“สหายเหมิงหนิง ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ผู้ดำเนินพันธมิตรของเราสองคน ก็หายตัวในเมืองกู่หนานของพวกเจ้า ตามหลักแล้ว หุบเขาผลึกต้องรับผิดชอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ ตามที่ข้ามา ผู้ฝึกฝนระดับผลึกก็เพียงพอที่จะเป็นแขกอาวุโสของหุบเขาผลึกได้ ด้วยสถานะของเจ้า อย่าบอกนะว่าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย” เย่เทียนเหมยกล่าวด้วยประกายตาที่เยือกเย็น
“อืม! กล่าวเช่นนี้ก็ไม่ผิด เรื่องการหายตัวของผู้ดำเนินการพันธมิตรของท่าน ทางหุบเขาเราย่อมไม่อาจนิ่งดูดายได้ ท่านเซียนเย่วางใจเถอะ! เรื่องนี้ข้าจะไปรายงานเจ้าหุบเขาด้วยตัวเอง เชื่อว่าหลังจากเจ้าหุบเขาเข้าใจต้นสายปลายเหตุแล้ว จะต้องส่งคนมาตรวจสองเรื่องนี้โดยเร็ว พอถึงเวลานั้นจะต้องให้คำตอบกับทางพันธมิตรและท่านเซียนเย่อย่างแน่นอน” เหมิงหนิงลังเลเล็กน้อยแล้วกล่าวกับเย่เทียนเหมยด้วยสีหน้าจริงจัง
หลิ่วหมิงได้ยินเหมิงหนิงกล่าวเช่นนี้ ก็แสดงสีหน้าออกมาราวกับคิดอะไรอยู่
พอเย่เทียนเหมยได้ยิน ก็ทำเสียงฮึดฮัดออกมา กลิ่นไอบนตัวดูดุเดือดรุนแรงยิ่งกว่าเดิม จากนั้นนางก็เลิกคิ้วกล่าวกับเหมิงหนิง
“คำพูดบอกปัดเช่นนี้ ใช้หลอกเด็กอายุสามขวบเถอะ! เจ้าคิดว่าข้าเป็นใครกัน คิดว่าข้าจะฟังคำพูดขายผ้าเอาหน้ารอดของเจ้าหรือ?”
“ท่านเซียนกล่าวเกินไปแล้ว” ได้ยินเย่เทียนเหมยกล่าวเช่นนี้ สีหน้าเหมิงหนิงก็ดูเคร่งขรึมขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นก็รีบกุมมือกล่าวออกมา
“ไม่อยากให้ข้าพูดเกินไป สหายก็ควรแสดงความจริงใจออกมา คิดจริงๆ หรือว่าจะหลอกข้าได้?” แสงแวววาวเปล่งประกายในดวงตาของเย่เทียนเหมย
เผชิญหน้ากับคำพูดฉอดๆ เช่นนี้ เหมิงหนิงก็ไม่ได้รีบเอ่ยปากแต่อย่างใด สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปมาอยู่ไม่หยุด ดวงตาสีเหลืองทองแลดูลังเลขึ้นมา
เย่เทียนเหมยจ้องมองเขาด้วยสีหน้าเยือกเย็น โดยไม่กล่าวอะไรออกมา
วิหารหินเข้าสู่ความเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง
เวลาค่อยๆ ผ่านไปท่ามกลางบรรยากาศอันแปลกประหลาดเช่นนี้
สีหน้าหลิ่วหมิงยังคงเป็นปกติ แต่แอบทำการคาดเดาอยู่ในใจ
