ขณะเดียวหลิ่วหมิงก็ค้นพบว่า ช่วงนี้อสูรโฉดปรากฏตัวบริเวณนี้บ่อยขึ้น
และทางเดินบริเวณที่เขาอยู่ ยังคงอยู่ห่างจากสายแร่หลักค่อนข้างไกล ด้วยเหตุนี้จึงสามารถจินตนาการได้ว่า ในเขตอื่นๆ ที่มีหินแร่ค่อนข้างมาก คงจะมีอสูรโฉดปรากฏตัวบ่อยกว่าบริเวณที่เขาอยู่
อสูรโฉดหลายตนที่หลิ่วหมิงเผชิญมาตลอดสี่เดือนนี้ ส่วนมากจะเป็นเหมือนกับที่พบในครั้งแรก ซึ่งอยู่ที่ระดับของเหลวขั้นต้นเท่านั้น แต่ก็มีหลายตนที่อยู่ระดับของเหลวขั้นกลาง
หลังจากได้สัมผัสกับมันหลายครั้ง เขาก็ค้นพบว่าแท้จริงแล้วอสูรโฉดไม่ได้มีรูปแบบเดียว นอกจากที่ดูคล้ายหมาป่ายักษ์ในตอนแรกแล้ว ยังมีที่คล้ายกับเสือดาว แมว และสุนัขเป็นต้น และต่างก็มีขนาดตั้งแต่สองสามฉื่อไปจนถึงสิบกว่าจั้ง ซึ่งมีเขาอยู่บนหัวหนึ่งคู่เช่นกัน มีลายพาดกลอนสีต่างๆ อยู่เต็มตัว ร่างของมันแข็งแกร่งมาก และยังสามารถต้านพิษได้ระดับหนึ่ง
ภายใต้การร่วมมือระหว่างหลิ่วหมิงกับแมงป่องกระดูก ทำให้สังหารอสูรโฉดได้อย่างง่ายดาย
ด้วยเหตุนี้ นอกจากกระดูกแล้ว ตอนนี้เขาก็มีเนื้อแห้งเก็บอยู่ไม่น้อย เขาทานมันอย่างต่อเนื่องจนทำให้กายเนื้อแข็งแกร่งกว่าตอนที่เข้ามาที่นี่ใหม่ๆ เล็กน้อย
วันนี้ เมื่อหลิ่วหมิงกลับมาจากเขตแลกเปลี่ยน เขาก็ทานโอสถถอนพิษของเดือนนั้น และนั่งขัดสมาธิอยู่ในถ้ำ
เขาจ้องมองพื้นเป็นหลุมเป็นบ่อที่อยู่ด้านนอกด้วยตาที่เป็นประกาย สีหน้าดูเหมือนหวนคิดถึงเรื่องบางอย่างอยู่
เขาถูกราชาปีศาจสมุทรจับมาไว้สถานที่แห่งมาระยะเวลาหนึ่งแล้ว เขานึกถึงตอนที่เดินทางมากับเย่เทียนเหมย ตั้งแต่ออกจากอวิ๋นชวน และข้ามทะเลชังไห่มาจนถึงเกาะตะพาบน้ำ ทั้งหมดนี้ราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
และฉากอันหวานซึ้งในหกเดือนก่อนนั้น ยิ่งทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกราวกับฝันไป
พอตื่นจากฝันหญิงงามก็ไม่อยู่แล้ว ส่วนตนเองกลับต้องมาอยู่ในถ้ำเหมืองแร่ใต้ทะเล ซึ่งไม่รู้ว่าจะได้พบเจอนางอีกเมื่อใด สิ่งนี้ทำให้หลิ่วหมิงเผยสีหน้าแปลกๆ ออกมา
“ไม่รู้ว่าตอนนี้นางเป็นอย่างไรบ้าง?” ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด หลิ่วหมิงถึงถอนใจออกมา และพูดพึมพำด้วยด้วยความเศร้าใจ
หลิ่วหมิงใจลอยอยู่พักหนึ่ง แต่ก็เรียกสติกลับมาในที่สุด
เมื่อเขาสงบจิตสงบใจได้แล้ว ก็เริ่มคิดไตร่ตรองถึงความเป็นไปได้ในการหนีออกไปจากสถานที่แห่งนี้
ในเมื่อตอนนี้เขาหายจากอาการบาดเจ็บแล้ว ก็สามารถพิจารณาถึงวิธีการหนีออกไปจากสถานที่แห่งนี้อย่างเป็นรูปธรรมได้แล้ว
