว่านั้นเนื่องจากเพิ่งจะก้าวข้ามขอบเขตมาทำให้ฉินอวี้โม่ยังคงต้องการเวลาสักระยะเพื่อทำให้สภาวะพลังในร่างกายมั่นคง ดังนั้นแล้วภายในครึ่งปีนี้นางอาจจะไม่ได้เข้าไปในหอคอยวิญญาณชั้นที่หกเลยก็ได้ สำหรับเรื่องการทำให้สภาวะพลังมั่นคง เพียงแค่ชั้นที่สามของหอคอยวิญญาณก็น่าจะเพียงพอแล้ว
ระหว่างทางที่ลงมาจากด้านบนฉินอวี้โม่พบคนรู้จักเลย คุณหนูสี่ตระกูลฉินจึงเดินลงไปถึงชั้นสามได้อย่างรวดเร็ว
ณ ประตูกั้นบันไดทางขึ้นชั้นสี่ที่อยู่ในมุมหนึ่งของชั้นที่สาม เมื่อผู้อาวุโสหลิวมองเห็นฉินอวี้โม่นักเรียนใหม่ที่ไม่ธรรมดาเดินลงมาเขาก็ส่งยิ้มให้นางทันที
“ดูเหมือนว่าการก้าวข้ามของแม่นางจะประสบผลสำเร็จสินะ”
ผู้อาวุโสหลิวมองดูฉินอวี้โม่ เขาสัมผัสได้ถึงสภาวะพลังที่แข็งแกร่งกว่าขึ้นเดิมมากจากสตรีน้อยผู้นี้ ผู้อาวุโสเฝ้าประตูจึงคาดว่านางน่าจะสำเร็จการทะลวงพลังข้ามขอบเขต
“ขอบคุณผู้อาวุโสหลิวมาก”
ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างนอบน้อมและไม่ได้กล่าวปฏิเสธ นางรู้สึกขอบคุณหลิวชางหลัวผู้นี้จากใจจริง ฉินอวี้โม่ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสท่านนี้รับคำสั่งจากอธิการมู่อวิ๋นผ่านการสื่อสารทางจิต นางคิดอยู่เสมอว่าเขายินยอมเปิดทางให้นางผ่านขึ้นไปชั้นบนก่อนแล้วดำเนินการขออนุญาตจากท่านอธิการให้ในภายหลัง
“ฮ่า ๆ ด้วยความยินดี จริง ๆ แล้วข้าก็ไม่ได้ช่วยอะไรแม่นางเท่าไหร่”
ผู้อาวุโสหลิวเผยรอยยิ้มใจดี
“ผู้อาวุโสหลิว หากไม่มีสิ่งใดข้าคงต้องขอตัวก่อน วันหยุดของข้ากำลังจะหมดลงแล้ว ถึงเวลาที่ข้าต้องไปเข้าชั้นเรียนแล้ว”
ฉินอวี้โม่บอกลาบุรุษอาวุโสผู้ให้ความเมตตา อดีตนักฆ่าสาวรู้สึกว่าผู้เฒ่าผู้นี้ใจดีอย่างน่าชื่นชม
“เดินทางปลอดภัย”
ผู้อาวุโสหลิวพยักหน้าและมองตามแผ่นหลังของฉินอวี้โม่จนนางลงบันไดไปจากชั้นนี้
“ช่างเป็นเด็กสาวที่ดียิ่งนัก”
เมื่อร่างบางของดรุณีผู้โดดเด่นลับสายตาไป ผู้อาวุโสหลิวก็ถอนหายใจแล้วเอ่ยออกมาอย่างอดไม่ได้
“ใช่ เป็นเด็กผู้หญิงที่ดีจริง ๆ นั่นแหละ”
ทันทีที่สิ้นเสียงรำพันของผู้เฒ่าเฝ้าประตู เสียงหนึ่งก็ดังมาเข้าหูของเขา
“ท่านอธิการ”
เมื่อเห็นการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของมู่อวิ๋น ผู้อาวุโสหลิวก็แย้มรอยยิ้มพลางเอ่ยปาก
“ผู้อาวุโสหลิว สาวน้อยผู้นั้นได้พบกับหนุ่มน้อยบนชั้นที่หก”
มู่อวิ๋นและหลิวชางหลัวคุ้นเคยกันเป็นอย่างมาก สำหรับพวกเขาไม่มีอะไรจะต้องปิดบังซึ่งกันและกัน
ผู้อาวุโสหลิวผงะไป บุรุษอาวุโสครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะกล่าว “ท่านหมายถึง ‘หนุ่มน้อยคนนั้น’ นั่นน่ะหรือ ?”
