วันนี้อยู่ดีๆ ท้องฟ้าเหนือยอดเขาหิมะก็ส่องแสงสีขาวระยิบระยับแถบแล้วแถบเล่า ตามติดมาด้วยเสียง “ครืน” ดังสนั่นทีหนึ่ง กลางท้องฟ้าสีขาวโพลนฉับพลันถูกแหวกออกเป็นช่องว่างยาวร้อยกว่าจั้งเส้นหนึ่ง ปราณจิตวิญญาณอันแข็งแกร่งสายหนึ่งพุ่งออกมาจากด้านในแล้วโถมเข้าหาอย่างเกรี้ยวกราด
ครู่ต่อมาท่ามกลางสายตาของผู้คนที่ตีนเขา เกาะสีทองอร่ามทั้งเกาะแห่งหนึ่งก็ลอยออกมาจากรอยแหวกกลางอากาศ ขยับหมุนท่ามกลางแสงสีทองที่ห้อมล้อมไม่หยุด
สองตาของหลิ่วหมิงหรี่ลง มองเกาะแห่งนี้จนทะลุปรุโปร่งแปดเก้าในสิบส่วน
เกาะกลางฟ้าเกาะนี้มีขนาดใหญ่ถึงหลายสิบหมู่[1] แทบจะครอบทับเขาหิมะทั้งลูก ทอดมองไกลออกไป ท่ามกลางเมฆหมอกที่ลอยวนล้อมรอบเกาะเผยให้เห็นผืนดินเขียวขจีที่มีสีสันประดับประดาอยู่เลือนราง สกุณาขับขานบุปผาส่งกลิ่นหอม อสูรจิตวิญญาณและวิหคเซียนนานาชนิดนับไม่ถ้วน ตำหนักหออาคารสูงต่ำเรียงรายเป็นระเบียบประหนึ่งสวรรค์บนโลกมนุษย์
ศิษย์ทั้งหมดซึ่งเข้าร่วมงานประตูสวรรค์เป็นครั้งแรกและมองดูอยู่นั้น เวลานี้ส่วนใหญ่ล้วนเผยสีหน้าตกตะลึง เห็นชัดว่าถูกเกาะที่ลอยอยู่กลางท้องฟ้าแห่งนี้ทำให้ตกตะลึงอย่างยิ่ง
เบื้องหน้าฝูงชนเทียนเกอเจินเหรินกับบุรุษชุดเทาตรวจสอบจำนวนคน หลังแน่ใจว่าทุกคนมารวมตัวกันพร้อมแล้วจึงออกคำสั่ง พาหลิ่วหมิงกับศิษย์ที่เข้าร่วมงานประตูสวรรค์คนอื่นๆ กลายเป็นลำแสงแถบหนึ่งเหาะขึ้นไปยังยอดเขาหิมะ
เมื่อทุกคนมาถึงยอดเขาก็พบว่าที่ปรัมพิธี บนยอดเขามีคนของสองนิกายมาถึงก่อนแล้ว จากเครื่องแต่งกายบอกได้ว่าเป็นคนของนิกายปีศาจลี้ลับกับหุบเขาปีศาจสวรรค์
ความสัมพันธ์ระหว่างสองนิกายใหญ่นี้กับนิกายยอดบริสุทธิ์พูดได้ว่าไม่ดีนัก เทียนเกอเจินเหรินไม่ได้เข้าไปทักทายกับประมุขนิกายของอีกฝ่าย แต่พาทุกคนหยุดอยู่ห่างออกมาค่อนข้างไกล
หลังเวลาชั่วจิบชาหนึ่งถ้วย พร้อมกับที่ลำแสงหลากสีสันทยอยมา คนของสำนักและนิกายใหญ่ต่างๆ ก็มาถึงยอดเขาอย่างต่อเนื่อง รวมตัวกันแน่นขนัดเกือบพันคน ดูแล้วครึกครื้นยิ่งนัก
ผู้ที่ยืนอยู่ในจุดที่สะดุดตาที่สุดย่อมเป็นสี่ยอดนิกายใหญ่กับแปดตระกูลใหญ่ และกลุ่มอำนาจใหญ่ระดับสุดยอดเช่นหุบเขาปีศาจสวรรค์
สำนักกับนิกายขนาดกลางและขนาดเล็กจำนวนหนึ่งที่เหลือ ได้แต่ยืนอยู่ด้านหลังไกลๆ แบ่งแยกกันอย่างชัดเจน
ศิษย์สิบคนที่เข้าร่วมงานประตูสวรรค์เช่นหลิ่วหมิงกับหลัวเทียนเฉิงเวลานี้เปลี่ยนเป็นชุดยาวสีน้ำเงินซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของนิกายยอดบริสุทธิ์เหมือนๆ กัน พวกเขารอคอยอย่างนิ่งสงบไม่ส่งเสียง
