ตอนที่ 131 ความทรงจำอันลวงตา
“ในความทรงจำเขาเป็นคนไม่ค่อยยิ้มแย้มพูดจา ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหรที่ข้าเริ่มสนใจเขาขึ้นเรื่อยๆ จนถึงสุดท้ายก็ควบคุมตนเองไม่ได้ มาพูดเรื่องเช่นนี้กับเจ้าก็ลำบากใจอยู่เล็กน้อย
ข้าบอกใบ้เขาอยู่หลายคราแต่เขาก็มักจะมีใบหน้าเย็นชาอยู่เสมอทำให้ข้ามองไม่ออก มีบางครั้งที่ข้ามั่นใจรับรู้อย่างแน่ชัดว่าเขาก็รักข้า แต่ข้าก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงได้เย็นชากับข้าถึงเพียงนี้ หรือว่าพวกเราจะเป็นเพียงนายบ่าวโดยบริสุทธิ์ใจอย่างนั้นหรือ ข้าไม่รู้เลยจริงๆ
ราชวงศ์ถูกตระกูลเยี่ยควบคุม การกระทำทุกอย่างของฮ่องเต้ก็ได้รับความทรมาน การที่พ่อเป็นผู้นำแคว้นทุกวันหลังจากว่าราชการแล้วก็มีใบหน้าอมทุกข์อยู่เสมอ ข้ากลับไม่สามารถช่วยอะไรได้ ตระกูลเยี่ยยิ่งใหญ่เกินไป ขอแค่เขาเอ่ยปากราชวงศ์ก็ถูกกำจัดได้ทุกเมื่อ
นายหญิงแห่งวังหลังของราชวงศ์ล้วนเป็นสตรีจากตระกูลเยี่ย หากคิดจะหนีหลุดพ้นจากสถานการณ์ถูกบังคับก็ทำได้เพียงล้มตระกูลเยี่ยเท่านั้น แต่นี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ หลายพันปีมานี้ไม่เคยมีใครทำเช่นนั้นมาก่อน
แต่ข้ายังอายุน้อยบ้าคลั่ง ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง วาดฝันคิดกำจัดตระกูลเยี่ย ข้าถ่ายทอดความคิดนี้ให้มู่หลีรู้ทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ เขาบอกว่าเขาช่วยข้าได้
จากนั้นเขาก็จากเมืองหลวงไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง ในช่วงเวลานี้ได้ยินว่าเขาเทียนปี้ถูกตระกูลเยี่ยเผาทำลาย กำลังเพลิงลูกใหญ่เผาเขาเทียนปี้วอดวายจนเปลี่ยนแปลงเป็นอีกโฉมหนึ่ง เขาเทียนปี้เหลือเพียงเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์คนเดียวเท่านั้น
ข้ารู้ว่านั่นเป็นเพราะเขาเทียนปี้ไร้ความสามารถ มู่หลีกลับบอกเหตุผลที่แฝงอยู่ให้ข้าฟัง ทำให้ข้าเองก็สงสารเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์และนายน้อยตระกูลหลานนั่น หลังจากที่มู่หลีกลับมาแล้วก็บอกว่าตัวเองนั้นครอบครองข่าวสารส่วนใหญ่ ความสำเร็จอยู่ไม่ไกลแล้ว
แต่ในเวลานี้ตระกูลเยี่ยกลับเพิ่มแรงควบคุมที่มีต่อราชวงศ์ พ่อข้าเผชิญรับความทรมาน ไม่ว่าอะไรก็ไม่อาจทำได้ ได้ยินว่านายน้อยตระกูลเยี่ยก็ไม่รู้ว่าไปอยู่แห่งใด ตระกูลเยี่ยถูกมอบให้กับชิวฉือเชียนเยี่ยซือแห่งตระกูลเยี่ยเป็นคนดูแล
ได้ยินมานานแล้วว่าพื้นที่จิ่วหลิวมีการค้าที่รุ่งเรือง ผู้คนทุกรูปแบบล้วนมีทั้งนั้นข้าจึงให้มู่หลีพาข้ามา มู่หลีเองก็บอกว่าเขามีร้านค้าอยู่ที่นี่ ข้าไม่รู้ว่าช่วงระยะเวลาที่มู่หลีจากไปนั้นจะมีการเปลี่ยนแปลงมากมายเช่นนี้
ระหว่างทางที่มาจิ่วหลิวพวกเราโดนคนไล่ฆ่า ศัตรูมากมายเกินไป ข้าถูกคนเลวลอบทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ เพื่อที่จะช่วยข้ามู่หลีนั้นเหมือนบ้าไปแล้ว ครั้งนั้นเขาเกือบจะลุ่มหลงไปในทางมาร