ดูท่าผู้อาวุโสของหุบเขาผลึกผู้นี้ จะต้องรู้อะไรบางอย่าง แต่ดูเหมือนว่ามีบางอย่างที่ไม่สามารถบรรยายออกมาได้
เรื่องนี้ไม่ต้องพูด คิดว่าเย่เทียนเหมยก็คงดูออก
ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ เขาควรจะรอดูอย่างเงียบๆ ดีกว่า
“สหายเหมิงหนิง พิจารณาว่าอย่างไรบ้าง?” ผ่านไปสักพัก พอเห็นว่าเหมิงหนิงยังคงมีท่าทีลังเล และยังตัดสินใจไม่ได้ เย่เทียนเหมยก็ดูเหมือนจะอดทนไม่ไหวอีกต่อไป
เหมิงหนิงถอนหายใจออกมาเบาๆ พอมองหลิ่วหมิงที่อยู่ด้านข้างทีหนึ่งแล้ว ก็ขยับปากโดยไร้เสียงสองสามที ดูเหมือนว่าเขาจะส่งเสียงพูดอะไรบางอย่างกับเย่เทียนเหมย
หลังจากเย่เทียนเหมยฟังจบ สีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป กลิ่นไอน่ากลัวบนตัวเบาบางลงไปมาก
ฉากนี้ตกอยู่ในสายตาของหลิ่วหมิง ทำให้เขารู้สึกสงสัยเป็นอย่างมาก แต่ด้วยสถานะของเขาในตอนนี้ เมื่อเผชิญกับผู้ฝึกฝนระดับผลึกทั้งสอง ย่อมไม่กล้าเอ่ยปากถามอะไร
“คิดไม่ถึงว่าจะพัวพันกับคนผู้นี้ มิน่าล่ะสหายเหมิงถึงได้เกรงกลัว ครั้งนี้พันธมิตรอวิ๋นชวนได้รับน้ำใจจากท่านแล้ว ที่เหลือข้าจะจัดการเอง จะไม่ให้พัวพันถึงสหายเลยแม้แต่น้อย ที่ข้ามาเกาะตะพาบน้ำในครั้งนี้ ยังต้องจัดซื้อทรัพยากรเพื่อทำภารกิจของผู้ดำเนินการทั้งสองให้สำเร็จ ไม่ทราบว่าสหายเหมิงพอจะอำนวยความสะดวกได้หรือไม่?” เย่เทียนเหมยพยักหน้าและกล่าวขอบคุณ คิดไม่ถึงว่านางจะไม่พูดถึงเรื่องผู้ดำเนินการทั้งสองอีก แต่กลับพูดเรื่องจัดซื้อทรัพยากรกับเหมิงหนิงที่สีหน้าดูผ่อนคลายลงไปมาก
พันธมิตรอวิ๋นชวนส่งผู้ดำเนินการระดับของเหลวเดินทางไกลมาเกาะตะพาบน้ำ เพื่อจัดซื้อทรัพยากรสำหรับการฝึกฝน คิดไม่ถึงว่าผู้ดำเนินการทั้งสอง ทำภารกิจยังไม่สำเร็จก็หายตัวไปก่อน ระหว่างที่ตรวจสอบเรื่องราวเหล่านี้ เย่เทียนเหมยย่อมถือโอกาสจัดซื้อทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนไปด้วย
เพราะเรื่องสามแก่นหกศิษย์เกี่ยวข้องกับอนาคตของมนุษย์ในแผ่นดินอวิ๋นชวน การค้านี้ต้องรีบทำให้สำเร็จ และส่งทรัพยากรกลับไปอย่างปลอดภัย ไม่อาจชักช้าได้
แม้จะบอกว่าเรื่องในก่อนหน้านี้ ทำให้พันธมิตรสูญเสียหินจิตวิญญาณเป็นจำนวนมาก แต่สำหรับพันธมิตรอวิ๋นชวนแล้ว แม้จะนับว่าเป็นจำนวนไม่น้อย แต่ก็ยังพอจะรับได้