เมื่อได้เห็นเกาะสีทองอร่ามแห่งนี้ในระยะใกล้แล้ว ทุกอย่างยิ่งชัดเจนมากขึ้นกว่าเดิม ทำให้ความตื่นตะลึงยิ่งเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล
หลิ่วหมิงมองอยู่ครู่หนึ่งจึงละสายตากลับมา
จะว่าไปแล้วเขามาถึงเขาหิมะนานขนาดนี้ เวลาส่วนใหญ่ล้วนฝึกฝนอยู่ในห้องลับในที่พัก ยังไม่ทันได้ดูคู่ต่อสู้ในการแข่งขันของงานครั้งนี้ดีๆ เลย
คนของสำนักเฮ่าหรานส่วนใหญ่แต่งกายด้วยชุดบัณฑิต ดูแล้วสง่างามทรงคุณธรรม ซึ่งแตกต่างกับคนของนิกายปีศาจลี้ลับอย่างสิ้นเชิง
ผู้คนของนิกายเทียนกงส่วนใหญ่สวมเสื้อสีเหลืองเปลือยแขนข้างหนึ่ง ดูแล้วธรรมดาไม่หรูหรา แต่ที่เอวของพวกเขาส่วนใหญ่มีถุงบวมป่อง เห็นชัดว่าพกถุงหนังที่เก็บหุ่นมากมายไว้ ทำให้ดูแล้วไม่เข้าพรรคเข้าพวกอยู่บ้าง
ส่วนแปดตระกูลใหญ่และหุบเขาปีศาจสวรรค์ก็ล้วนสวมเครื่องแต่งกายต่างกันไป อาจเพื่อแบ่งแยกได้ชัดเจน เครื่องแต่งกายของนิกายและสำนักทั้งหมดจึงล้วนมีเอกลักษณ์ของตนเอง ไม่เหมือนชุดของคนอื่น
หลิ่วหมิงมองรอบด้านประเมินคนที่ค่อนข้างสะดุดตาในหมู่ศิษย์ที่แต่ละสำนักนิกายส่งมา อย่างไรเสียศิษย์ที่เข้าร่วมงานได้นั้นล้วนย่อมเป็นศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดในหมู่เด็กรุ่นเยาว์ของแต่ละสำนักนิกาย ระวังตัวไว้ถึงจะอายุยืน
ศึกใหญ่ครั้งนั้นกับเวินเจิง จนกระทั่งวันนี้เขาก็ยังจดจำได้เหมือนเพิ่งเกิดขึ้น การเดินทางไปแดนลึกลับครั้งนี้ คู่ต่อสู้ของเขาไม่ใช่แค่คนสองคน เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะพบผู้ฝึกฝนที่พลังสูงกว่าระดับเดียวกันกลุ่มใหญ่ เขาจำต้องระมัดระวังให้มากขึ้น
ฉับพลันสายตาของเขาก็เพ่งมองไปยังร่างสตรีชุดม่วงคนหนึ่งของตระกูลโอวหยาง
โอวหยางเชี่ยนนั่นเอง
เทียบกับในงานแลกเปลี่ยน เวลานี้สตรีผู้นี้ฟื้นคืนหน้าตาแท้จริงแล้ว ดูไม่แตกต่างจากครั้งนั้นที่วังมายานัก
ทว่าพลังของสตรีผู้นี้ก้าวหน้าเร็วอย่างน่าอัศจรรย์จนแทบจะไม่เป็นรองเขา ผนวกกับพลังที่ได้เห็นตอนลงมือเมื่อหลายวันก่อนที่งานแลกเปลี่ยน เขาคงต้องรับมืออย่างระมัดระวัง
โอวหยางเชี่ยนคล้ายสัมผัสได้ถึงสายตาของหลิ่วหมิง นางหันศีรษะมองมาทางด้านนี้อย่างรวดเร็ว
เมื่อหลิ่วหมิงเห็นภาพนี้ ก็ตกใจเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าสตรีผู้นี้จะสัมผัสเฉียบคมเช่นนี้ ท่ามกลางคนเกือบพันคนกลับรู้สึกได้ถึงสายตาของตน
สายตาของคนทั้งคู่ประสานกัน หลิ่วหมิงพยักหน้าให้จากที่ไกลๆ และละสายตาออกอย่างรวดเร็ว
