บทที่ 1277 จะคาดเดาไม่ออกได้ยังไง
“อันนี้ก็…”
“พี่วางใจเสียเถอะ ฉันเพียงแค่พบว่าตำแหน่งนั้นมันว่าง แล้วก็ยังว่างมาสักพักนึงแล้ว ไม่เจอคนเหมาะๆให้เลือกเลยสักที ฉันจะบอกพี่เอาไว้เลยนะคะว่าถ้าสามารถเข้าบริษัทตระกูลเย่ได้ เรื่องที่พักของพี่ก็จะได้คลี่คลายไป เพราะว่าตำแหน่งนั้นมีสวัสดิการดีมากเลย มีห้องเดี่ยวเล็กๆเหมาะกับพี่ที่เป็นผู้หญิงคนเดียวเลย”
ฟังมาจนถึงตรงนี้แล้ว สวี่เย็นหวั่นก็ใจเต้นออกมาเล็กน้อย
แต่เธอก็ไม่อยากรับการช่วยเหลือจากคนอื่นจริงๆ คิดว่าอย่างนี้มันเกินที่จะรับได้เกินไป
อีกอย่าง เดิมเธอก็ชอบหานชิงมากอยู่แล้ว ถ้ารับการช่วยเหลือจากน้องสาวของหานชิงไปในเวลานี้ แล้วต่อจากนี้…จะยังมีหน้าไปเจอหานชิงได้หรือไง?
คิดมาจนถึงตรงนี้แล้ว สวี่เย็นหวั่นก็ยิ้มอย่างเจื่อนๆออกมา จากนั้นก็พูดออกไป “น้องมู่จื่อ ต้องขอบคุณน้องมากจริงๆนะคะ แต่…ต้องขอโทษด้วยที่พี่รับเอาไว้ไม่ได้ ขอโทษด้วยนะคะ”
หานมู่จื่อก็ได้พูดชัดเจนขนาดนั้นแล้ว นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะยังไม่ยอมรับอีก นี่มันเรื่องอะไรกัน?
หลังจากที่วางสายไป เพียงไม่นานหานมู่จื่อก็ได้พาตัวเองมาทำราวกับว่าตนเป็นสวี่เย็นหวั่น ลองจินตนาการดูว่าจากสถานการณ์ของเธอในตอนนี้ ถ้าน้องสาวของคนที่ตนชอบอยากช่วยตน เธอเองก็คงจะปฏิเสธเหมือนกัน
ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง….
แววตาหานมู่จื่อลึกลงหลายส่วน
เธอนึกไม่ถึงว่าความรู้สึกที่สวี่เย็นหวั่นมีต่อพี่ชายของเธอจะลึกซึ้งอย่างนี้
แต่ระหว่างทั้งสองคนก็ไม่ได้ติดต่อกันมาตั้งหลายปีไม่ใช่หรอ? ทำไมถึงได้ลึกซึ้งขนาดนี้? หรือว่าในระหว่างช่วงหลายปีนี้ สวี่เย็นหวั่นไม่ได้มีแฟนคนอื่นอีกเลย? หรือว่า…
หานมู่จื่อคิดว่าเรื่องมันทะแม่งๆ ก็เลยโทรหาสวี่เย็นหวั่นไปอีกครั้ง นัดให้เธอออกมาคุยกันต่อหน้า
ทั้งสองคนนั่งกันอยู่ในร้านกาแฟ ทั้งสองฝ่ายไม่ได้พูดอะไรกัน
หานมู่จื่อเห็นท่าทางสวี่เย็นหวั่น คิดว่าเธอคงคาดเดาอะไรได้บ้างแล้ว ก็เลยส่งยิ้มแห้งๆออกไปพร้อมกับเป็นฝ่ายพูดออกไปก่อนว่า “พี่เย็นหวั่น เมื่อก่อนพวกเราทั้งสองตระกูลเป็นตระกูลที่คบค้าสมาคมกันมาหลายชั่วรุ่น ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์ของฉันกับพี่จะไม่ได้ลึกซึ้งเท่าพี่กับฉัน แต่ร้ายดียังไงตอนเด็กๆพี่ก็เคยอุ้มฉัน จะว่ายังไงระหว่างพวกเราเองก็มีความสัมพันธ์ต่อกันอยู่บ้างล่ะมั้งคะ? ฉันอยากช่วยพี่จริงๆ แต่ฉันก็เข้าใจความรู้สึกของพี่ที่ว่าไม่อยากรับการช่วยเหลือจากคนอื่น ฉันก็เลยเพียงแค่อยากแนะนำงานให้พี่ ส่วนเรื่องที่จะสามารถคว้างานนี้ได้หรือเปล่านั้น ทั้งหมดนั้นต้องดูความสามารถของตัวพี่เอง ถึงแม้ว่าจะเป็นอย่างนี้ พี่ก็จะยังไม่สามารถรับมันได้อีกหรอคะ?”
