เหนือสายหมอกสีเทาที่ไม่สั่นไหว ไคลน์นั่งนิ่งบนเก้าอี้ประธานโต๊ะทองแดงยาวเก่าแก่ ดูคล้ายกับรูปปั้นหินที่ดำรงอยู่มานานนับแสนปี
จากการค้นพบล่าสุด มันสัมผัสถึงความหวาดกลัวที่สุมอยู่ในอก สัมผัสถึงความเย็นเยียบที่แผ่ซ่านจากท้ายทอยไปยังทุกจุดของร่างกาย ปลายนิ้วสั่นระริกเล็กน้อยแต่ชัดเจน
เป็นความรู้สึกราวกับได้เห็นเพื่อนสนิทเปลี่ยนเป็นคนอื่นภายในช่วงเวลาสั้นๆ ประหนึ่งถูกใครบางคนสวมรอยแทน
แน่นอน มีตัวอย่างที่เห็นภาพชัดเจนกว่านั้นอยู่ สมมติให้เลียวนาร์ด มิเชลแวะมาที่บ้านไคลน์เพื่อปรึกษาเกี่ยวกับพาลีส·โซโรอาสเตอร์ แต่ระหว่างกำลังพูดคุย อีกฝ่ายกลับหยิบแว่นตาขาเดียวขึ้นมาสวมบนตาขวา
หรือจะเป็นเพราะว่า ในตอนที่จักรพรรดิเหยียบลงบนดวงจันทร์สีแดง เขาได้รับมลพิษโดยไม่รู้ตัว แต่หลังจากนั้นกลับยังใช้ชีวิตประจำวันไปตามปรกติ จนกระทั่งวันหนึ่ง เขานึกทบทวนอดีตจากไดอารี เริ่มวิเคราะห์ตัวเอง พูดคุยกับตัวเองจนกระทั่งตระหนักถึงสัญญาณบางอย่าง? หรือจะไม่ใช่มลพิษ แต่เป็นการสะกดจิตของอาดัม? แต่ในเวลาดังกล่าว โรซายล์อยู่ในลำดับหนึ่งเรียบร้อยแล้ว… ไคลน์อดไม่ได้ที่จะก้มมองตัวเองและสมมติให้ภายในร่างกายมีอีกหนึ่งคนซ่อนอยู่ เป็นคนที่ไม่รู้จักโดยสิ้นเชิง และบางทีก็ไม่แน่ใจว่าจะเรียก ‘คน’ ได้ไหม
น่ากลัวฉิบ… ไคลน์ผ่อนลมหายใจลง หันเหความสนใจกลับไปที่ไดอารีจักรพรรดิโรซายล์
เพียงไม่นาน มันได้กับสิ่งที่ควรค่าแก่การใส่ใจ
“28 กรกฎาคม เป็นอีกครั้งที่เราเข้าร่วมชุมนุมขององค์กรลับโบราณ”
“จากบทสนทนาเรื่อยเปื่อยกับสมาชิก เราสังเกตเห็นปัญหา”
“เราเลื่อนลำดับเร็วเกินไปจนขาดประสบการณ์อย่างนั้นหรือ? ทำไมถึงมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน?”
“ยกตัวอย่างเช่น การกัดกร่อนจากอวกาศและใต้ดิน เราเพิ่งเคยได้ยินครั้งนี้ครั้งแรก!”
“หึหึ เราไม่มีทางทราบเลยว่าในบรรดาคนเหล่านี้ มีใครบ้างที่เป็น ‘ท่าน’ เกือบทั้งหมดไม่ต้องการเปิดเผยลำดับพลัง”
“อาศัยจังหวะที่สมาชิกอื่นกำลังพูดคุย เราหันไปกระซิบคุยกับมิสเตอร์เฮอร์มิสด้านข้าง หวังให้เขาช่วยเล่าเรื่องการกัดกร่อนจากอวกาศและใต้ดินมากกว่านี้”
“เฮอร์มิสระบุว่า ด้วยลำดับปัจจุบันของเรา นี่เป็นความรู้ที่ยังไม่ควรไปแตะต้อง ลำพังความเข้าใจก็มากพอจะทำให้เราถูกกัดกร่อน!”
