ที่จริงแล้วเมื่อพูดถึงโหมดเซียน ไนโตะ ก็คิดเรื่องนี้มานานแล้ว เขาเชื่อว่าหลังจากที่เขาสามารถเปิดประตูด่านพลังบานที่ 5 ได้ เขาก็จำเป็นต้องเรียนรู้วิชาเซียนก่อน เขาจึงจะสามารถเปิดประตูด่านพลังบานที่ 6 ได้ต่อไป
ตอนนี้จำนวนจักระของเขายังไม่เพียงพอสำหรับการฝึกโหมดเซียน
แต่ถึงอย่างนั้น ไนโตะ ก็ไม่คิดว่า โอโรจิมารุ จะศึกษาเรื่องนี้ตั้งแต่ตอนนี้
“พลังงานธรรมชาติ…โหมดเซียน” ไนโตะ พูด
ประโยคง่าย ๆ นี้ ทำให้ โอโรจิมารุ เบิกตากว้างและเผยให้เห็นการแสดงออกที่ตกใจในทันที
แม้ว่ามันจะเป็นเพียงประโยคง่ายๆ แต่มันก็ทำให้ โอโรจิมารุ รู้ว่า ไนโตะ รู้เรื่องนี้มากกว่าเขา!
แต่เขารู้สึกว่าเขาต้องทดสอบ ไนโตะ ก่อน
“ดูเหมือนว่าเธอจะรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดีเลยนะ ไนโตะ” หลังจากที่ โอโรจิมารุ ยักไหล่ เขาก็หันหลังกลับมาและผายมือออกแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น ฉันขออธิบายเพิ่มเติมมากกว่านี้”
“นี่คือการทดลองที่ฉันสนใจมากที่สุด แม้ว่าร่างกายจะสามารถฝึกฝนโหมดเซียนได้ แม้ว่าร่างกายจะสามารถดึงพลังงานธรรมาชติมาใช้ได้ แต่ร่างกายก็ยังคงมีอายุไขและตายในที่สุด แต่ไม่ใช่สำหรับจิตวิญญาณ จิตวิญญาณของมนุษย์นั้นเป็นอมตะ”
“อย่างไรก็ตามวิญญาณเพียงอย่างเดียวก็ไม่สามารถอยู่รอดได้ มันจำเป็นต้องมีภาชนะเสมอ นั่นคือเหตุผลที่ฉันมุ่งเน้นไปที่การศึกษารากฐานและการเชื่อมต่อระหว่างจิตวิญญาณกับภาชนะ”
เมื่อพูดประโยคนี้จบ โอโรจิมารถ ก็หยุดพูดแล้วหันไปสังเกตการต่อบสนองของ ไนโตะ
สิ่งที่ทำให้เขาผิดหวังก็คือการแสดงออกของ ไนโตะ ไม่เปลี่ยนไปจากเดิมเลย แม้ว่าเขาจะพูดคำว่า อายุไข และ อมตะ ไนโตะ ก็ไม่ได้แสดงความประหลาดใจใด ๆออกมาเลย
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไนโตะ ค่อนข้างประหลาดใจอยู่พอสมควร
เขาไม่แปลกใจกับข้อมูลที่ โอโรจิมารุ บอกเขา เพราะเขา รู้อยู่แล้วว่า โอโรจิมารุ จะพัฒนาวิชานี้
แต่สิ่งที่ทำให้ ไนโตะ ประหลาดใจก็คือ ความจริงที่ว่า โอโรจิมารุ แบ่งปันข้อมูลนี้กับเขา
อย่างไรก็ตาม ไนโตะ ก็คิดว่า โอโรจิมารุ น่าจะเพิ่งเริ่มศึกษาวิชานี้ และ ไนโตะ ก็ไม่สนใจที่จะเปลี่ยนร่างกาย
เพราะจริง ๆ แล้วมีเพียงแค่ร่างกายของ โอซึซึกิ คางูยะ ร่างเดียวเท่านั้นที่สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง
“คุณหมายความว่า ไม่ว่าร่างกายจะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่ในที่สุดมันก็สลายไป เหลือเพียงวิญญาณเท่านั้นที่แข็งแกร่งพอที่จะอยู่ต่อไป ใช่ไหม?”