หลังโอวหยางเชี่ยนเห็นหลิ่วหมิง สายตาเป็นประกายเล็กน้อยชั่วครู่ มุมปากยกยิ้มขึ้นบาง
ส่วนศิษย์ของนิกายและสำนักอื่น เผิงเยวี่ยแห่งนิกายเทียนกง เซวียผานแห่งหุบเขาปีศาจสวรรค์ที่เคยมีวาสนาพบหน้ากับหลิ่วหมิงครั้งหนึ่งก็ล้วนอยู่ในกลุ่มที่โดดเด่นด้วย
ขณะที่เขากำลังครุ่นคิดกับตนเองอยู่นั้น บนเกาะก็มีเงาคนเคลื่อนไหว และทันใดนั้นลำแสงสองสายก็เหาะมา ชั่วพริบตาเดียวร่อนลงเบื้องหน้านิกาย สำนักและกลุ่มอำนาจทั้งหลาย
เมื่อรัศมีแสงดับลงก็เผยหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีที่อยู่ด้านใน ทั้งคู่ล้วนสวมชุดสีทองทั้งร่าง เสื้อผ้าปลิวไปตามสายลมประหนึ่งเทพเซียนในหมู่มนุษย์ ทว่าบนหน้าของคนทั้งสองล้วนสวมหน้ากากสำริดอันหนึ่งไว้จึงมองเห็นใบหน้าไม่ชัด
เมื่อคนของสำนักนิกายใหญ่แต่ละแห่งเห็นคนทั้งคู่มาถึง ก็กวาดตาอย่างรวดเร็วรอบหนึ่งจากนั้นถึงรวมตัวกันเข้ามา
“สหายทุกท่านมาเยือนที่แห่งนี้ได้ ข้าขอขอบคุณแทนวังสวรรค์ด้วย” บุรุษชุดสีทองหนึ่งในสองคนก้าวมาข้างหน้าก้าวหนึ่งแล้วประสานมือน้อยๆ ท่ามกลางการจับจ้องของผู้คนมากมาย สายตาของเขาคล้ายกวาดมองรอบด้านอย่างสบายๆ รอบหนึ่ง
หลิ่วหมิงยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน สายตาของบุรุษชุดสีทองเพียงกวาดผ่านไปชั่วครู่ไม่ได้สนใจเขาเป็นพิเศษ ทว่าเขากลับยังรู้สึกได้ถึงความรู้สึกเจ็บปวดเล็กๆ น้อยๆ บนผิวหน้า
“ผู้แข็งแกร่งระดับดาราพยากรณ์สองคน…” หลิ่วหมิงหัวใจหวาดหวั่นชั่ววูบ คนจากวังสวรรค์สองคนนี้แม้ไม่ได้ตั้งใจใช้วิชา กลิ่นอายบนร่างก็ยังคงมหาศาลอย่างที่สุด ไม่เป็นรองประมุขนิกายของนิกายใหญ่อย่างเทียนเกอเจินเหรินเลย
นอกจากนี้ตอนที่กวาดสายตาผ่านเมื่อครู่นั้น หลิ่วหมิงพบว่าในดวงตาของบุรุษชุดทองทอประกายสีทองเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายอาจฝึกฝนวิชาลับบางอย่างที่คล้ายกับ ‘เนตรสวรรค์มองทะลุ’ ไม่เช่นนั้นแม้เป็นผู้แข็งแกร่งระดับดาราพยากรณ์ก็ไม่มีทางกวาดตาทีเดียวทำให้ผู้อื่นรู้สึกประหลาดเช่นนี้ได้
“งานประตูสวรรค์ครั้งนี้ พวกเราสองคนเป็นผู้ดำเนินการ แม้สหายทุกท่านที่เข้าร่วมงานประตูสวรรค์น่าจะรู้กฎของงานอยู่แล้ว แต่ตามระเบียบข้าก็เลี่ยงไม่ได้ต้องพร่ำพูดที่นี่สักสองสามประโยค บอกกล่าวซ้ำอีกหน”
เสียงนิ่งสงบของบุรุษชุดทองดังออกมาจากด้านหลังของหน้ากาก น้ำเสียงเรียบๆ นั้นทำให้คนรู้สึกตัวแข็งอยู่บ้าง
ทว่าศิษย์ทั้งหลายบนยอดเขาหิมะกลับเงียบกริบ ไม่มีผู้ใดสักคนโพล่งปากส่งเสียงออกมารบกวนคำพูดของบุรุษชุดทอง