พอเหมิงหนิงได้ยินเย่เทียนเหมยกล่าวเช่นนี้ แม้จะรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง แต่ก็รู้สึกโล่งใจไปมาก เขาจึงกล่าวกับเย่เทียนเหมยด้วยรอยยิ้มในทันที
“ท่านเซียนเย่จะจัดซื้อทรัพยากรอะไร ก็พูดมาได้เลย เพียงแค่พันธมิตรของท่านจ่ายค่าตอบแทนที่เพียงพอ ข้าจะต้องทำให้สหายพอใจอย่างแน่นอน”
เวลาต่อมา เย่เทียนเหมยก็นำแผ่นหยกที่สลักรายการทรัพยากรออกมา และโยนให้ผู้อาวุโสมนุษย์อสูร
เหมิงหนิงมอบแผ่นค่ายกลสีม่วงให้กับเย่เทียนเหมยแผ่นหนึ่ง และบอกว่าพอทรัพยากรทั้งหมดที่นางต้องการเตรียมพร้อมแล้ว ก็จะแจ้งผ่านของสิ่งนี้ แม้กระทั่งยังรับรองว่า จะให้ราคาพิเศษของทรัพยากรที่จัดซื้อกับเย่เทียนเหมย
เย่เทียนเหมยไม่ได้รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด เพียงแค่กล่าวขอบคุณเบาๆ
จากการสนทนาในตอนท้ายของทั้งสอง หลิ่วหมิงก็พอเข้าใจว่า ผู้อาวุโสระดับผลึกตรงหน้าไม่เพียงแต่ประจำการอยู่ในเมืองกู่หนาน แต่ยังเป็นหนึ่งในสิบกว่าคนของผู้อาวุโสระดับผลึกในหุบเขาผลึก
สิ่งนี้ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกประหลาดใจกับความแข็งแกร่งของหุบเขาผลึกเล็กน้อย
อิทธิพลของหุบเขาผลึกตามที่เขาคาดไว้ เกรงว่าต่อให้นิกายทั้งห้าในแคว้นต้าเสวียนร่วมมือกัน ก็ยังไม่ใช่คู่ศัตรูของหุบเขาผลึก
ในเมื่อกลุ่มอิทธิพลใหญ่อีกสองกลุ่ม สามารถยึดครองพื้นที่บนเกาะตะพาบน้ำได้ คิดว่าคงมีกำลังพอๆ กัน
ด้วยเหตุนี้ หลิ่วหมิงจึงรู้ว่าแม้เกาะตะพาบน้ำจะมีพื้นที่ไม่เท่าอวิ๋นชวน แต่ความแข็งแกร่งก็ด้อยกว่าอวิ๋นชวนไม่มาก
หลังจากเย่เทียนเหมยพูดคุยเรื่องการจัดซื้อทรัพยากรเสร็จแล้ว ก็กล่าวลากับผู้อาวุโสท่านนั้น และพาหลิ่วหมิงไปจากวิหารหิน
ระหว่างทางกลับโรงเตี๊ยมคลื่นสีคราม หลิ่วหมิงค่อยๆ เดินตามหลังเย่เทียนเหมยโดนไม่กล่าวอะไรออกมา แม้สีหน้าจะดูปกติ แต่ในใจก็แอบคาดเดาว่า ก่อนหน้านั้นผู้อาวุโสกล่าวอะไรกับเย่เทียนเหมยกันแน่ ถึงทำให้นางเปลี่ยนไปเช่นนี้
ดูเหมือนเย่เทียนเหมยจะสังเกตเห็นท่าทีหลิ่วหมิงตั้งแต่แรกแล้ว พอนางโบกแขนข้างหนึ่งออกไป ม่านแสงไร้รูปก็ปกคลุมร่างของนางกับหลิ่วหมิงไว้ จากนั้นนางก็กล่าวกับหลิ่วหมิงอย่างเยือกเย็น
“ศิษย์หลานหลิ่ว เจ้าอยากถามข้าว่า เมื่อครู่เหมิงหนิงส่งเสียงมาพูดอะไรกับข้าหรือ?”
หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกเย็นสะท้านขึ้นมา เขารีบก้มหน้าและป้องมือกล่าว
“เรื่องนี้สำคัญเป็นอย่างมาก เมื่ออาจารย์อาไม่พูด ย่อมมีวิธีการพิจารณาของตนเอง ผู้น้อยไม่กล้าเดาส่งเดช”
“ไม่จำเป็นต้องตื่นเต้นเช่นนี้ เรื่องนี้บอกเจ้าไปก็ไม่มีปัญหาอะไร เพียงแต่อย่าแพร่งพรายออกไปก็เท่านั้น” เย่เทียนเหมยกล่าวด้วยสีหน้าสงบ
หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย และพยักหน้าตอบรับกลับไป
พอเห็นหลิ่วหมิงเป็นเช่นนี้ สีหน้าเย่เทียนเหมยก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย จากนั้นก็กล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
“เมื่อครู่เหมิงหนิงแค่ส่งเสียงมาบอกชื่อคนที่ชื่อ ‘หมาซู่’ เท่านั้น”
“หมาซู่?”
หลิ่วหมิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“หมาซู่ เป็นหนึ่งในสองรองเจ้าหุบเขา ดูเหมือนจะมีการฝึกฝนระดับผลึกขั้นกลาง ว่ากันว่าพลังที่แท้จริงของเขานั้นไม่อาจคาดเดาได้ และยังมีความแข็งแกร่งของผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นปลาย” เย่เทียนเหมยกล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย
“ระดับผลึกขั้นกลาง” พอประโยคนี้เข้ามาในหูของหลิ่วหมิง ย่อมทำให้เขาตกใจเป็นอย่างมาก
อย่างที่รู้ๆ แม้แต่เย่เทียนเหมยที่มีพลังแข็งแกร่งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ยังมีการฝึกฝนอยู่แค่ระดับผลึกขั้นต้น คนที่ชื่อหมาซู่นี้กลับมีระดับการฝึกฝนเหนือกว่าเย่เทียนเหมยขั้นหนึ่ง
หากเรื่องการหายตัวของผู้ฝึกฝนระดับของเหลวเกี่ยวข้องกับคนผู้นี้ ก็เป็นเรื่องง่ายแล้ว
แต่ฟังจากน้ำเสียงของเย่เทียนเหมย ดูเหมือนนางจะไม่ค่อยใส่ใจคนผู้นี้มากนัก
ที่นางเป็นเช่นนี้ ย่อมเป็นเพราะว่าสถานะร่างฝึกกระบี่กับวิชากระบินอันน่าตกใจของนาง
หลิ่วหมิงพอคาดเดาได้ลางๆ ว่า พลังที่แท้จริงของเย่เทียนเหมย เกรงว่าแม้แต่ผู้แข็งแกร่งระดับผลึกขั้นปลายยังต้องยำเกรงอยู่บ้าง ดังนั้นผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นกลางอย่างหมาซู่จึงไม่ต้องพูดถึงเลย
เวลาที่เหลือเย่เทียนเหมยก็เดินกลับไปโรงเตี๊ยม โดยไม่ได้พูดอะไรกับเขาอีก
“ใช่สิ! ศิษย์หลานหลิ่วเข้าไปในห้องกับข้าหน่อย” ขณะที่เย่เทียนเหมยกำลังเหยียบเท้าเข้าประตู ก็ดูเหมือนกับนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงหันมากล่าวกับหลิ่วหมิงที่กำลังจะกลับเข้าห้องของตนเอง
ตอนแรกหลิ่วหมิงรู้สึกตกตะลึง แต่ก็พยักหน้าแล้วตามเย่เทียนเหมยเข้าไปในห้องอย่างว่าง่าย
ไม่ต้องรอให้หลิ่วหมิงถาม นางก็เอ่ยปากออกมาก่อน
“นับดูเวลาแล้ว ตอนนี้ห่างจากงานประมูลไม่มาก ยิ่งไปกว่านั้นศิษย์หลานอาจต้องไปถึงก่อนเล็กน้อยเพื่อเตรียมความพร้อม พรุ่งนี้เจ้าออกเดินทางไปร่วมงานประมูลอาวุธจิตวิญญาณชิ้นนั้นได้แล้ว”
ตอนนี้ เย่เทียนเหมยได้ตัดสินใจเรื่องผู้ดำเนินการทั้งสองของพันธมิตรแล้ว หลิ่วหมิงย่อมไม่จำเป็นต้องยื่นมือเข้ามาอีก
พอหลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกดีใจมาก หลังจากกล่าวตอบรับแล้ว ก็รู้สึกรอคอยงานประมูลอย่างอดไม่ได้
จากนั้น เย่เทียนเหมยก็เริ่มหลับตาเข้าฌาน หลิ่วหมิงกล่าวลาแล้วก็ถอยกลับไป
…..