ได้ยินอย่างนั้นแล้ว สวี่เย็นหวั่นจับแก้วกาแฟในมือแน่นขึ้น ตรงช่วงระหว่างนิ้วมือค่อนข้างที่จะขาวออกมา เธอเงยหน้าขึ้นมามองหานมู่จื่อนิ่ง
“ต้องขอโทษจริงๆ”
หานมู่จื่อแสยะริมฝีปากออกมาอย่างไม่ใส่ใจ ยกกาแฟขึ้นมาดื่มอย่างสบายๆ จากนั้นจึงได้ถามออกไป “พี่เย็นหวั่น บอกฉันได้หรือเปล่าคะว่าทำไมถึงไม่สามารถรับได้?”
สวี่เย็นหวั่นไม่พูด เพียงแต่สีหน้าดูไม่ค่อยดีนักออกมา
“พี่เย็นหวั่นไม่พูด งั้นไม่สู้ให้ฉันลองทายดูล่ะคะ?”
ได้ยินหานมู่จื่อพูดออกมาอย่างนี้ สวี่เย็นหวั่นอดไม่ได้ที่จะชายตามองเธอ ใบหน้าของหานมู่จื่อสวยมาก โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้น ไม่มีความหมองมัวใดๆ ใสบริสุทธิ์เหมือนดั่งน้ำ ดูเหมือนกับว่าจะสามารถมองทุกอย่างได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
แต่เธอในตอนนี้ได้พูดกับเธอออกไปอย่างสงบนิ่ง ให้เธอลองทายดู?
ใจของสวี่เย็นหวั่นจู่ๆก็มีอาการลนลานขึ้นมา หรือว่า…หานมู่จื่อจะอ่านความคิดเธอออก?
นี่ ไม่น่าจะเป็นไปได้หรอกมั้ง?
“พี่เย็นหวั่น?”
หานมู่จื่อเห็นเธอเหม่อลอยไป ก็เอ่ยเรียกออกมา
สวี่เย็นหวั่นได้สติกลับมา พร้อมส่ายหน้าออกไป “น้องไม่ต้องพูดหรอก พี่รู้ว่าน้องคงพอจะคาดเดามันได้”
รอยยิ้มของเธอดูหม่นมัวออกมาเล็กน้อย “น้องฉลาดเสียขนาดนี้ จัดการเรื่องทั้งหมดได้อย่างดี จะทายไม่ถูกได้ยังไง”
หานมู่จื่อนิ่งอึ้งไป แต่ก็นึกไม่ถึงว่าเธอจะยอมรับออกมาอย่างหน้าตาเฉยอย่างนี้ ว่าแต่ เธอทายถูกแล้วจริงๆ?
เพราะว่าชอบหานชิง ก็เลยไม่ยอมรับการช่วยเหลือจากน้องสาวของเขา เพราะว่าความหยิ่งในศักดิ์ศรีของเธอมันรุนแรงมาก
“สถานะทางการเงินของที่บ้านพี่ตกต่ำลง จนกลายมาเป็นอย่างนี้ เดิมทีก็ไม่สามารถยืดอกเผชิญหน้าได้เลย ถ้า…พี่มารับความช่วยเหลือจากน้องอีก แล้วหลังจากนี้คงไม่กล้ามองหน้าเขาอีกแน่”
หานมู่จื่อ “…”
ก็ยังเป็นอย่างที่เธอคิดจริงๆ
“แต่น้องวางใจเถอะ ครั้งที่แล้วน้องบอกพี่ว่าตอนนี้เขามีความสุขมาก พี่ก็เลยเดาว่าพี่ชายของน้องคงมีแฟนแล้ว ดังนั้นแล้ว…พี่ก็จะไม่มีทางทำอะไรกับเขาหรอก”
หานมู่จื่อไม่พูดอะไร เพียงแค่จู่ๆก็รู้สึกว่าผู้หญิงตรงหน้านั้นน่าสงสารเลยทีเดียว
“พี่ไม่ได้เลวขนาดนั้นหรอก ถึงแม้ว่าพี่จะชอบเขา กลับมาครั้งนี้ก็โอบอุ้มไปด้วยความหวัง หลายปีมานี้พี่ไม่ได้ติดต่อเขามาเลย ตอนนี้เห็นเขาใช้ชีวิตอย่างมีความสุข พี่เองก็พอใจแล้ว พี่ไม่มีทางไปทำลายมันหรอก พี่ก็แค่อยากมองเขาอยู่ไกลๆก็พอแล้ว”
หานมู่จื่อไม่รู้ว่าจะพูดอะไรอีก จู่ๆก็คิดว่าตัวเองใจร้ายขึ้นมา
เพราะว่าเธอคิดจะจัดการหาตำแหน่งงานในบริษัทตระกูลเย่ให้กับสวี่เย็นหวั่นไปด้วยความเห็นแก่ตัวของเธอ อย่างแรกเลยก็คือเกิดจากการที่ทำไปตามหน้าที่ และอยากจะช่วยเธอด้วยเหมือนกัน อย่างที่สองก็คืออยากดึงสวี่เย็นหวั่นมาให้ไกลๆ
อันที่จริงเรื่องของความรู้สึกจำพวกนี้นั้น ใครจะรู้ว่าเธอจะควบคุมมันได้ดีหรือเปล่ากันล่ะ?