“ศิษย์ที่เข้าสู่แดนลึกลับประตูสวรรค์ทั้งหมด ก่อนเข้าไปจะได้รับโซ่แห่งโชคชะตาเส้นหนึ่ง งานแต่ละครั้งในอดีตล้วนเป็นการแย่งชิงโชคชะตาในแดนลึกลับ ไม่ว่าใช้วิธีอันใด ขอเพียงโจมตีทำลายโซ่แห่งโชคชะตาของผู้อื่นได้หรือได้รับสมบัติบางอย่างในแดนลึกลับมาก็จะมีโชคชะตาในจำนวนที่สอดรับกันถูกโซ่แห่งโชคชะตาดูดเข้าไป สุดท้ายสามอันดับแรกที่แย่งชิงโชคชะตามาได้มากที่สุด วังสวรรค์จะทำความปรารถนาในขอบเขตที่กำหนดข้อหนึ่งของคนผู้นั้นให้เป็นจริง”
ได้ฟังถึงตรงนี้ ศิษย์ที่เข้าร่วมงานทั้งหลายฉับพลันวุ่นวายพักหนึ่ง ดวงตาต่างเปล่งประกายตื่นเต้น
หลิ่วหมิงหลุบสายตาลง สีหน้าบนใบหน้ากลับมองไม่ออกว่าแปลกไปอย่างใด
“เงียบ!”คนระดับสูงของแต่ละสำนักนิกายใหญ่สายตาประหนึ่งอัสนีบาต เอี้ยวศีรษะไปกวาดตามองอย่างเย็นชา ศิษย์อายุน้อยทั้งหลายเหล่านี้ถึงเงียบลง
“ยังมีจุดที่ควรระวังอยู่บ้างต้องเตือนทุกท่าน ขอเพียงโซ่แห่งโชคชะตาของศิษย์คนใดถูกทำลาย แม้หลังจากนั้นไม่นานจะสร้างออกมาใหม่ได้ แต่โชคชะตาที่พวกเขาได้มาก่อนหน้าจะถูกแย่งชิงไปครึ่งหนึ่ง ผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งจะแย่งชิงโชคชะตาจากตัวคนผู้หนึ่งได้มากที่สุดสามครั้งเท่านั้น หลังจากนั้นแม้ทำซ้ำอีกกี่หนก็ไม่สามารถทำได้ทั้งสิ้น หากโซ่แห่งโชคชะตาของคนผู้หนึ่งถูกทำลายมากกว่าสิบครั้ง โซ่แห่งโชคชะตาจะไม่อาจคืนสภาพได้อีก เขาจะสูญเสียสิทธิในการอยู่ในแดนลึกลับประตูสวรรค์และถูกเคลื่อนย้ายออกมาทันที แน่นอนหากพบคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่ง จะบีบโซ่แห่งโชคชะตาให้แหลกและเคลื่อนย้ายออกจากแดนลึกลับเองก็ได้ แต่จะสูญเสียสิทธิในการแย่งชิงโชคชะตาต่อเช่นเดียวกัน” บุรุษชุดทองรอบรรยากาศสงบลงหน่อยจึงเอ่ยปากพูดต่อ
หลิ่วหมิงฟังถึงตรงนี้ในที่สุดก็เข้าใจแดนลึกลับของงานประตูสวรรค์นี่ละเอียดกว่าเดิมแล้ว การประลองฝีมือครั้งนี้แม้ฉากหน้าจะบอกว่าใช้วิธีที่ค่อนข้างอ่อนโยนเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ศิษย์ของสำนักนิกายต่างๆ เข่นฆ่ากันข้างใน แต่ความเป็นจริงกลับเห็นชัดว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้นจริง
“เอาล่ะ ไม่พูดมากแล้ว ข้าจะเปิดทางเข้าแดนลึกลับเดี๋ยวนี้” หลังบุรุษชุดทองพูดจบก็สะบัดแขนเสื้อทีหนึ่ง เรียกอาวุธจิตวิญญาณซึ่งมีรูปร่างเป็นแผ่นกลมๆ ชิ้นหนึ่งออกมา ด้านบนสลักลวดลายจิตวิญญาณวงแล้ววงเล่ามากมาย เขาถือมันด้วยมือเดียวแล้วหมุนตัวยิงเสาแสงสีขาวโพลนเป็นประกายเส้นหนึ่งไปยังตัวเกาะ