“อืม นางเข้าไปฝึกในห้องของหนุ่มน้อยคนนั้นนานกว่ายี่สิบวัน เมื่อนางออกมาก็ได้พบเขาเข้า แต่ดูเหมือนว่าหนุ่มน้อยนั่นจะมีความรู้สึกที่ดีให้นาง เขาไม่ได้โกรธเคืองอะไรและดูเหมือนจะกลายเป็นสหายกันแล้วด้วยซ้ำ”
แม้ว่าจะไม่ได้จับตามองฉินอวี้โม่เหมือนก่อนหน้านี้ แต่ในตอนที่ไป๋ฉี่ปรากฏตัวมู่อวิ๋นก็สัมผัสถึงสถานการณ์ในตอนนั้นของพวกเขาได้
คราแรกเขาคิดว่าไป๋ฉี่คนจะจัดการสั่งสอนคนที่เข้ามาแย่งห้องของเขาเหมือนเช่นทุกครั้ง ทว่าไม่คิดเลยว่าฉินอวี้โม่และไป๋ฉี่จะพูดคุยกันได้ ที่สำคัญทั้งสองดูจะคุยกันถูกคอมากเสียด้วย นี่ทำให้มู่อวิ๋นค่อนข้างประหลาดใจเพราะหนุ่มน้อยไป๋ฉี่ผู้นั้นไม่ใช่คนธรรมดา
“เรื่องจริงรึ ? ข้าว่าบางทีนี่อาจจะเป็นเรื่องดี”
ผู้อาวุโสหลิวขมวดคิ้วครุ่นคิด ก่อนจะแย้มยิ้มกว้างขึ้นพร้อมกับพยักหน้าหลายครั้งอย่างยินดี
“ใช่ ข้าก็คิดว่ามันน่าจะเป็นเรื่องดี”
มู่อวิ๋นยิ้มและพยักหน้าเช่นกัน ท่านอธิการมองหลิวชางหลัวอยู่ชั่วครู่แล้วเอ่ยถาม “ผู้อาวุโสหลิว ท่านจะอยู่ที่นี่ไปตลอดเลยหรือ ?”
“ข้าชอบอยู่ที่นี่ ข้าอยากจะอยู่ต่อไปอีกสักพัก”
ผู้อาวุโสหลิวยิ้ม ดวงตาชราทอดมองไปทั่วทั้งชั้นที่สามแห่งหอคอยวิญญาณ ผู้เฒ่าเฝ้าประตูตกอยู่ในห้วงความคิดของตนเองไปเสียแล้ว ราวกับว่าเขามีเบื่องหลังหรือความลับบางอย่างที่ทำให้ต้องอยู่ตรงนี้
“อืม ก็แล้วแต่ท่านเถอะ แต่หากถึงเวลาที่งานประชันยุทธ์ของโรงเรียนเริ่มขึ้น ท่านต้องออกมาช่วยพวกเราด้วย”
มู่อวิ๋นกล่าวทิ้งท้ายถึงงานประลองยุทธ์ของโรงเรียนที่จะจัดขึ้นในปีนี้ด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะหายตัวไปจากตรงนั้น
“แน่นอน ข้าเองก็อยากจะเห็นว่างานประชันยุทธ์ของโรงเรียนของปีนี้จะต่างจากปีที่แล้วมากเพียงใด”
ผู้อาวุโสหลิวยิ้ม ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความคาดหวังพลางมองไปยังทิศทางที่ร่างของฉินอวี้โม่หายลับไป เขาอยากรู้เหลือเกินว่าแม่นางน้อยผู้นั้นจะสร้างความประหลาดใจใดให้ได้ชมดู
หลังจากฉินอวี้โม่ออกจากหอคอยวิญญาณ นางก็ตรงกลับไปยังหอพักในทันที ทว่าเสี่ยวโร่วและสหายอีกสองคนไม่ได้อยู่ในห้อง เป็นไปได้ว่าพวกนางทั้งหมดคงกำลังอยู่ระหว่างเข้าชั้นเรียน