สำหรับเขาแล้ว การหลบหนีในตอนที่ยังมีหินจิตวิญญาณฟื้นฟูพลังเวทย์อยู่ ย่อมเป็นโอกาสที่ดีที่สุด มิเช่นนั้น หากรอจนหินจิตวิญญาณหมดสิ้นเหมือนกับทาสเหมืองแร่คนอื่นๆ ล่ะก็ โอกาสในการหลบหนีย่อมลดน้อยลงไปด้วย
แต่หากอยากหนีไปจากที่นี่ล่ะก็ จำต้องเผชิญหน้ากับด่านยากสองด่านนี้ก่อน ด่านแรกคือชั้นจำกัดทั้งสองที่อยู่ในร่าง ด่านที่สองคือเส้นทางสำหรับหลบหนีไปจากที่นี่
ถ้าไม่สามารถจัดการปัญหาทั้งสองได้ คิดว่าเรื่องการได้รับอิสระอีกครั้ง คงเป็นเรื่องที่เพ้อฝันเท่านั้น
อย่างแรกล่ะก็ เขาเคยทดลองหาวิธีถอนพิษหมอกดำอยู่หลายครั้ง แต่กลับไม่ได้ผลเลย ทั้งยังทำการศึกษาไม่ไปน้อย แม้จะสามารถวิเคราะห์ส่วนประกอบออกมาได้ส่วนหนึ่ง แต่ยังมีหลายชนิดที่ยังไม่สามารถวิเคราะห์ออกมาได้ชัดเจน เขารู้สึกฉงนกับความบริสุทธิ์ของโอสถนี้ จนดูเหมือนยังไม่มีแผนรับมือที่ชัดเจน
และในสภาพแวดล้อมพิเศษ กลุ่มแสงสีแดงที่ลอยอยู่ในทะเลจิตวิญญาณ คงจะกำเริบและคุมขังทะเลจิตวิญญาณไว้ ผลลัพธ์ด้านอื่นๆ ยังคงไม่สามารถรู้ได้ในขณะนี้ แต่คงจะไม่มีผลร้ายกับชีวิตของเขามากนัก แต่คิดอยากจะขจัดมัน ก็ยิ่งไม่รู้เส้นสนกลในที่ซับซ้อนเลย
เส้นทางการหลบหนีที่หลิ่วหมิงรู้ในขณะนี้ ก็มีแค่ทางเข้าที่เข้ามาในวันนั้น แต่มันกลับมีชั้นจำกัดอยู่เป็นจำนวนมาก
ต่อให้จะทำลายชั้นจำกัดแล้วออกไปได้ บนนั้นก็ยังมีผู้พิทักษ์กับผู้อาวุโสที่มีระดับการฝึกฝนที่ไม่อาจคาดเดาได้ ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีอสูรยักษ์ระดับผลึกกับหุ่นยักษ์ลึกลับสิบสองตัวคอยเฝ้าอยู่
พอคิดมาถึงจุดนี้ หลิ่วหมิงก็ลุกขึ้นมาด้วยความกระสับกระส่าย และขมวดคิ้วเดินเตร่ไปมาอยู่ในถ้ำ สีหน้าของเขาเคร่งขรึมเล็กน้อย
ขณะที่หลิ่วหมิงเดินวนไปได้สองสามรอบนั้น พลันค้นพบว่าแมงป่องกระดูกที่อยู่บริเวณปากถ้ำมีการเคลื่อนไหว และแหงนคอส่งเสียงร้องออกมาอย่างบ้าคลั่ง
หลิ่วหมิงขยับตัวไปหน้าปากถ้ำด้วยความตกตะลึง พอกวาดสายตามองดูรอบด้านแล้ว ก็ต้องสูดหายใจด้วยความรู้สึกเย็นสะท้าน
บนทางเดินที่ห่างออกไปหลายสิบจั้ง มีไอหมอกสีขาวเทาปกคลุมอยู่เต็มไปหมด มันพวยพุ่งอย่างบ้าคลั่งและรวมตัวเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียว กลุ่มไอหมอกจำนวนมากก็เชื่อมต่อกันจนกลายเป็นทะเลหมอกสีขาวเทา
และท่ามกลางทะเลหมอก มีคลื่นสั่นสะเทือนแผ่ออกมาอยูไม่หยุด ทั้งยังมีเสียงอสูรคำราม และเงาร่างสีดำที่ปรากฏหายๆ ราวกับว่าอสูรโฉดกำลงพุ่งออกจากในนั้น
“ภัยร้าย!”