“น่ากลัวขนาดนั้นเชียว? จะสักแค่ไหนกัน? เราได้แต่นึกสงสัย”
“ชายชราบอกกับเราว่า ไม่จำเป็นต้องสนใจการกัดกร่อนจากใต้ดินมากนัก เพราะพวกมันจะหายไปเองตามกาลเวลา… ย้อนกลับไปในอดีตเมื่อนานมาแล้ว สมัยที่เทพบรรพกาลยังโลดแล่นอยู่บนโลก สิ่งมีชีวิตทรงพลังพยายามแก้ไขปัญหาดังกล่าว แต่กลับกลายเป็นว่า สถานการณ์แย่ลงจนเกิดความเสียหายเป็นวงกว้าง ในภายหลัง พวกมันตัดสินใจล้มเลิกแผนการ เปลี่ยนไปใช้วิธีผนึกและเฝ้าระวังแทน”
“นับแต่นั้นเป็นต้นมา แม้จะยังมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่สถานการณ์โดยรวมก็ถือว่ามั่นคง จวบจนปัจจุบัน ต่อให้ไม่มีผนึกหรือไม่มีคนคอยเฝ้า แต่ตราบใดที่ไม่เข้าใกล้มากเกินไป การกัดกร่อนก็จะไม่เกิดขึ้น”
“เรื่องดังกล่าวทำให้เราประหลาดใจเล็กน้อย ดูเหมือนว่า ปัญหาจบลงได้เองโดยไม่ต้องถึงมือตัวเอกแห่งยุคสมัยคนนี้”
“ชายชราเฮอร์มิสกลับมาพูดเรื่องอวกาศอีกครั้ง ระบุว่าสถานการณ์ค่อนข้างซับซ้อน น่าสนใจ และอันตรายกว่าที่เราจินตนาการ เขาเน้นย้ำว่าแม้แต่เทวทูตลำดับ 1 และ 2 ก็ยังเข้าใจสถานการณ์ของอวกาศได้ไม่ดีพอ มีแค่ความรู้เพียงผิวเผิน ไม่ทราบว่านอกจากอันตราย บนอวกาศยังมีอีกหลายสิ่งซ่อนอยู่ หากไม่ใช่เพราะเฮอร์มิสเคยพบกับตัวตนที่สามารถท่องอวกาศได้ตามใจชอบ และได้ฟังเรื่องราวมาจากอีกฝ่าย ท่านก็คงนำมาเล่าให้เราฟังไม่ได้เช่นกัน”
“เรานึกสงสัย จึงถามออกไปว่าใครคือผู้ที่สามารถท่องอวกาศได้ตามใจชอบ แต่ก็ไม่ได้คาดหวังคำตอบสักเท่าไร”
“ชายชราเฮอร์มิสไม่ปิดบัง เขาบอกว่าอีกฝ่ายคือมิสเตอร์ประตูเบเทล อับราฮัม”
“มิสเตอร์ประตู… เราแสร้งทำเป็นไม่รู้จัก และถามเกี่ยวกับระดับของอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเป็นธรรมชาติ”
“เฮอร์มิสมิได้ตอบตรงๆ เพียงกล่าวว่าในยุคสมัยที่สี่ แม้แต่เทวทูตก็ยังไม่ถูกเรียกว่า ‘ท่าน’ อย่างเปิดเผยนัก บุคคลที่สามารถถูกเรียกนำหน้าว่าท่านได้มีเพียงแค่หยิบมือ หนึ่งในนั้นคือมิสเตอร์ประตู ซึ่งที่เหลือล้วนเป็นเทพแท้จริงอย่างรัตติกาล วายุสลาตัน ธรณี”
“ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า… ความแข็งแกร่งของมิสเตอร์ประตูอยู่ในระดับที่ไม่ธรรมดา”