วันต่อมา ท้องฟ้ากำลังสว่าง ขณะที่หลิ่วหมิงผลักประตูเพื่อออกเดินทางนั้น กลับมองเห็นหญิงชุดสีขาวที่ไม่รู้ว่ามายืนอยู่หน้าประตูตั้งแต่เมื่อไหร่ สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย
เขายังไม่ทันเข้าไปคารวะ เย่เทียนเหมยก็โยนของสิ่งหนึ่งเข้ามา
หลิ่วหมิงยกมือไปคว้าอย่างรวดเร็ว สิ่งที่อยู่ในมือคือแผ่นป้ายสีแดงอันหนึ่ง
“อาจารย์อาเย่ นี่คือ?” หลิ่วหมิงจ้องมองแผ่นป้ายตาไม่กระพริบ แต่ก็ยังมองไม่ออกว่าแผ่นป้ายนี้ใช้งานอย่างไร จึงถามเย่เทียนเหมยอย่างอดไม่ได้
“ป้ายนี้เป็นป้ายอวิ๋นชวน เป็นสิ่งของยืนยันสถานะระดับสูงของพันธมิตรอวิ๋นชวน ในเมื่อเรื่องของพันธมิตรทำให้ข้าไม่อาจเดินทางไปกับเจ้าได้ แต่หากเจ้าพกแผ่นป้ายนี้ไว้ คงได้ใช้ประโยชน์จากมัน มันสามารถสั่นสะเทือนสยบกลุ่มอิทธิพลทั่วไปบนเกาะได้ ช่วยลดปัญหาให้เจ้าได้ไม่น้อย” เย่เทียนเหมยค่อยๆ กล่าวออกมา
สำหรับเย่เทียนเหมยแล้ว แม้ว่าหลิ่วหมิงจะไม่ใช่คนของพันธมิตรอวิ๋นชวน แต่การช่วยสืบข่าวในหลายวันนี้ นับว่าได้ให้ความช่วยเหลือเล็กน้อย และด้วยสถานะของนาง ย่อมไม่ยอมติดค้างน้ำใจของผู้น้อย ถึงได้นำสิ่งของยืนยันตัวตนของพันธมิตรให้หลิ่วหมิงใช้ชั่วคราว
พอหลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ ย่อมรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก หลังจากกล่าวขอบคุณแล้ว ก็เก็บแผ่นป้ายอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็กล่าวคำอำลาแล้วไปจากโรงเตี๊ยมแห่งนั้น
ไม่นาน เขาก็ออกไปจากประตูเมืองกู่หนาน พอออกไปไกลลี้กว่าๆ ก็สะบัดแขนเสื้อปล่อยเรือเหาะออกมา
หลิ่วหมิงขยับตัวไปยืนอยู่ส่วนหน้าของเรือ พอทำท่ามือกระตุ้น มันก็กลายเป็นลำแสงพุ่งทะยานออกไป
……………………………………