หานมู่จื่อไม่ใช่หานชิง ความสัมพันธ์ต่อสวี่เย็นหวั่นก็ไม่ได้มากมายนัก เธอเองก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายนิสัยใจคอเป็นยังไง จะเหมือนกับเธอในตอนนี้หรือเปล่า
อันที่จริงคนเรานั้นก็เปลี่ยนกันได้
“มู่จื่อ แฟนของหานชิงเป็นเพื่อนสนิทของน้องใช่มั้ย?”
จู่ๆสวี่เย็นหวั่นก็ถามออกมา หานมู่จื่อก็ตกตะลึงไป มองเธอไปด้วยความแปลกใจ
“อย่าตกใจไปเลย พี่ควรเดาออกตั้งนานแล้วไม่ใช่หรอ? น้องถึงได้เอาใจใส่ขนาดนี้ เพราะทั้งสองคนนั้นสำคัญกับน้องมาก ไม่อย่างนั้น…น้องก็คงเพียงแค่เห็นแก่ความสุขของพี่ชายเป็นหลัก แต่ก็ไม่มีทางไปทำอะไรมากมายอย่างนี้หรอก”
หลังจากที่ถูกเธอบอกออกมาได้อย่างตรงเผง หานมู่จื่อนิ่งอึ้งออกมาก่อน จากนั้นก็ยิ้มแล้วยอมรับออกมาอย่างสวยๆ
“ใช่ค่ะ เธอเป็นเพื่อนรักของฉัน ทั้งสองคนนั้นไม่ง่ายเลยที่จะได้คบกัน และพี่ชายของฉันก็อยู่คนเดียวมาตลอดหลายปี ฉันเองก็หวังว่าพวกเขาทั้งสองคนจะคบกันไปได้ด้วยดี”
“พี่รู้แล้ว น้องสบายใจเถอะ พี่จะไม่มีทางทำลายความสัมพันธ์ของพวกเขาเด็ดขาด”
สุดท้าย สวี่เย็นหวั่นก็ยังไม่ยอมรับการช่วยเหลือจากหานมู่จื่ออยู่ดี เพียงแค่พูดออกมาว่าอยากพึ่งความพยายามของตัวเองในการยื่นประวัติไป หานมู่จื่อเห็นเธอยืนกรานอย่างนั้น ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงบอกไปว่าถ้าต้องการก็สามารถบอกกับเธอมาได้เลย
จากนั้นทั้งสองคนก็แยกกันไปทางใครทางมัน
--
หลังจากที่เจียงเสี่ยวไป๋ทำอาหารให้เซียวซู่อยู่หลายวัน ก็ได้อยู่ที่บ้านเซียวซู่เต็มตัวแล้ว
ในตอนแรกเธอเพียงแค่เอาเครื่องครัวจากที่บ้านย้ายมาที่บ้านของเซียวซู่ ในภายหลังเพราะว่าต้องกินข้าวด้วยกันที่นี่ ก็เลยย้ายคอมของตัวเองมา หลังจากนั้นก็คิดอีกว่าเก้าอี้ที่บ้านของเซียวซู่มันแข็งไป นั่งแล้วเจ็บ เธอก็เลยเอาเก้าอี้ทำงานย้ายมาที่บ้านของเซียวซู่ด้วยเลย
ในตอนที่ย้ายเก้าอี้มาก็พบว่าเก้าอี้กับโต๊ะคอมของเธอมันเป็นเซ็ตเดียวกัน ก็เลยให้คนย้ายโต๊ะคอมกับเก้าอี้ทำงานมาที่บ้านเซียวซู่พร้อมกันเลย
อยู่ไปอย่างสุขสงบอย่างนี้อยู่นาน เจียงเสี่ยวไป๋ก็ได้คิดว่าห้องนี้ไม่มีชีวิตชีวา ส่งผลต่อการแสดงแรงบันดาลใจออกมาได้อย่างเต็มที่ ก็เลยเอาไม่ว่าจะเป็นเครื่องตกแต่งก็ดี ผ้าม่านก็ดี การแขวนภาพบนผนังก็ดีจากบ้านตัวเองมาที่เซียวซู่ทั้งหมด
ส่วนเซียวซู่ทุกครั้งที่เลิกงานกลับบ้านมากินข้าว ก็จะพบกับของแปลกตาหลายอย่างเพิ่มขึ้นมาในบ้านของเขา ตอนแรกเขาก็ยังถามเจียงเสี่ยวไป๋ออกไป จนในภายหลังก็ขี้เกียจจะถามแล้ว