ไนโตะ มองไปที่ โอโรจิมารุ และพูดต่อว่า “นั้นก็คือ ความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณ มีความสำคัญมากกว่าความแข็งแกร่งของร่างกาย”
“มันก็ไม่ใช่สะทีเดียว” โอโรจิมารุ พยักหน้าเบา ๆ และพูดว่า “พลังแห่งจิตวิญญาณมีความสำคัญก็จริง แต่แม้ว่าพลังแห่งจิตวิญญาณจะทรงพลังแค่ไหน มันก็ไม่สามารถอยู่ได้เพียงลำพัง”
“แต่…”
เมื่อพูดประโยคนี้ โอโรจิมารุ ก็แสดงสีหน้าแปลก ๆ และยิ้ม ในขณะที่มองไปที่ ไนโตะ
“ไนโตะ รู้สึกว่าเธอจะสนใจเรื่องของวิญญาณเป็นอย่างมาก เพราะท้ายที่สุดแล้ว วิญญาณก็เป็นสิ่งจำเป็น”
“ใช่”
ไนโตะ พยักหน้า แต่เขาก็ไม่แสดงความคิดเห็นของเขาออกไป
หลังจากทั้งหมด โอโรจิมารุ ก็เป็นคนที่ฉลาด เขาไม่มีทางไม่รู้ว่า ไนโตะ ได้ไปขอความช่วยเหลือจาก คาโต้ ดัน เพื่อสอนให้ ไนโตะ รู้วิธีการใช้พลังวิญญาณ
และเนื่องจาก ไนโตะ ไม่ต้องการใช้วิชานั้นในการโจมตี ดังนั้น โอโรจิมารุ จึงสามารถสรุปได้ว่า ไนโตะ ฝึกวิชานั้นเพื่อเสริมสร้างพลังวิญญาณเท่านั้น
“หึหึหึ…ฉันคิดว่าเธอคงจะไม่สนใจความเป็นอมตะ ความคิดของเธอคือการเข้าใจในปัจจุบันและสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ด้วยตัวเธอเอง”
โอโรจิมารุ ยิ้มแล้วมองไปที่ ไนโตะ
“แต่นับว่าเธอโชคดี การเสริมสร้างพลังวิญญาณเป็นหนึ่งในหัวข้อการศึกษาหลักของฉัน…อืม…แต่จะพูดยังไงดีละ การศึกษาเรื่องนี้ทำให้ฉันเสียเวลาและฉันก็ใช้ความพยายามเป็นอย่างมาก”
“คุณต้องการอะไรแลกเปลี่ยน?!”
ไนโตะ มองไปที่ โอโรจิมารุ อย่างสงบ
“ความร่วมมือ”
โอโรจิมารุ เดินเข้าไปหา ไนโตะ ใกล้ ๆ แล้วพูดว่า “เห็นไหมละ ฉันกำลังยุ่งอยู่กับการทำการทดลองเหล่านี้ มันกำลังเอาเวลาทั้งหมดของฉันไป แต่บางครั้งฉันต้องหยุดทำมันเพื่อรับสิ่งพิเศษที่เข้ามา”
“หลังจากนี้ เธอจะต้องเอาของเหล่านี้มาให้ฉัน”
เมื่อฟังที่ โอโรจิมารุ พูด ไนโตะ ก็ยิ้มแล้วหัวเราะออกมา
โอโรจิมารุ…คุณไปเองความมั่นใจทั้งหมดนี้มาจากไหนกัน”
ฟึ๊บ!!
ทันใดนั้น ไนโตะ ก็หายตัวไปและไปปรากฏอยู่ด้านหลังของ โอโรจิมารุ ในขณะที่เขาถือดาบไว้ในมือ
ความเร็วของการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ดวงตาของ โอโรจิมารุ เบิกกว้าง และเม็ดเหงื่อก็ปรากฏขึ้นบนหน้าผากของเขา
เร็วมาก!!
“ผมกับคุณ…เราจะร่วมมือกันได้จริง ๆ งั้นเหรอ?”
ไนโตะ ถือ ดาบคุซานางิ ไว้ในมือและจี้ไปที่หลังของ โอโรจิมารุ และใช้มืออีกข้างหนึ่งจับไหล่ของ โอโรจิมารุ ไว้เบา ๆ ในขณะที่ โอโรจิมารุ ยืนนิ่ง ๆ โดยไม่เคลื่อนไหว
หาก โอโรจิมารุ แข็งแกร่งเหมือนในการ์ตูน ไนโตะ จะยอมร่วมมือกับเขา
แต่ตอนนี้ โอโรจิมารุ ยังอ่อนแอเกินไปเมื่อเทียบกับ ไนโตะ!