เนื่องจากไม่รู้เลยว่าตอนนี้ชั้นเรียนของอาจารย์ซ่างกวนจัดขึ้นในที่ใดหรือเป็นบทเรียนเกี่ยวกับอะไร หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งคุณหนูสี่ตระกูลฉินจึงตัดสินใจไปที่ห้องของฉินอี้เพ่ย
ฉินอี้เพ่ยมีความสุขมากเมื่อเห็นว่าฉินอวี้โม่มาเยี่ยมเยียน แน่นอนว่าคุณหนูสามตระกูลฉินทราบเรื่องที่น้องสาวผู้นี้เข้าไปเก็บตัวในหอคอยวิญญาณอยู่ก่อนแล้ว อันที่จริงนางกำลังนึกกังวลเรื่องนี้อยู่เพราะผู้เป็นน้องสาวเข้าไปเก็บตัวนานกว่ายี่สิบวันแล้วโดยไม่ออกมาด้านนอกเลย อีกทั้งพี่สาวอย่างนางก็ไม่สามารถขึ้นไปยังหอคอยวิญญาณชั้นที่หกได้ ฉินอี้เพ่ยจึงได้แต่เป็นห่วงฉินอวี้โม่โดยไม่สามารถทำสิ่งใดได้
ในตอนนี้เมื่อเห็นฉินอวี้โม่ออกมาแล้ว นางจึงรู้สึกโล่งอกเป็นอย่างมาก
“เจ้าตัวดี ในที่สุดเจ้าก็ยอมออกมาแล้วหรือ หากพ้นหนึ่งเดือนไปแล้วเจ้ายังไม่ออกพวกเราทั้งหมดจะบุกเข้าไปในหอคอยวิญญาณชั้นหกเพื่อตามหาเจ้าแล้วนะ”
ฉินอวี้เพ่ยจ้องมองน้องสาวตาเขม็ง แม้จะแสร้งขมวดคิ้วต่อว่า แต่ท่าทางของนางกลับไม่ได้ดูจริงจังแต่อย่างใจ
“ขอโทษเจ้าค่ะพี่สาม ข้าใช้เวลาทะลวงพลังนานเกินไปทำให้พวกพี่ต้องเป็นห่วง”
ฉินอวี้โม่ยิ้มแหยแล้วเอ่ยคำขอโทษเสียงแผ่วน่าสงสารพร้อมกับแสดงสีหน้ารู้สึกผิดอย่างน่าเอ็นดู ดวงตาเนื้อทรายทั้งคู่เว้าวอนผู้เป็นพี่สาว นับว่านางใช้วาจาและแสดงกิริยาได้ชาญฉลาดโดยแท้เพราะฉินอี้เพ่ยมีท่าทีอ่อนลงในทันใด
“พี่สาม ท่านรู้หรือไม่ว่าตอนนี้เสี่ยวโร่วและคนอื่น ๆ อยู่ที่ไหน”
ฉินอวี้โม่เอ่ยถาม นี่คือจุดประสงค์แท้จริงของนางในการมาเยือนครั้งนี้
“เหมือนว่าพวกนางจะถูกอาจารย์ซ่างกวนพาออกไปฝึกฝนนอกโรงเรียน ก่อนจะออกไปเสี่ยวโร่วมาบอกข้าว่า หากเจ้าออกมาให้บอกเจ้าว่าไม่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยวฝึกเสร็จพวกนางก็จะกลับมา”
ในตอนนั้นฉินอี้เพ่ยนึกถึงเรื่องที่เสี่ยวโร่วบอกนางขึ้นมาได้ จึงเล่าให้ฉินอวี้โม่ฟัง
ฉินอวี้โม่พยักหน้า เมื่อลองคิดดูให้ดี ซ่างกวนซวี่น่าจะพานักเรียนออกไปเพื่อฝึกทักษะการเอาตัวรอดยามค่ำคืน ดังนั้นเขาก็คงจะพาทุกคนไปยังป่าที่อยู่ด้านนอกรั้วโรงเรียน
“พวกเขาออกไปกันกี่วันแล้ว ?”