หลิ่วหมิงหลุดปากส่งเสียงออกมา ข้อมูลเกี่ยวข้องที่ได้รับจากเขตแลกเปลี่ยนในก่อนหน้านั้นโผล่ขึ้นในมองทันที
ภัยร้ายที่กล่าวถึงย่อมเป็น ‘ภัยอสูรโฉด’ นั่นเอง
ปกติพวกมันจะทำลายพังผนังถ้ำ เพื่อเข้ามาในสายแร่ แต่อสูรยักษ์ที่เข้ามามีลักษณะต่างออกไปกัน
ไม่รู้ว่าทำไมทุกๆ หนึ่งเดือน สิ่งกีดขวางระหว่างเหวลึกไร้ก้นกับถ้ำเหมืองแร่ถึงอ่อนแอลงเรื่อยๆ ทำให้อสูรโฉดจำนวนมาก บุกเข้ามาในเขตเหมืองแร่ และสร้างความหายนะให้กับผู้ฝึกฝน
พอภัยร้ายปะทุออกมา ก็จะทำให้อสูรโฉดอย่างน้อยหลายร้อยตน อย่างมากก็พันกว่าตัวออกมาในถ้ำเหมืองแร่พร้อมกัน ในนั้นอาจมีอสูรโฉดระดับสูงอย่างระดับของเหลวขั้นปลายไปจนถึงระดับผลึกด้วย
สำหรับทาสเหมืองแร่ที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่อย่างยากลำบากอยู่แล้ว คงต้องประสบภัยที่ไม่มีเค้าบอกลางมาก่อนอย่างไม่ต้องสงสัย
แม้หลิ่วหมิงจะมีพลังแข็งแกร่งกว่าผู้อื่น แต่หากถูกอสูรโฉดจำนวนหนึ่งโอบล้อมไว้ เกรงว่าคงต้องตายอย่างแน่นอน
เพราะว่าพอภัยร้ายปะทุออกมา หากมีคนถูกอสูรโฉดก่อกวน และไม่สามารถหลุดออกมาได้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ล่ะก็ จะยิ่งดึงดูดให้อสูรโฉดตัวอื่นเข้ามาด้วย
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งระดับผลึก ก็ได้แต่หลบหนีไปไกลๆ เท่านั้น
แต่ตามที่ทาสเหมืองแร่ที่อยู่ที่นี่มาหลายสิบปีเล่ามา ราวๆ ห้าหกปีภัยร้ายนี้ถึงจะปะทุออกมาหนึ่งครั้ง และเหมือนว่าครั้งก่อนเพิ่งจะปะทุไปได้สองสามปี ดังนั้นในช่วงเวลานี้ต้องเป็นช่วงที่ปลอดภัยถึงจะถูก หรือว่าจะเกิดภัยพิบัติอะไรที่ไม่สามารถทราบได้?
พอหลิ่วหมิงมองเห็นกลุ่มหมอกเข้าใกล้กันเรื่อยๆ เขาก็โบกมือเรียกแมงป่องกระดูกโดยไม่ต้องคิด จากนั้นก็พุ่งไปยังทางออกอย่างรวดเร็ว
ตามความเคยชินที่ผ่านมา เพียงแค่หนีไปยังบริเวณทางออกได้ ย่อมมีผู้พิทักษ์เหมืองแร่กระตุ้นชั้นจำกัดภายในถ้ำ เพื่อให้อสูรโฉดที่แข็งแกร่งไปต้านทานอยู่ด้านนอก และพอนานเข้า อสูรโฉดเหล่านี้ก็จะถูกพลังแปลกประหลาดดูดกลับไปยังเหวไร้ก้นเช่นเดิม
ในอดีต ก่อนที่ภัยร้ายจะมาถึงสองสามเดือน ทาสเหมืองแร่มักจะออกไปให้ไกลจากสายแร่หลัก หรือไม่ก็ไปรออยู่บริเวณทางออกเลย แม้แต่การไปขุดหินแร่ ก็เลือกสายแร่ที่อยู่ค่อนข้างไกลจากสายแร่หลัก หรือไม่ก็หาคนไปด้วยกันมากๆ
สิ่งที่หลิ่วหมิงต้องทำในตอนนี้ก็คือ รีบคว้าโอกาสในขณะที่อสูรโฉดยังไม่ทะลวงสิ่งกีดขวางออกมาจนหมด หนีไปตรงเขตทางเข้าถ้ำเหมืองแร่ให้เร็วที่สุด
ครั้งนี้ภัยร้ายได้ปะทุอย่างกะทันหัน และแปลกประหลาดเช่นนี้ ไม่รู้ว่าจะมีทาสเหมืองแร่กี่คนเสียชีวิตในปากของมัน
ด้วยกายเนื้ออันแข็งแกร่งของหลิ่วหมิง เมื่อเขาวิ่งหนีด้วยพลังทั้งหมด ก็จะเห็นเพียงเงาร่างสีเทาเคลื่อนไหวไปมาบนทางเดิน ไม่นานก็หนีไปได้ไกลเกือบร้อยจั้ง และเห็นทางออกอยู่รำไรแล้ว
