เย่เทียนเหมยขมวดคิ้วจ้องหยดโลหิตสีดำอย่างไม่กระพริบตา
ขณะที่เข้ามาในห้องนั้น นางได้ปล่อยจิตปกคลุมภายในรัศมีหลายจั้ง แต่ทว่าแม้แต่ผู้ฝึกฝนระดับผลึกอย่างนาง ก็ไม่พบร่องรอยใดๆ เกี่ยวกับหยดโลหิตสีดำเหล่านี้เลย
ครั้งนี้ หากเย่เทียนเหมยไม่ได้พบที่อยู่ชั่วคราวของคนทั้งสองจากเบาะแสในก่อนหน้า และกระตุ้นเคล็ดวิชาโดยไม่เสียดายพลัง เพื่อให้อาวุธเวทย์ที่เก็บโลหิตของผู้ดำเนินการทั้งสองหาร่องรอยหยดโลหิตสีดำเหล่านี้พบล่ะก็ คงหาเส้นสนกลในของเรื่องนี้ไม่เจอ
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม นอกจากโลหิตสีดำเหล่านี้แล้ว ทั้งสองก็ไม่พบเบาะแสใดๆ อีก
ดูเหมือนตอนนี้ จะมีคนตั้งใจแสดงวิธีการแปลกประหลาดบางอย่าง ลบร่องรอยของผู้ดำเนินการทั้งสองออกไปจากห้องนี้
โลหิตดำเหล่านี้ คงเป็นความสะเพร่าของฝ่ายตรงข้าม
“ดูท่าผู้ดำเนินการของพันธมิตรทั้งสองคนคงประสบกับเคราะห์ร้ายแล้วล่ะ” หลิ่วหมิงจ้องมองโลหิตดำเหล่านี้ และถอนหายใจออกมา
“เรื่องนี้ยุ่งยากยิ่งนัก” เย่เทียนเหมยเงียบไปพักหนึ่ง และค่อยๆ กล่าวออกมา พอนางโบกมือไปกลางอากาศ แสงสีเงินก็เปล่งประกาย จากนั้นเตาหลอมเล็กๆ ก็หายเข้าไปในแขนเสื้อของนาง
“ครั้งนี้อาจารย์อาเย่ใช้เคล็ดวิชาหาที่นี่จนเจอ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าร่องรอยจะลางเลือนไปมาก ไม่ทราบว่าตอนนี้ท่านมีแผนอย่างไร?” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็กล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย
“ในเมื่อพวกเราหาสถานที่แห่งนี้พบ ย่อมไม่มีเหตุผลที่ต้องถอยแล้ว” เย่เทียนเหมยเลิกคิ้วขึ้น และกล่าวอย่างหนักแน่น
“ถ้าอย่างนั้น อาจารย์อาต้องการให้ผู้น้อยช่วยสิ่งใดหรือไม่?” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยสีหน้านอบน้อมและจริงใจ
“ในเมื่อศิษย์หลานกล่าวเช่นนี้ สองวันนี้เจ้าไปสืบข่าวที่เมืองกู่หนาน ทางที่ดีที่สุดสืบดูให้รู้ว่าช่วงนี้มีอะไรผิดปกติในเมืองหรือไม่ ส่วนเรื่องอื่นๆ ข้าจะพิจารณาเอง” เย่เทียนเหมยกล่าวอย่างไม่เกรงใจ
“ทราบ! ข้าจะทำตามที่อาจารย์อาสั่ง!” หลิ่วหมิงตอบอย่างไม่ลังเล
“เรื่องที่พัวพันกับเรื่องนี้คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ อาจจะเกี่ยวพันถึงผู้ฝึกฝนระดับผลึก” เย่เทียนเหมยคิดไปมาอยู่ครู่หนึ่งแล้วค่อยๆ กล่าวออกมา
“ระดับผลึก! หรือว่าจะเกี่ยวข้องกับสามกลุ่มอิทธิพลใหญ่บนเกาะแห่งนี้” หลิ่วหมิงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
หากมีผู้ฝึกฝนระดับผลึกพัวพันด้วย ผู้มีส่วนร่วมเกี่ยวกับเรื่องนี้ คงหาเรื่องใส่ตัวอย่างไม่ต้องสงสัย แม้จะบอกว่าพลังของตนเอง พอจะเทียบกับระดับของเหลวขั้นปลายได้ ทั้งยังมีแมงป่องกระดูก และหัวปีศาจคอยช่วย แต่หากเผชิญหน้ากับผู้ฝึกฝนระดับผลึก คงไม่สามารถเอาชนะได้ ชีวิตเขาคงน่าเป็นห่วงยิ่งนัก