ส่วนสตรีชุดสีทองที่นิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจามาตลอดด้านข้าง ในมือก็มีอาวุธจิตวิญญาณที่เป็นแผ่นกลมเหมือนกันทุกประการชิ้นหนึ่งเพิ่มขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้เช่นกัน แต่สิ่งที่ยิงออกมากลับเป็นเสาแสงสีดำสนิทประหนึ่งหมึกเส้นหนึ่ง
เสาแสงดำขาวสองเส้นเกี่ยวกระหวัดกันกลางอากาศกลายเป็นเสาแสงสีดำขาวสองสีหมุนวนสลับกันและกลายเป็นวงแสงมหึมาสีดำขาวสอดสลับวงหนึ่งอยู่กลางอากาศเบื้องหน้าเกาะยักษ์ ทั้งยังหมุนวนกลางอากาศเรื่อยๆ ไม่หยุด
เวลานี้เอง มืออีกข้างหนึ่งที่ว่างอยู่ของทั้งสองคนฉับพลันก็ขยับใช้เคล็ดวิชาพร้อมกัน ยิงอักขระยันต์สีทองตัวแล้วตัวเล่าใส่วงกลมแสง
เป็นเช่นนี้จนผ่านไปราวหนึ่งก้านธูป วงกลมแสงขนาดยักษ์ฉับพลันส่องแสงรัศมีเจิดจ้า เสียงตู๊มดังสนั่นเสียงหนึ่งดังขึ้น จากนั้นวงกลมแสงก็ค่อยๆ เปลี่ยนกลายเป็นประตูแสงมหึมาห้าสีบานหนึ่ง
ในดวงตาของบุรุษหน้ากากสำริดเผยแววตาระมัดระวัง ทันใดนั้นเขาก็พลิกมือเรียกยันต์ที่ส่องแสงรัศมีห้าสีแผ่นหนึ่งขึ้นมา หลังท่องมนตร์เสียงเบาหลายประโยคก็สะบัดมือโยน ยันต์กลายเป็นแสงจิตวิญญาณสายหนึ่งแปะอยู่บนประตูแสงดังป้าบ
เสียงครืนดังสนั่นออกมา!
ในที่สุดบานประตูขนาดมหึมาสองบานก็เปิดจากข้างในออกมาข้างนอกช้าๆ แสงสว่างแสบตาห้าสีสายแล้วสายเล่าพุ่งออกมาจากด้านในทำให้คนหลายพันคนที่นั่นไม่อาจลืมตาได้เลย
แสงสว่างดับลงอย่างรวดเร็วเผยโลกที่ส่องประกายไร้ขอบเขตด้านในประตูแสง
ทุกคนเห็นภาพนี้ต่างก็รีบทยอยกันปล่อยพลังจิตออกมาเพราะต้องการสำรวจให้รู้ชัด ผลสุดท้ายกลับพบว่าพลังจิตแตะถูกประตูบานใหญ่ปุบก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยประหนึ่งวัวโคลนตกลงไปในมหาสมุทร
เมื่อหลิ่วหมิงเห็นว่าพลังจิตไร้ผลจึงใช้พลังสายตาอย่างถึงขีดสุดในทันที ทว่าเพ่งมองอยู่พักหนึ่งก็มองไม่เห็นสิ่งใด ตอนนี้ถึงได้แต่ยอมแพ้
ศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์สองสามคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ เขา บนหน้าก็ทยอยเผยผิดหวังออกมาเช่นกัน คาดว่าก็คงทำสิ่งเดียวกันกับเขาด้วย
บุรุษชุดสีทองผ่อนลมหายใจออกแล้วเก็บแผ่นวงกลมในมือไป จากนั้นเขาจึงหมุนตัวมากำลังจะเอ่ยวาจา ทว่าทันใดนั้นเสียงแผ่วเบาสายหนึ่งก็ดังขึ้น
ขอบฟ้าไกลออกไปฉับพลันปรากฏแสงรัศมีระยิบระยับประหนึ่งดวงดาราหลายดวงมุ่งมาทางด้านนี้อย่างรวดเร็ว
[1] หมู่ (亩) หน่วยวัดพื้นที่ของจีน เท่ากับประมาณ 667 ตารางเมตร