ฉินอวี้เอ่ยถาม นางอยากจะรู้รายละเอียดให้ชัดเจน
“เหมือนว่าวันนี้จะเป็นวันที่สี่แล้วนะ”
ฉินอี้เพ่ยคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวตอบน้องสาว
“ข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณพี่สาม ข้าขอตัวกลับไปที่หอพักก่อน”
ฉินอวี้โม่ยิ้ม นางไม่ห่วงกังวลสิ่งใดแล้ว คุณหนูสี่เดินกลับไปยังหอพักของตนเพื่อพักผ่อน
ในคืนนี้ฉินอวี้โม่หลับสนิทและสบายตัวเป็นอย่างมาก อาจเป็นเพราะในช่วงที่เก็บตัวอดีตนักฆ่าสาวในร่างคุณหนูคร่ำเคร่งกับการทำสมาธิจนไม่ได้นอน เมื่อตื่นขึ้นอีกครั้ง นางก็พบว่าท้องฟ้ามืดแล้ว
….
ในพื้นที่ป่าด้านนอกโรงเรียน ซ่างกวนซวี่กำลังสอนบทเรียนให้ลูกศิษย์ทั้งหลายในชั้นเรียนสามัญของเขา
“วันนี้เป็นวันที่สี่ของการฝึกฝนยามค่ำคืนแล้ว แต่บอกเลยว่าข้ายังไม่พึงพอใจเท่าไหร่นัก”
อาจารย์ซ่างกวนซวี่ผู้เข้มงวดกล่าวเสียงดังพลางกวาดสายตามองนักเรียนรุ่นเยาว์ที่อยู่ตรงหน้าเขาด้วยสายตาเย็นชา
“ข้าทราบดีว่าพวกเจ้ามาจากหลายขุมกำลัง หลากหลายตระกูล และพวกเจ้าก็เพิ่งเข้ามาในโรงเรียนได้ไม่นานจึงยังไม่สนิทสนมกลมเกลียวกันนัก พวกเจ้าบางคนอาจจะคุ้นเคยกัน บางคนก็ไม่รู้จักกันเลยก็มี แต่มีสิ่งหนึ่งที่พวกเจ้าต้องเข้าใจเอาไว้”
ซ่างกวนซวี่หยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่อ “ทุกคนอยู่ในชั้นเรียนเดียวกันแล้ว ตอนนี้พวกเราก็คือพวกเดียวกันทั้งหมด พวกเราออกมาตามหาประสบการณ์กันเป็นกลุ่ม ในเมื่ออยู่เป็นกลุ่มก็ต้องทำงานสอดประสานกัน ให้ความสำคัญกับสหายในกลุ่ม บุกตะลุยก็ทำด้วยกัน เมื่อจะสู้ก็อยู่เคียงข้าง หากจะถอยก็ต้องถอยพร้อมกัน แต่ในสองสามวันที่ผ่านมา ความสามัคคีและการทำงานเป็นกลุ่มของพวกเจ้ากล่าวได้ว่าย่ำแย่มาก พวกเจ้าทำให้อาจารย์ผู้นี้ผิดหวัง !”