พอเย่เทียนเหมยเห็นหลิ่วหมิงครุ่นคิดอยู่เงียบๆ นางก็กล่าวด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม
“ผู้ดำเนินการทั้งสอง ก็เป็นผู้ฝึกฝนระดับของเหลวเหมือนกัน มีโอกาสเป็นไปได้แปดถึงเก้าส่วนว่า ผู้ที่จับตัวพวกเขาไปจากโรงเตี๊ยมหรือสังหารพวกเขา มีแต่ผู้ฝึกฝนระดับผลึกที่ทำได้ แต่เรื่องนี้เป็นแค่การคาดเดาของข้าเท่านั้น ส่วนจะเป็นเช่นนี้หรือไม่นั้น ข้าไม่อาจทราบได้ แต่ตอนอยู่ในเมืองเจ้าต้องระวังตัวให้ดี”
“ขอบคุณอาจารย์ที่กำชับ ข้าน้อยจะระวังให้มาก!” หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ ก็กล่าวด้วยใจที่เย็นสะท้าน
……
เช้าวันที่สอง หลิ่วหมิงเดินออกจากโรงเตี๊ยมคลื่นสีครามด้วยสีหน้าสงบ จากนั้นก็เดินไปตามถนนในเมืองกู่หนาน และตรวจสอบดูร้านค้าแต่ละร้าน
สำหรับผู้ที่เดินทางคนเดียวบนเกาะตะพาบน้ำเป็นครั้งแรก ทั้งยังไม่รู้เส้นสนกลในเลยแม้แต่น้อย ย่อมได้แต่พยายามเดินไปยังสถานที่ที่มีคนเยอะที่สุด
แม้ว่าเมืองกู่หนานไม่อาจเทียบได้กับเสวียนจิงที่เป็นเมืองหลวงของแคว้นต้าเสวียนในปีนั้น แต่ร้านค้าก็มีมากจนน่าตกใจ
เขาใช้เวลาหมดไปกว่าครึ่งวัน ถึงเดินวนร้านค้าไปได้ส่วนหนึ่ง
แม้ว่าจะเก็บเกี่ยวมาได้ไม่น้อย และหาผลึกหินกับวัสดุที่ขาดแคลนได้มาบ้าง แต่ข่าวการหายตัวไปของผู้ฝึกฝน กลับไม่ได้มาเลยแม้แต่น้อย
หลิ่วหมิงไม่ได้มีใจท้อถอยแต่อย่างใด แต่กลับยังคงรักษาอาการสงบไว้ได้
……
เวลาอีกครึ่งวันที่เหลือ หลิ่วหมิงยังคงเดินเตร็ดเตร่ไปตามที่ต่างๆ ในเมือง และข่าวกรองที่ได้จากกลุ่มอิทธิพลลับที่ขายข่าวโดยเฉพาะ ทำให้เขาพอเข้าใจเมืองกู่หนานอย่างคร่าวๆ แล้ว
ประการแรกคือในระยะเวลาใกล้ๆ นี้ มีผู้ฝึกฝนหายไปจริงๆ แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ข่าวใหม่ ทั้งยังเกิดขึ้นบ่อยๆ แต่ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นผู้ฝึกฝนอิสระไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ที่ต่อสู้กันในร้านค้า หรือลานประมูลต่างๆ เพียงเพราะคำพูดไม่ถูกใจ จึงถูกผู้พิทักษ์ที่ลาดตะเวนของหุบเขาผลึกทำโทษ โทษอย่างเบาก็คือถูกขับไล่ออกไป อย่างหนักก็คือทำลายระดับการฝึกฝนแล้วส่งตัวไปยังคุกจิตวิญญาณ
การหายตัวที่พูดถึงก็คือ ผู้ที่อยู่ในคุกจิตวิญญาณมักจะถูกส่งไปยังเหมืองแร่หุบเขาผลึกและลดตัวเป็นทาสเหมืองแร่ทำงานอย่างหนัก เรื่องนี้เป็นเรื่องที่รู้กันทั้งเมืองกู่หนาน และโดยปกติจะไม่พูดออกมา แต่ทุกคนก็รู้อยู่แก่ใจโดยไม่ต้องอธิบาย
ประการที่สอง มีข่าวออกมาว่า เผ่าเจ้าสมุทรบางเผ่าส่งศิษย์ดำเนินการมาเกาะตะพาบน้ำสามคน และถูกผู้ฝึกฝนที่ไม่ทราบชื่อสังหารในเมืองท่าเรือเล็กๆ ผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นกลางที่เป็นหนึ่งในนั้น เสียชีวิตโดยมีสภาพศพไม่สมบูรณ์ ผู้ฝึกฝนระดับสูงของเผ่าโมโหเป็นอย่างมาก และได้ส่งผู้อาวุโสในเผ่ามาตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว
ขณะที่หลิ่งหมิงฟังเรื่องราวเหล่านี้ สีหน้าของเขายังคงไม่เปลี่ยน เพียงแต่ในใจเขารู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกก็เท่านั้น
……
เช้าวันที่สาม
ชายหนุ่มสวมชุดคลุมสีเทายืนอยู่หน้า ‘หอสุราไผ่เขียว’ ที่ตั้งอยู่ในย่านคึกคักของเมืองกู่หนาน
คนผู้นี้ยืนอยู่บนถนนอันกว้างขวางตรงหน้าหอสุรา เขากำลังหรี่ตามองป้ายหอสุราด้วยสีหน้าแปลกๆ ซึ่งเขาก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง
จะว่าไปก็ช่างบังเอิญเสียจริง เดิมทีวันนี้เขากะจะสืบดูหอสุราในเมืองสักรอบ แต่หลังจากพูดคุยกับผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจที่ขายข่าวให้เมื่อวาน เขาก็แนะนำสุราจิตวิญญาณที่ชื่อว่า ‘ไผ่เขียว’ในหอสุราแห่งนี้ด้วยความกระตือรือร้น
หอสุรามีพื้นที่ไม่ใหญ่มาก การค้าก็เจริญรุ่งเรืองดี แขกก็ดูเหมือนจะเข้ามาไม่ขาดสาย
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม สุราจิตวิญญาณ ‘ไผ่เขียว’ มีประโยชน์กับผู้ฝึกฝนมาก แม้แต่มนุษย์ธรรมดาดื่มเข้าไป ก็มีผลช่วยยืดอายุขัยด้วย
นักเดินทางที่เดินผ่านหอสุราแห่งนี้ ต่างก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมอันเข้มข้นของสุราที่โชยออกไป จนทำให้น้ำลายสอขึ้นมา มันช่างยั่วยวนใจผู้คนยิ่งนัก
พอหลิ่วหมิงค้นพบว่า คนที่ทานข้าวอยู่ชั้นหนึ่งต่างก็เป็นมนุษย์ธรรมดา เขาก็เดินขึ้นไปชั้นสองทันที
หลังจากนั่งลงบนโต๊ะที่ติดหน้าต่างแล้ว หลิ่วหมิงก็สั่งสุราจิตวิญญาณ ‘ไผ่เขียว’ อันเลื่องชื่อมาขวดหนึ่ง
หลิ่วหมิงถือจอกสุราที่เต็มไปด้วยสุรา ‘ไผ่เขียว’ สุราในจอกเป็นสีเขียวอ่อนและเหนียวข้น อยู่ไกลๆ ก็ยังได้กลิ่นหอมกรุ่นจางๆ ไอจิตวิญญาณที่ไม่ชัดเจนแผ่กระจายตามกลิ่นไปทั่วทิศ
หลิ่วหมิงใจลอยมองลงไปดูอะไรบางอย่างด้วยท่าทีเฉื่อยชา
ขณะนี้ มีเสียงฝีเท้ากับเสียงพูดคุยของผู้อาวุโสกับหญิงสาวดังขึ้นมาจากด้านล่าง
เสียงฝีเท้า “เตาะแตะ!” ดังเข้ามาอย่างชัดเจน
ไม่นานผู้อาวุโสชุดคลุมสีเหลือง ผิวสีน้ำผึ้ง ใบหน้าผอมแห้ง และหญิงสาวสวมชุดสีเหลือง ใบหน้าดูอ่อนวัย รูปร่างอรชรอ้อนแอ้น แต่ผิวขาวนวล ได้ปรากฏตัวตรงทางขึ้นบันได
ดูจากกลิ่นไอที่แผ่ออกมาแล้ว เห็นได้ว่าเป็นผู้ฝึกฝนเช่นกัน
หลิ่วหมิงใช้พลังจิตกวาดดูอย่างเงียบๆ ก็ค้นพบโดยคร่าวๆ ว่า หญิงสาวชุดเหลืองคงเป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลาง และผู้อาวุโสที่อยู่ด้านข้างกลับจงใจระงับกลิ่นไอไว้ คงจะมีพลังเวทย์ไม่เบา
ดูเหมือนหญิงสาวจะมีอายุแค่สิบห้าถึงสิบหกปี แต่กลับมีสีหน้าวิตกกังวลเป็นอย่างมาก พอนั่งลงพร้อมกับผู้อาวุโสแล้ว ก็ทานข้าวเพียงไม่กี่คำ จากนั้นก็ชะงักตะเกียบลง ราวกับมีเรื่องราวบางอย่างในใจ
“ท่านปู่! ผ่านไปหลายวันแล้วยังไม่มีข่าวคราวของพวกเขาเลย ในโรงเตี๊ยมไม่มีเบาะแสใดๆ เหลืออยู่จริงๆ หรือ?” หญิงสาวชุดเหลืองกล่าวกับผู้อาวุโสในฉับพลัน