หลังจากมาถึงจิ่วหลิวแล้วไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ มู่หลีก็เหมือนกลายเป็นคนละคน ไม่เพียงยอมรับการเสนอตัวสารภาพของจ้า นิสัยเองก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งใหญ่เช่นกัน เขาที่แต่ไม่ค่อยยิ้มแย้มพูดจาก็กลายเป็นมีชีวิตชีวาอย่างมาก กับข้าก็เริ่มออดอ้อนเอาใจแบบต่างๆ นานา ทุกวันนั้นเหมือนกับข้ากล่อมเขาเสียอย่างนั้น วันเวลาที่มาถึงจิ่วหลิวก็มีความสุขอย่างมาก เขาจะพาข้าไปเดินเที่ยวทุกวัน แม้ว่าจะมีเวลาที่มีคนเข้ามาพูดอะไรกับเขา แต่ข้าเองก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก และไม่เคยถามมาก่อน
ตอนนี้ที่จริงข้าคิดว่าชีวิตที่สงบสุขเช่นนี้ก็เหมือนจะไม่เลว ต่อให้ต้องเป็นเช่นนี้ไปตลอดก็ไม่มีอะไรแย่ แต่เพียงลำบากท่านพ่อของข้าที่จิตใจตั้งมั่นจงรักภักดีต่อราชวงศ์ก็เท่านั้น
ข้าพูดความคิดของตนเองให้เขาฟัง เขาบอกข้าว่าเพียงแค่ข้าคิดทำเช่นนี้ เขาก็จะทำเช่นนี้ เป็นเช่นนี้ต่อไปตราบจนตอนนี้ ข้าพูดหมดแล้ว ไม่ได้มีเรื่องราวซับซ้อนอะไร ชีวิตทที่เรียบง่ายเท่านั้นเอง แต่ก็มีความสุข”
ประโยคที่ว่าก็มีความสุขนั้นเสียดแทงเข้าไปในใจของหลานเฟิงจนเจ็บปวดอย่างมาก หากนึกถึงเรื่องทุกอย่างได้หลานเยี่ยจะกลายเป็นเจ็บปวดหรือไม่ แต่หากเป็นเช่นนี้ต่อไปหลานเยี่ยจะมีความสุขไปตลอดอย่างนั้นหรือ มีชีวิตอยู่ในความทรงจำอันลวงตา ใช้ชีวิตเพื่อสิ่งของที่ไม่ได้เป็นของตน คนที่ใส่ใจตนเองกลับเหมือนถูกสลัดทิ้งไปทีละอย่าง
“หลานเยี่ย…”
“หืม?” ได้ยินเสียงที่แปลกไปของหลานเฟิง หลานเยี่ยก็เงยหน้าขึ้นมามองเขา
ตอนที่ 132 บรรเลงทำนองเพื่อเจ้า
“ข้าสามารถบรรเลงบทเพลงให้เจ้าบทหนึ่งได้หรือไม่ ถือว่าเห็นเจ้าเป็นเขา” หลานเฟิงน้ำเสียงแหบแห้ง ทำให้หลานเยี่ยอึ้งตะลึงไป หลังจากนั้นไม่นานก็ยิ้มพลางส่งขลุ่ยหยกให้เขา
เจ้ายังคงชอบยิ้มเหมือนเดิม
หลานเฟิงรับขลุ่ยหยกไป ค่อยๆ เป่าขึ้นมา เสียงขลุ่ยที่คุ้นเคยเริ่มดังขึ้น รอยยิ้มของหลานเยี่ยยิ่งชัดขึ้นเรื่อยๆ บทเพลงบทหนึ่งจบลงไปหลานเยี่ยกลับมีสีหน้ามืดคล้ำ
“บทเพลงนี้นอกจากมู่หลีแล้ว ข้าน่าจะไม่เคยเป่าให้ใครได้ยินมาก่อน เจ้ารู้มาจากที่ใด เส้นสายในจิ่วหลิวมีมากมายนัก เจ้าถือเป็นฝ่ายไหน ทำไมทั้งๆ ที่รู้เรื่องราวของข้าอยู่แล้วยังจะต้องให้ข้าพูดเองอีกครั้งหนึ่ง” หลานเยี่ยจับตามองหลานเฟิงนิ่ง เหมือนกับผิดหวัง เหมือนกับมีความแค้นความอาฆาตที่ลึกล้ำ เหมือนกับไม่เชื่อใจเป็นอย่างมาก
หลานเฟิงไม่ได้พูดอะไร เป่าขลุ่ยต่อไป เสียงของขลุ่ยเปลี่ยนแปลง แต่ตอนที่กำลังเป่าถึงจุดสำคัญข้างนอกก็มีเสียงร้องน่าเวทนาดังขึ้นมา
หลานเฟิงลุกขึ้นพลางเดินไปดูข้างนอก หลานเยี่ยตามมาด้านหลัง นอกจากอิ้งฮวาเว่ยแล้ว ตรงกำแพงสวนก็พบคนสองคนนอนอยู่ตรงนั้น