การฝึกฝนการเอาตัวรอดยามค่ำคืนของซ่างกวนซวี่ไม่ใช่การฝึกรายบุคคลแต่เป็นการฝึกการเอาตัวรอดเป็นกลุ่ม เขาต้องการให้นักเรียนทุกคนรู้และเข้าใจถึงความสำคัญของการทำงานร่วมกับผู้อื่น อย่างไรก็ตามการฝึกฝนในสามวันแรกของนักเรียนในชั้นเรียนกลับทำให้เขารู้สึกผิดหวังอย่างมาก
“ทราบแล้วขอรับ // ทราบแล้วเจ้าค่ะ”
เหล่านักเรียนทั้งหลาย เมื่อได้ฟังคำชี้แนะของอาจารย์ซ่างกวน พวกเขาก็รู้สึกผิดและหดหู่ พวกเขาทุกคนต่างก็ก้มหน้าลงอย่างนึกละอาย
อันที่จริง ในช่วงเวลากว่ายี่สิบวันที่ร่วมชั้นเรียนด้วยกันมา พวกเขาทุกคนต่างก็รู้จักกันทั้งหมดแล้ว ทว่าเป็นเพราะมาจากต่างขุมกำลังและต่างตระกูลทำให้ต่างคนต่างก็มีความคิดเป็นของตัวเอง
ซ่างกวนซวี่พาพวกเขาเข้ามาในป่าแห่งนี้ที่ซึ่งมีอสูรมายาระดับสูงอาศัยอยู่มากมาย อาจารย์ผู้เข้มงวดไม่อนุญาตให้พวกเขาเรียกใช้งานอสูรของตัวเองแต่ให้ทุกคนร่วมมือกันหาวิธีเอาชนะอสูรมายาให้ได้
อย่างไรก็ตามในช่วงสามวันที่ผ่านมาเพราะเชื่อมั่นในความคิดและพลังของตนเอง พวกเขาทั้งหมดจึงไม่เคยคิดวางแผนร่วมกันหรือทำงานให้สอดผสานกันเลยแม้แต่น้อย บางคนต่อสู้คนเดียว บางคนร่วมมือกับเพื่อนกลุ่มเล็ก ๆ ต่างคนต่างสู้กระจัดกระจายเป็นผลให้ในท้ายที่สุด ทั้งชั้นเรียนที่เป็นกลุ่มใหญ่ของพวกเขาก็เกือบจะถูกอสูรมายาระดับเทวะราชันสองตัวสังหารไป หากไม่ใช่เพราะอาจารย์ซ่างกวนซวี่เข้ามาช่วยไว้เกรงว่าคงจะมีใครคนใดคนหนึ่งได้กลายเป็นศพไปแล้ว
นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ซ่างกวนซวี่รู้สึกขุ่นเคืองและผิดหวัง
“ไม่ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น ตราบใดที่พวกเจ้าอยู่โรงเรียนเดียวกันและเป็นนักเรียนของซ่างกวนซวี่ พวกเจ้าก็คือพวกเดียวกัน พวกเจ้าช่วยแสดงให้ข้าเห็นทีสิว่าสิ่งใดคือความสามัคคีและแสดงให้ข้าเห็นด้วยว่าการทำงานเป็นกลุ่มอย่างแท้จริงนั้นเป็นเช่นไร”
ซ่างกวนซวี่มองเหล่านักเรียนที่กำลังก้มหน้าสำนึกผิดกันอยู่ ถึงแม้จะทราบดีว่าคนรุ่นเยาว์เหล่านี้กำลังจิตตกและเสียขวัญ แต่เขาก็ต้องกล่าวสิ่งที่ควรกล่าว ชี้แนะในสิ่งที่ผู้เป็นอาจารย์พึงชี้แนะออกไป
— ฟิ้ว ! —
จู่ ๆ เสียงอันแผ่วเบาของบางสิ่งก็ดังขึ้น นักเรียนทุกคนเห็นอย่างพร้อมเพรียงกันว่ามีบางอย่างพุ่งตรงมาที่อาจารย์ซ่างกวนซวี่ด้วยความเร็วสูง
“อาจารย์ ระวัง !”
เมื่อทุกคนเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นก็รีบลุกขึ้นยืนและส่งเสียงเตือนผู้เป็นอาจารย์ในทันที
— ปัง ! —
ซ่างกวนซวี่ผงะไป ทว่าในเสี้ยวลมหายใจต่อมาสิ่งที่กำลังพุ่งเข้ามาก็ถูกฝ่ามือของอาจารย์ผู้แข็งแกร่งกระแทกสกัดเอาไว้ได้
— ฉึก ! —
ของปริศนาถูกฝ่ามือของซ่างกวนซวี่กระแทกกลับไปยังทิศทางที่มันพุ่งมา
“อ๊ากกก~”
เพียงพริบตาเดียว เสียงร้องครวญครางที่ดูเจ็บปวดทรมานของมนุษย์ผู้หนึ่งก็ดังขึ้น
“มีคนกำลังดักซุ่มโจมตี !”