หากช่องว่างระหว่างทั้ง 2 คนใหญ่เกินไป คำว่า ความร่วมมือ ก็คงจะเป็นไปได้ยาก ยิ่งไปกว่านั้น โอโรจิมารุ ก็เห็นแก่ตัวเกินไป และในที่สุดเขาก็จะพยายามควบคุมทุกอย่าง
“ฉันมีสิ่งที่เธอต้องการ”
โอโรจิมารุ ค่อย ๆ หันหน้าไปหา ไนโตะ ช้า ๆ ในขณะที่น้ำเสียงของเขาดูสงบนิ่ง
แต่ ไนโตะ ก็สามารถบอกได้จากการแสดงออกของ โอโรจิมารุ ว่า เขายังคงตกตะลึงกับความเร็วของ ไนโตะ อยู่ ด้วยความเร็วแบบนี้เขาจะไม่สามารถใช้คาถานินจาได้ทัน!
ตอนนี้ ไนโตะ ดูเหมือนกับตำนานอย่าง อุจิฮะ มาดาระ และ เซนจู ฮาชิรามะ มากขึ้นเรื่อย ๆ!
ไนโตะ ยังไม่ดึงดาบของเขากลับมา เขายังคงจี้มันไปที่หลังของ โอโรจิมารุ
“และถึงเธอจะหามันมาให้ฉันได้”
“แต่มันก็ยังไม่ครบ แม้ว่าเธอจะเอามันมาให้ฉัน มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเท่าไรนัก”
เมื่อฟัง โอโรจิมารุ พูด ไนโตะ ก็จ้องมองเขาอยู่พักหนึ่ง แล้ว ไนโตะ ก็ดึงดาบกลับคืนมา
ในที่สุด โอโรจิมารุ ก็รู้สึกโล่งใจ
เขาค้นพบในเวลานี้ว่าความคิดของเขาเกี่ยวกับ ไนโตะ นั้นผิดอย่างสิ้นเชิง
ไนโต ไม่ใช่คนแบบที่จะให้คนอื่นมาออกคำสั่งกับเขา เขาก็เขาเป็นคนที่อันตราย และยิ่งอันตรายกว่า ดันโซ และ ซารุโทบิ!
เขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน เพื่อการทดลอง โอโรจิมารุ คิดว่าเขาสามารถเผชิญหน้ากับทุกสิ่งได้ แต่ตอนนี้เมื่อต้องเผชิญหน้ากับ ไนโตะ เขารู้สึกว่าต้องระมัดระวังตัวเป็นอย่างมาก!
“ผมจะให้ของที่คุณต้องการ 2 อย่าง”
หลังจาก ไนโตะ ผนึก ดาบคุซานางิ ของเขากลับไป เขาก็มองกลับไปที่ โอโรจิมารุ อย่างใจเย็น
“2 อย่าง?”
โอโรจิมารุ ดูประหลาดใจนิดหน่อย และเมื่อตัดสินจากน้ำเสียงของ ไนโตะ แล้ว โอโรจิมารุ ก็รู้สึกว่า ไนโตะ จะต้องการอะไรมากกว่านั้น!
“นอกจากวิชาที่คุณศึกษาเกี่ยวกับวิญญาณแล้ว ผมยังต้องการรู้วิชาคาถาดิน วิชาเพิ่มน้ำหนักหิน ถ้าคุณสามารถหามันมาให้ผมได้ ผมจะให้ของที่คุณต้องการ 2 อย่าง”
ไนโตะ มองไปที่ โอโรจิมารุ อย่างสงบ ในขณะที่เขาเสนอการแลกเปลี่ยนอย่างง่าย ๆ
ตราบใดที่ โอโรจิมารุ ไม่ได้ดูหมิ่นและยังเคารพ ไนโตะ อยู่ เขาก็จะปฏิบัติต่อ โอโรจิมารุ ด้วยความเคารพเช่นกัน นั้นคือกฎของ ไนโตะ
“วิชาเพิ่มน้ำหนักหิน? พอดีเลย ถ้าเธอต้องการ วิชาลดน้ำหนักหิน ฉันคงจะไม่มีให้ แต่โชคดีที่ฉันเคยศึกษาวิชานั้นมาก่อน…ดังนั้น ฉันมีให้เธอ”
โอโรจิมารุ อยากรู้ว่าทำไม ไนโตะ ถึงต้องการคาถานี้ แต่เขาก็ไม่ได้ถามออกไป และมอบมันให้ ไนโตะ
หลังจากนั้น โอโรจิมารุ ก็ไม่ได้บอกสิ่งที่เขาต้องการกับ ไนโตะ ไป บางทีเขาอาจไม่ต้องการอะไรเลยในตอนนี้
ดันนั้น ไนโตะ จึงหันหลังและเดินออกไป