การกัดกร่อนจากใต้ดินจะหายไปเองตามกาลเวลา? กระจกวิเศษอาโรเดสเคยบอกว่า หมอกสีเทาทำให้เจ้านั่นคิดถึงใต้ดิน… แถมยังหวังให้เราสำรวจใต้ดินหลังจากทวงคืนบัลลังก์เทพสำเร็จแล้ว แต่ลูก้า บรูว์สเตอร์ยืนกรานว่ายิ่งมีลำดับสูง อันตรายจากใต้ดินก็ยิ่งรุนแรง… ไคลน์ใช้ปลายนิ้วเคาะโต๊ะทองแดงยาว เริ่มสับสนข้อมูลเกี่ยวกับใต้ดิน
แต่หนึ่งสิ่งที่ตรงกันก็คือ ไม่ว่าจะเป็นคำอธิบายของเฮอร์มิส สภาพของปราสาทร้าง และท่าทีของเทพธิดารัตติกาล ทั้งหมดล้วนบ่งชี้ว่าการกัดกร่อนจากใต้ดินจะเลือนหายไปตามกาลเวลา และวิธีรับมือที่ดีที่สุดคือการปล่อยทิ้งไว้
ฟู่ว… ถ้าอย่างนั้นก็เลิกกังวลเกี่ยวกับใต้ดินไปก่อน… คำพูดเฮอร์มิสตรงกับสถานการณ์ของประตูทองแดงในเมืองเลฟซิด มังกรจินตภาพ แอนเคอร์เวลเคยลองแก้ปัญหาจากใต้ดินแล้ว แต่ก็ต้องล้มเหลวและเกิดเป็นความกลัวกับบาดแผลทางใจ… สำหรับปัจจุบัน อันตรายร้ายแรงที่สุดมาจากอวกาศ และลำดับของเรายังไม่สูงพอที่จะทำความเข้าใจข้อมูล… ไคลน์พึมพำกับตัวเองเสียวแผ่วก่อนจะพลิกหน้าไดอารีในมือ
อ่านไปได้ไม่กี่หน้า ไคลน์จ้องมองประโยคหนึ่ง
“31 ธันวาคม วันสิ้นปี และวันที่ดีที่สุดสำหรับการตัดสินใจเริ่มต้นใหม่”
“ตอนนี้เราตัดสินใจได้แล้วว่าจะสร้างสุสานทั้งแปดแห่งที่ไหน แต่แห่งสุดท้ายยังนึกไม่ออก”
“ต้องลึกลับยิ่งกว่าทั้งแปดแห่งก่อนหน้า ไม่อย่างนั้นก็ไร้ความหมาย”
“หลังจากไตร่ตรองเป็นเวลานาน เรานึกถึงสถานที่หนึ่ง เป็นเกาะไร้ชื่อที่กริมม์ถูกฝัง”
“แน่นอน นรกเองก็เป็นหนึ่งในตัวเลือก เพียงแต่ว่า เราไม่พบปีศาจที่มีชีวิตในละแวกดังกล่าว มิอาจทำให้เชื่องและเปลี่ยนให้เป็นคนของเรา เลิกคิดเรื่องการสั่งให้สร้างสุสานไปได้เลย… มนุษย์ธรรมดายิ่งแล้วใหญ่ การเอาชีวิตรอดที่นั่นเป็นเรื่องยาก แม้แต่ผู้วิเศษที่แข็งแกร่งบางคนก็ยังมิอาจต้านทานการกัดกร่อนจากธรรมชาติของนรก”
“ลงเอยด้วย สภาพแวดล้อมของเกาะไร้ชื่อดังกล่าวดูเหมาะสมมากที่สุด”
“หึหึ… บรรดา ‘องค์ชายวิปลาส’ ในยุคสมัยที่สี่ยังเข้าใจคำว่า ‘ประชาชน’ ได้ไม่ดีพอ ตัวตนที่เรียกว่า ‘จักรพรรดิ’ ไม่จำเป็นต้องปกครองเฉพาะมนุษย์และสิ่งมีชีวิตกึ่งมนุษย์เท่านั้น แต่รวมไปถึงสิ่งมีชีวิตทุกชนิด!”