ซ่างกวนซวี่หันไปกะพริบตาส่งสัญญาณให้นักเรียนทุกคนก่อนจะจับจ้องไปยังมุมมืดมุมหนึ่งในป่าลึก
นักเรียนทั้งหมดเข้าใจดีว่าอาจารย์ซ่างกวนกำลังบอกให้พวกเขาระวังตัวและเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ ทุกคนต่างก็ตื่นตัวและพากันมองไปยังทิศทางที่ท่านอาจารย์มองอยู่
— แปะ แปะ แปะ —
“ไม่คิดเลยว่าอาจารย์ซ่างกวนจะแข็งแกร่งและสามารถหาพวกเราพบได้เร็วถึงเพียงนี้”
เสียงปรบมือดังขึ้นจากมุมมืดที่ซ่างกวนซวี่และนักเรียนทุกคนจ้องมองอยู่ ก่อนที่กลุ่มบุรุษชุดดำสวมหน้ากากจะปรากฏตัวขึ้น คนเหล่านั้นพุ่งเข้าล้อมซ่างกวนซวี่และนักเรียนของเขาเอาไว้ ในตอนนี้ทุกคนกำลังตกอยู่ในวงล้อมของกลุ่มคนปริศนา
“เหอะ ข้ามั่นใจว่าพวกเราไม่เคยมีเรื่องขัดแย้งใด ๆ กับพวกเจ้า ทำเช่นนี้พวกเจ้าต้องการอะไร ?”
ซ่างกวนซวี่แสยะยิ้ม เขากำลังพูดเพื่อถ่วงเวลาให้นักเรียนทุกคนได้เตรียมตัว
หลังจากได้ยินวาจาของหนึ่งในคนชุดดำที่ดูคล้ายจะเป็นผู้นำของบุรุษกลุ่มนี้ ซ่างกวนซวี่ก็มั่นใจในทันทีว่าอีกฝ่ายจะต้องเตรียมการมาก่อนแล้วอย่างแน่นอน
“ส่งตัวสาวใช้ของฉินอวี้โม่มา แล้วพวกเราจะปล่อยพวกเจ้าไป”
หัวหน้าของกลุ่มบุรุษชุดดำกล่าวถึงจุดประสงค์ที่ต้องการออกไปอย่างไม่ลังเล เขาไม่ต้องการให้เสียเวลา
เมื่อได้ฟังสิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามกล่าว ซ่างกวนซวี่ก็ขมวดคิ้วแน่น ชัดเจนแล้วว่าเป้าหมายของคนกลุ่มนี้หากไม่ใช่เสี่ยวโร่วก็จะต้องเป็นฉินอวี้โม่ ทว่าเวลานี้บุรุษผู้เป็นอาจารย์ก็ยังคิดหาหนทางรับมือไม่ได้ บุรุษกลุ่มนี้แข็งแกร่งมาก อีกทั้งพวกเขายังมียอดฝีมือขอบเขตมายาบรรพชนเจ็ดถึงแปดดาราอยู่ในกลุ่มด้วย ส่วนคนอื่น ๆ ที่เหลือก็เป็นถึงจอมยุทธ์นภมายาดาราสูงทั้งหมด ‘คนเหล่านี้เป็นใครและผู้ใดส่งพวกเขามากันแน่ ?’
“พวกเจ้าคือใคร ต้องการจะทำอะไร ?”
ซ่างกวนซวี่กล่าวถามเสียงดุดัน เขาลอบหันไปส่งสายตาเพื่อหยุดการกระทำของเสี่ยวโร่วที่กำลังจะก้าวออกมาด้านหน้า
เมื่อเสี่ยวโร่วได้ยินว่าคนชุดดำกลุ่มนี้มาเพราะต้องการตัวนาง สาวน้อยก็พอจะคาดเดาบางอย่างได้ อย่างไรก็ตามในตอนที่นางกำลังจะก้าวออกไปก็ถูกซ่างกวนซวี่หยุดเอาไว้
“เหอะ เราจะทำอะไรเจ้าไม่จำเป็นจะต้องสอดรู้ แค่ตอบมาว่าจะส่งนางมาหรือไม่ส่งก็พอ !”
ผู้ที่เป็นหัวหน้าของกลุ่มคนชุดดำตวาดออกมาอย่างเย็นชา เขาไม่ไว้หน้าซ่างกวนซวี่เลยแม้แต่น้อย
“พวกเจ้ามาจากอารามสินะ”
โอวหยางชิงเฟิงเดินออกมายืนอยู่เคียงข้างอาจารย์ซ่างกวนก่อนจะกล่าวถามกลุ่มคนตรงหน้าด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย