เจ้าจะชดใช้อย่างไร? ชดใช้ด้วยร่างกายดีหรือไม่?
มู่เฟิงส่งเสียงตอบรับ ในที่สุดก็จากไปแล้ว
สายลดพัดผ่านป่าไผ่เกิดเสียงดังซ่าๆ พัดพาความคิดของผู้ใดให้สับสน รบกวนจิตใจของผู้ใดเล่า?
ทุกอย่างยังไม่เริ่ม เขาแยกตัวมาตอนนี้น่าจะยังทัน
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ยืนอยู่ตรงนั้น เขาคิดจะหุ้มรูขลุ่ย[1] ถึงได้พบว่าบนขลุ่ยมีรูเกินมาหนึ่งรู…
….
ยามราตรีแสงดาวพราวเต็มฟ้า เนินสนโบกพลิ้ว
ในป่าสนแห่งหนึ่ง
คนชุเขาวผู้หนึ่งยืนสง่าอยู่ตรงนั้น เบื้องหน้ามีชายชุดเขียวคนหนึ่งกำลังค้อมกายรายงานเขาอยู่
“นายท่าน สายลับในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ถูกกำจัดหมดแล้ว พวกเราต้องจัดหาเพิ่มหรือไม่ขอรับ?”
เสียงของคนชุดขาวผู้นั้นเยือกเย็นปานธารน้ำแข็ง “ไม่ต้อง เขาสงสัยแล้ว สั่งการทุกหน่วย ให้รอดูจังหวะก่อนชั่วคราว”
“ขอรับ!” ชายชุดเขียวคนนั้นตอบรับ นิ่งไปครู่หนึ่ง อดไม่ได้ที่จะทักท้วง “นายท่านขอรับ ที่เชียนหลิงเทียนถูกเปิดโปงคราวนี้เป็นแผนการของกู้ซีจิ่วผู้นั้น เด็กสาวคนนี้ไม่ธรรมดา ทำลายแผนการของพวกเราติดๆ กันหลายครั้ง ต้องการให้ข้าน้อยส่งคนไปกำนางหรือไม่ขอรับ?”
คนชุดขาวเงียบไปครู่หนึ่ง น้ำเสียงเฉยเมยดังเดิม “เป็นพวกเจ้าโง่เกินไป ถึงทำให้นางบรรลุผล ไม่ต้องยุ่งกับนาง นางไม่น่ากังวล”
“ข้าน้อยรู้สึกว่าต่อไปนางจะกลายเป็นเสี้ยนหนามของพวกเรามิสู้ฉายโอกาสที่นางไม่ปีกกล้าขาแข็ง…”
“เจ้าไม่เข้าใจที่ข้าพูดหรือ? อย่ายุ่งกับนาง! ถ้าหุนหันทำอะไรไปแม้แต่ก้าวเดียว ข้าจะถลกหนังเจ้า!” น้ำเสียงคนชุดขาวผู้นั้นอำมหิตขึ้นมา
“…ขอรับ” ชายชุดเขียวคนนั้นไม่กล้าพูดต่อแล้ว โค้งคำนับแล้วล่าถอยไป
คนชุดขาวผู้นั้นเงยหน้ามองฟ้า ดวงดาวส่องสกาวเต็มฟากฟ้า ดั่งนัยน์ตาแวววาวของสาวน้อย
“กู้ซีจิ่ว…” คนชุดขาวผู้นั้นกระซิบ หัวเราะเบาๆ พลางกัดฟัน “เจ้าทำลายงานใหญ่ของข้าหลายครั้งหลายครา เจ้าจะชดใช้อย่างไร? ชดใช้ด้วยร่างกายดีหรือไม่?”
ไม่มีผู้ใดเอ่ยตอบเขา มีเพียงเสียงลมพัดผ่านป่าสนเบาๆ
เขาพลันหมุนกาย หายลับไปจากจุดเดิม
….
หุบเขาจริยาเป็นหุบเล็กๆ แห่งหนึ่ง มีเรือนอิฐเขียวหลักเล็กๆ ยี่สิบกว่าหลังกระจายกันอยู่ เรียงรายอย่างเป็นระเบียบ เสมือนหอพักพนักงาน
ที่นี่คือที่พักของศิษย์ในชั้นเรียนเมฆาคล้อย
ชั้นเรียนเมฆาคล้อยกับชั้นเรียนเมฆาม่วงแตกต่างกัน ที่พักของศิษย์ในชั้นเรียนเมฆาม่วงล้วนเป็นอาคารสองชั้นหลังเล็กๆ ด้านในมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน มีทุกอย่างที่ควรมี ดังคฤหาสน์หลังน้อยก็มิปาน
แต่ของชั้นเรียนเมฆาคล้อยเป็นเรือนอิฐเขียวมุงกระเบื้อง ธรรมดาสามัญ หนึ่งหลังพักรวมกันสองคน
กู้ซีจิ่วย้ายมาอยู่ที่นี่ได้หนึ่งเดือนแล้ว เพื่อนร่วมเรือนของเธอเป็นแม่นางน้อยอายุสิบห้าปีนางหนึ่ง มีนามที่แสนจะไพเราะคล่องปากว่า…หลานไว่หู
ยามที่กู้ซีจิ่วได้ยินกู่ฉานโม่ประกาศว่าเพื่อนร่วมเรือนของเธอคือใคร ความรู้สึกแรกก็คือแม่นางน้อยที่มีนามเช่นนี้คงเฉลียวฉลาดมากแน่นอน เจ้าเล่ห์ดั่งจิ้งจอก
แต่พอพบหน้านางจริงๆ ถึงได้รู้ว่า นามช่างไม่ตรงกับบุคลิกคนโดยแท้
หลานไว่หูเป็นแม่นางน้อยอายุสิบห้าปี โตกว่ากู้ซีจิ่วแค่ไม่กี่ปี แต่ตัวเล็กยิ่งนัก รูปร่างไม่สูง ใบหน้าอ่อนเยาว์ ดวงตากลมโต น่ารักเหมือนตุ๊กตา
อารมณ์ของแม่นางน้อยผู้นี้คาดเดาได้ง่ายนัก ล้วนเขียนอยู่บนหน้าทั้งสิ้น!
นางแบ่งแยกบุญคุณความแค้นชัดเจนนัก ตอนที่กู้ซีจิ่วจะมาอยู่ร่วมเรือนกับนาง นางคงจะเคยได้ยินข่าวลืออะไรมา สีหน้าที่มีต่อกู้ซีจิ่วจึงระแวดระวังเจือด้วยสนใจใคร่รู้ และไม่ค่อยชอบคุยกับเธอนัก
นางและกู้ซีจิ่วคนหนึ่งพักอยู่ห้องทางตะวันออกอีกคนพักอยู่ห้องทางตะวันตก ทุกวันหลังจากแม่นางน้อยเข้าห้องแล้วก็จะลงกลอนประตูขังตนอยู่ในห้อง ราวกับหวั่นเกรงว่ากู้ซีจิ่วที่หน้าซื่อใจคดผู้นี้จะไปวางยาพิษนาง…
กู้ซีจิ่วทราบว่าทำไมนางถึงระแวงตน เป็นเพราะแม่นางน้อยผู้นี้เป็นคนบ้านเดียวกันกับเยี่ยนเฉิน…
วันแรกที่กู้ซีจิ่วย้ายมา พอออกประตูมาก็พบเยี่ยนเฉินเข้าพอดี ใบหน้าหล่อเหลาของเยี่ยนเฉินเคร่งตึงกล่าวเตือนเธอ ให้เธออยู่ห่างจากหลานไว่หูตัวน้อย