“บนเกาะไร้ชื่อนั่นมีสัตว์วิเศษอยู่มาก พวกมันศรัทธาเราและติดตามเรา สามารถใช้เป็นแรงงานสำหรับสร้างสุสานได้”
“เขียนถึงตรงนี้ทำเอานึกถึงประสบการณ์เก่าสมัยอดีต เป็นตอนที่เราฝันถึงกริมม์และตัดสินใจย้อนกลับไปที่เกาะไร้ชื่อพร้อมกับเอ็ดเวิร์ด เบนจามิน และลูกน้องคนอื่น ภาพแรกที่ได้เห็นก็คือ เหล่าสัตว์วิเศษกำลังรวมตัวกันประกอบพิธีกรรม และกริมม์ที่ตายไปแล้วก็อยู่ในนั้นด้วย”
“เราตกใจมากในตอนนั้น ความกลัวที่ห่างหายไปนานปกคลุมจิตใจอย่างท่วมท้น ทุกสิ่งดูพิสดารไปเสียหมด”
“โชคร้าย เราต้องเสียวิลเลียมและโพลีในการสำรวจรอบดังกล่าว มีเพียงเอ็ดเวิร์ดและเบนจามินที่รอด หากไม่ใช่เพราะว่าเราแข็งแกร่งขึ้นมากและสามารถควบคุมสมบัติปิดผนึกระดับศูนย์ ได้อย่างชำนาญ เกรงว่าทุกคนคงถูกฝังอยู่ที่นั่นพร้อมกัน”
“ไม่น่าเชื่อว่าความแข็งแกร่งของสัตว์วิเศษบนเกาะจะได้รับอิทธิพลมาจากอวกาศ และใครก็ตามที่ตายเพราะการกัดกร่อนจากอวกาศ จะถูกส่งคืนกลับไปยังต้นกำเนิด”
“โชคดีที่พลังจากอวกาศส่งอิทธิพลต่อโลกความจริงไม่มากนัก เราแก้ปัญหาสำเร็จและเปลี่ยนเกาะแห่งนั้นให้กลายเป็นฐานทัพลับ”
“เอาล่ะ ได้เวลาใช้งานมันแล้ว!”
หลังจากอ่านจบ ไคลน์มิได้ดีใจที่ตนเดาตำแหน่งของสุสานสุดท้ายถูก แต่กำลังขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ
ในแง่หนึ่ง มันเพิ่งรู้ว่าการกัดกร่อนจากอวกาศอยู่ใกล้ตัวขนาดนี้ และอีกแง่หนึ่ง ไคลน์รู้สึกว่าเกาะไร้ชื่อมิได้เป็นความลับขนาดนั้น เพราะนอกจากตัวโรซายล์ ยังมีมนุษย์อีกสองคนคือเอ็ดเวิร์ดและเบนจามิน ไม่สอดคล้องกับความ ‘ลับสุดยอด’ ที่โรซายล์ต้องการ
เป็นเพราะเอ็ดเวิร์ดกับเบนจามินเสียชีวิตตามธรรมชาติก่อนหน้านั้นแล้ว ความลับจึงไม่ถูกเปิดเผย? หรือเป็นเพราะโรซายล์สั่งให้ลูกน้องทั้งสองอยู่ที่เกาะไร้ชื่อไปตลอดกาล เพื่อแก้ปัญหาการถูกสื่อวิญญาณจากคนนอก? แต่แน่นอน ถ้าโรซายล์มีสมบัติปิดผนึกในขอบเขตของจิตใจ ก็คงไม่พลาดที่จะลบความทรงจำลูกน้อง… ไคลน์ไตร่ตรองสักพักก่อนจะพลิกอ่านไดอารีต่อ พยายามมองหาพิกัดของเกาะไร้ชื่อ
น่าเสียดาย แม้จะอ่านจนจบก็ยังไม่พบพิกัดที่ต้องการ แต่มีไดอารีหน้าหนึ่งเขียนอธิบายเกี่ยวกับความคิดในช่วงบั้นปลายของโรซายล์
“27 ธันวาคม เรากระสับกระส่ายตลอดเวลา เพราะมิอาจทราบได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป”
“เราไม่ต้องการความช่วยเหลืออีกแล้ว ขอแค่พวกเขารักษาความเป็นกลางเอาไว้ก็พอ”
“เรานำพาตัวเองเข้ามาอยู่ในสถานการณ์อันตรายที่สุด สิ่งนี้เกิดจากความกล้าหาญและอับจนหนทางในเวลาเดียวกัน”
“ในบางครั้งเราก็สับสนตัวเอง ตอนนั้นคิดอะไรอยู่ถึงได้ย่างกรายเข้ามาในสถานการณ์เช่นนี้ทีละก้าว?”
“ถึงแม้จะสุดโต่งเกินไป แต่ก็เป็นสิ่งเดียวที่เราสามารถทำได้”
“เรื่องราวดำเนินมาถึงจุดนี้แล้ว กังวลไปก็เปล่าประโยชน์ เพราะไม่เพียงจะส่งผลต่อสภาพจิตใจ แต่ยังทำให้ความหวังอันเลือนรางยิ่งริบหรี่”
“หลังจากมาไกลขนาดนี้ ก็มีแต่ต้องมุ่งหน้าต่อไปจนกว่าจะได้พบกับแสงสว่าง”
“หึหึ… ความหวังทั้งหมดของเราสามารถสรุปได้ในประโยคเดียว”
“หมาจนตรอกมันจะดุร้ายที่สุด!”
ค่อนข้างแน่ชัดแล้วว่า จักรพรรดิเลือกวิธีตายและคืนชีพเพื่อขจัดการมลพิษทางจิตและอาการเสียสติ… เป็นวิธีที่บ้ามาก เหมือนกับการวัดดวงเกมรัสเซียนรูเล็ตด้วยลูกกระสุนนัดเต็มโม่ โดยหวังให้กระสุนขัดลำกล้องไปเอง… ถ้าไม่ใช่คนที่มีความคิดสุดโต่งหรือหลุดกรอบมากๆ คงไม่มีทางวางแผนแบบนี้ได้… ไคลน์เอนหลังพิงพนัก นั่งเงียบงันภายในวังเป็นเวลานาน
เมื่อความคิดที่กระจัดกระจายทยอยกลับมารวมกัน ชายหนุ่มมองหาวิธีเดินทางไปที่เกาะไร้ชื่อ
ถ้าจำไม่ผิด เบนจามินซึ่งเคยไปเกาะไร้ชื่อกับจักรพรรดิ คือคนของตระกูลอับราฮัม… เราถามเรื่องนี้จากมิสเมจิกเชี่ยนได้… จริงสิ อีกเดี๋ยวก็ได้เจอกันแล้ว ไม่จำเป็นต้องแจ้งผ่านเดอะฟูล…
ทายาทของเอ็ดเวิร์ด วิลเลียม โพลี และคนที่เหลือ… คงต้องให้ราชินีเงื่อนงำสืบแทน นั่นคงเหมาะสมกว่า…
หลังจากวางแผนเสร็จ ไคลน์มองไปรอบตัว ถอนหายใจยาวพร้อมกับเลือนหายไปจากสายหมอกสีเทา
………………………………….