“หลิงเอ๋อร์ สถานที่แห่งนี้ปะปนกันสะเปะสะปะ กลุ่มอิทธิพลน้อยใหญ่ก็มีอยู่มาก ก่อนเรื่องราวจะกระจ่าง เจ้าอย่าได้ใจร้อนจนเกินไป พวกเขาเป็นผู้ฝึกฝนระดับของเหลว และก็ไม่ได้มาซื้อทรัพยากรที่เมืองกู่หนานเป็นครั้งแรก” ผู้อาวุโสขมวดคิ้วและกวาดตามองไปรอบด้าน หลังจากเห็นว่าไม่มีคนสนใจการสนทนาของพวกเขาทั้งสอง จึงกล่าวเบาๆ ด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลายลง
“ถ้าอย่างนั้น เป็นไปได้ไหมว่าพวกเขาไม่ได้เข้าพักโรงเตี๊ยมแห่งนั้น?” ดูเหมือนหญิงสาวชุดเหลืองจะยังคงถามต่อ แต่เห็นได้ชัดว่าน้ำเสียงเบาลงไปมาก
“อันนี้ไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ก่อนที่พวกเขามาทำการค้าที่เมืองกู่หนาน ต่างก็พักอยู่ที่โรงเตี๊ยม ‘เจิ้นหยวน’ และยังคุ้นเคยกับเจ้าของโรงเตี๊ยม ไป๋ฮ่าวมีลักษณะนิสัยพิเศษ เป็นคนสุขุมเยือกเย็น ในสถานการณ์ปกติ ย่อมไม่เข้าพักโรงเตี๊ยมที่ไม่รู้จักโดยง่าย” ผู้อาวุโสเงียบไปครู่หนึ่งแล้วถึงตอบกลับมาเบาๆ
“ถ้าอย่างนั้นพวกเขาหายตัวไปตอนไหนกันแน่ เป็นไปได้ไหมว่าถูกคนทำร้ายเพราะหินจิตวิญญาณที่พกติดตัวมาเหล่านั้น?” หญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดูเร่งรีบ
“เมื่อก่อน พอพวกเขามาเมืองกู่หนานแล้ว จะต้องส่งข่าวกลับไปที่นิกายทุกเดือนว่ายังปลอดภัยอยู่ เพียงแต่เก้าเดือนก่อน นิกายต้องการทรัพยากรอย่างเร่งด่วนเป็นจำนวนมาก จึงได้ส่งพวกเขามาซื้อที่เมืองกู่หนาน แต่พวกเขากลับไม่เคยส่งข่าวกลับไปเลย ด้วยเหตุนี้ทางนิกายถึงได้ให้ข้ามาสืบดูก่อนว่า สาเหตุมาจากหินจิตวิญญาณจริงๆ หรือไม่ แต่เรื่องนี้กลับพูดยาก เพราะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรบนเกาะแห่งนี้ หากเป็นเช่นนี้จริงๆ ล่ะก็ ยิ่งสืบหายากขึ้นไปอีก ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ดูจากสถานการณ์พวกเรายังคงไม่รู้เส้นสนกลใน ควรจะต้องกลับไปวางแผนระยะยาวที่นิกายก่อน!” พอผู้อาวุโสกล่าวถึงจุดนี้ เขาก็ค่อยๆ ถอนหายใจออกมา
“พูดเช่นนี้หมายความว่า ต้องกลับไปที่นิกายก่อนถึงจะคิดหาวิธีการอื่นได้หรือ” หญิงสาวชุดเหลืองพูดพึมพำด้วยสีหน้าหมดหวัง
เมื่อทั้งสองสนทนากันเสร็จ ก็กินข้าวอย่างรีบร้อนและจากไปทันที
หายตัวในเมืองกู่หนานเมื่อเก้าเดือนก่อน และยังซื้อทรัพยากรที่หุบเขาผลึกด้วย! นี่ไม่เท่ากับว่าเวลาที่หายตัวไป ห่างจากผู้ดำเนินการทั้งสองของพันธมิตรไม่มากนัก
พลังจิตของหลิ่วหมิงแข็งแกร่งมาก เขาแค่ปล่อยมันออกไปเล็กน้อย ก็ได้ยินฉากสนทนาทั้งหมดนี้อย่างชัดเจน
และข่าวที่ได้รับมา กลับทำให้เขาใจเต้นขึ้นมา!
เมื่อวานสืบหาทั้งวัน กลับเก็บเกี่ยวอะไรไม่ได้ คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะได้ยินข่าวนี้โดยบังเอิญ
สิ่งนี้ทำให้จิตใจเขาฮึกเหิมขึ้นมา!
หลิ่วหมิงวางจอกสุราลงทันที จากนั้นก็เดินลงไปทางบันไดไปด้วยสีหน้าปกติ
……………………………………