“จิ่วหลิวมีสายลับอยู่ทั่วพื้นที่ พวกเขาใช่ แต่ข้าไม่ใช่ พวกเขาคนหนึ่งเป็นคนที่มู่หลีส่งมาคุ้มครองเจ้า อีกคนเป็นคนที่ตระกูลเยี่ยส่งมาจับตาดูข้าและเจ้า บทเพลงที่สองเมื่อครู่นี้ก็เพื่อจะทำให้พวกเขาล้มลง”
“จะให้ข้าเชื่อใจเจ้าได้อย่างไร”
“เช่นนั้นหลังจากนี้คุณชายจะทำตามที่ข้าบอกได้หรือไม่”
“ข้าต้องการเหตุผลที่เชื่อถือได้”
“ข้าจะให้ท่าน”
ทั้งสองคนกลับมาที่เดิมที่เคยนั่ง หลานเฟิงให้หลานเยี่ยนั่งลง หลานเยี่ยก็ทำตาม
“ตอนนี้ให้หลับตาลง รวบรวมสมาธิ ค่อยสัมผัสถึงไข่มุกเม็ดหนึ่งที่อยู่ในหัวใจ รอบข้างมันมีกระแสพลังสีฟ้าล้อมรอบ ตอนนี้เขาเชื่อฟังคำเจ้า ดึงดูดเขาขึ้นมา ค่อยๆ นำกระแสพลังออกมาตามชีพจร คิดจินตนาการว่ามันบำรุงร่างกายของเจ้า ผ่านข้อศอก ค่อยๆ รวบรวมไปที่มือของเจ้า”
หลานเฟิงพูดช้าๆ หลานเยี่ยทำตาม
“ลืมตาเถิด ดูบนมือของเจ้า”
หลานเยี่ยลืมตาขึ้นมา พบว่าบนมือนั้นมีกระแสพลังสีฟ้าอยู่กลุ่มหนึ่ง เขาไม่คิดเชื่อ ตนเองจะมีกระแสพลังได้อย่างไร
“ทำไมข้าถึงมีกระแสพลัง” หลานเยี่ยมองหลานเฟิงด้วยความสงสัย หลานเฟิงขับพลังเล็กน้อยมาไว้บนมือ
“พลังของข้าเป็นสีม่วง ดังนั้นจึงไม่ใช่ข้าทำการตุกติก อีกทั้งร่างกายคนเมืองหลวงเองก็ไม่มีทางที่จะรองรับกระแสพลังได้ กระแสพลังนี่สามารถพูดได้ว่าเป็นของตัวเจ้าเอง และพูดได้ว่าเป็นของมุกหลิว”
“มุกหลิว? มุกหลิววั่งอย่างนั้นหรือ นั่นไม่ได้อยู่ที่นายน้อยตระกูลหลานอย่างนั้นหรือ”
“เจ้าคือนายน้อยตระกูลหลาน”
“ล้อเล่นอะไรกัน ข้าเป็นลูกชายของผู้นำเมืองหลวง จะเป็นนายน้อยตระกูลหลานได้อย่างไร”
“กระแสพลังแต่เดิมของเจ้าถูกกักไว้ ทำให้ร่างกายของเจ้าไม่อาจสัมผัสถึงการดำรงอยู่ของมุกหลิว ทำให้ข้าสัมผัสไม่ได้ไปด้วย วันนี้ข้าจะสอนเจ้าดึงกระแสพลังใหม่อีกครั้ง กระแสพลังเหล่านี้เป็นของมุกหลิว ไม่ใช่ของตัวเจ้าเอง หากเจ้าไม่เชื่อก็ดูซะ”
พูดไปพลางหลานเฟิงก็ขับมุกวั่งออกมาจากหัวใจ กระแสพลังสีม่วงที่ล้อมรอบอยู่นั้นรวมตัวเข้าหากัน จากนั้นก็เรียกมุกหลิวออกมาจากหัวใจของหลานเยี่ย ไข่มุกทั้งสองเม็ดประสานสอดแสงเข้าหากันทำให้หลานเยี่ยไม่กล้าเชื่อ
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เจ้าจะบอกข้าว่าความทรงจำเกือบยี่สิบปีของข้าเป็นเรื่องโกหกอย่างนั้นหรือ หรือว่า…”
“หากความทรงจำอันแท้จริงของเจ้าพังยับเยิน เจ็บปวดไม่น่ามองเจ้าจะรับได้หรือไม่ หรือจะเป็นเช่นนี้ต่อไป มีชีวิตอยู่ในคำโกหกที่มู่หลีสร้างขึ้นมาเพื่อเจ้า หากแต่เดิมยังมีคนที่คอยเจ้า เจ้าจะทำเช่นไร” ตอนนี้หลานเยี่ยสับสนอย่างมาก ไม่รู้จะตอบเช่นไร และไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วตนเองคิดอย่างไรกันแน่
“หลังจากนี้ข้าจะเล่าเรื่องหนึ่งให้ฟัง อย่าพูดขัดข้าขึ้นมาระหว่างที่ข้าเล่าได้หรือไม่” หลานเฟิงพูดขอร้องหลานเยี่ย หลานเยี่ยนิ่งเงียบยอมรับ