ภายใต้การสื่อสารด้วยจิตกับแมงป่องกระดูก มันก็เข้าใจถึงอันตรายในตอนนี้ และกลายเป็นเงาร่างวิ่งตามติดออกไปอย่างไม่เสียดายพลังเวทย์
ขณะนี้ มีพายุบ้าระห่ำก่อตัวขึ้นมาท่ามกลางไอหมอกสีขาวอีกกลุ่มที่ตรงบริเวณทางออก
ครู่ต่อมา อสูรโฉดรูปร่างแบนราบราวกับตะขาบที่ยาวเจ็ดแปดจั้งก็ปรากฏออกมา มันยืนบังทางเข้าไว้อย่างแน่นหนา
อสูรโฉดตนนี้ไม่เพียงแต่มีรูปร่างสูงใหญ่เท่านั้น ขาของมันก็แหลมคมอย่างหาที่เปรียบมิได้ มันแยกเขี้ยวยิงฟันวาดขาออกไปติดต่อกัน บริเวณที่มันเคลื่อนตัวผ่านมีเสียงดังออกมา พริบตาเดียวก็กลายเป็นพายุบ้าระห่ำขนาดเล็กๆ และก่อตัวเป็นกำแพงวายุพุ่งมาทางหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็มีสีหน้าหนักอึ้ง แต่เท้าที่วิ่งอยู่ไม่ได้ลดความเร็วลงเลย เขากระตุ้นเกล็ดมังกรแดงให้มาปรากฏบนไหล่ เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีของกำแพงวายุ เขาก็ยังทะลุออกไปได้อย่างน่าเหลือเชื่อ นอกจากจะมีเสียงดังอู้อี้แล้ว เขาก็ดูเหมือนจะไม่เป็นอะไรเลย
พอหลิ่วหมิงเห็นว่าตนเองอยู่ห่างจากอสูรโฉดไม่กี่จั้ง เขาก็กระทืบเท้าข้างหนึ่งลงพื้นอย่างรวดเร็ว และพุ่งยิงออกไปราวกับลูกธนู
อสูรโฉดหลายขาเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกโมโหมาก มันจ้องหลิ่วหมิงกลางอากาศด้วยความประหลาดใจ พอมันส่ายหัว ไอหมอกสีเขียวที่มีกลิ่นคาวก็ถูกพ่นออกมา จากนั้นก็อ้าปากที่เต็มไปด้วยคมเขี้ยว และยื่นออกไป
พอหลิ่วหมิงเห็นหมอกเขียวพุ่งเข้ามา เขากลับไม่หลบหลีกเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่สะบัดแขนเสื้อพัดหมอกพิษจนแตกกระจาย ส่วนมืออีกข้างก็คว้าไปกลางอากาศ เขาบิดเอวจนกลายเป็นเงา และหลบปากตะขาบขนาดใหญ่ที่งับเข้ามาได้ จากนั้นก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงด้านหลังของอสูรโฉดก่อนที่จะฟันลงไป
เกิดเสียงดังสนั่น แสงกระบี่สีดำหายวับออกไปราวกับสายฟ้าแลบ และฟันใส่อสูรตนนี้จนกลายเป็นสองส่วน ศพของมันยังไม่ทันจะหล่นลงพื้น หลิ่วหมิงก็พาแมงป่องกระดูกพุ่งออกไปไกลแล้ว
แต่พอหลิ่วหมิงพุ่งออกจากทางเดิน เขาต้องก็หดรูม่านตาลงอย่างอดไม่ได้
บนทางเดินที่ไปทางเขตแลกเปลี่ยน ก็มีไอหมอกสีขาวเทาพวยพุ่งเช่นกัน และยังมีอสูรโฉดที่มีรูปร่างเหมือนคางคกยืนบังอยู่
แต่กลับเห็นได้ชัดว่าอสูรโฉดตนนี้โง่เขลาเล็กน้อย เมื่อมันมองเห็นหลิ่วหมิง ก็ได้แต่เฝ้าอยู่ที่เดิมด้วยความตื่นตะลึง
แต่ขณะเดียวกัน พลันมีเสียงคำรามดังมาจากทางเดินด้านหลัง อสูรโฉดตนอื่นๆ พุ่งออกจากไอหมอก และกระโจนเข้ามาหาเขา
หลิ่วหมิงรู้สึกใจหนักอึ้ง เขารู้ดีว่าในตอนนี้ไม่อาจถูกอสูรโฉดรัดพันได้ ดังนั้นจึงพุ่งออกไปยังทางเดินที่ว่างเปล่าอย่างไม่ลังเล
…………………………………