บทที่ 452 เหมือนเคยเจอเหตุการณ์นี้มาก่อน
เมื่องานแถลงข่าวเริ่มขึ้น ไฟในห้องก็ค่อยๆ มืดลง
อันที่จริงงานนี้คืองานแถลงข่าวผลิตภัณฑ์ใหม่ เจ้าของธุรกิจเพชรจึงเชิญนักแสดงหญิงที่กำลังดังในตอนนี้อย่าง จ้าวยี่หรู และนักแสดงภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงอย่าง หลินซิงหั่ว มาร่วมงาน
แน่นอนว่านักธุรกิจต่างก็รู้ดีอย่างไม่ต้องสงสัยว่า การซื้อขายนี้จะไม่เสียเปล่า นักแสดงหญิงที่กำลังได้รับความนิยมกับนักแสดงนำภาพยนตร์ที่โลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิง ผู้หญิงทั้งสองคนที่อายุไล่เลี่ยกันมาอยู่ด้วยกันแน่นอนว่าหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องถูกเปรียบเทียบจากผู้ชม การทะเลาะวิวาทมักจะเกิดภายใต้การเปรียบเทียบ เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นก็ไม่สามารถสลัดตัวออกมาได้
ฝ่ายนักธุรกิจแทบจะไม่ต้องเสียเงินให้กับการทำข่าว นี่เป็นพละกำลังแบบไม่ต้องเสียเงินระหว่างแฟนคลับกับคนที่ไม่ใช่แฟนคลับ
“เธอทำอะไรน่ะ”
หลังจากที่ไฟมืดลงไม่นาน หานมู่จื่อ รู้สึกว่าที่นั่งข้างๆ ตัวเองยวบลงเหมือนมีคนมานั่ง
เธอไม่ได้สนใจอะไรมาก หันไปด้านข้างแล้วถามเสี่ยวเหยียนด้วยเสียงเบา
ภายใต้ความมืด เสียงของเสี่ยวเหยียนดังเบาๆ อยู่ข้างหู เธอตั้งใจกดเสียงต่ำแล้วพูดว่า “ฉันใช้เงินซื้อชุดราตรีนั่นแล้ว”
เมื่อได้ยิน หานมู่จื่อ ก็อึ้งไป “อะไรนะ”
เสี่ยวเหยียนกลัวว่าเธอจะเข้าใจผิด จึงรีบพูดอธิบาย “แต่ว่าฉันไม่ได้ใช้เงินของเธอซื้อนะ ฉันแค่พูดกับหานชิงว่าเธอชอบชุดนั้น ก็เลย…แหะๆ”
เมื่อพูดถึงประโยคสุดท้าย เสี่ยวเหยียนก็ยิ้มอย่างรู้สึกผิด หานมู่จื่อ พูดอะไรไม่ออก “คิดไม่ถึงว่าเธอจะไปหาเขา!”
ทันทีที่สิ้นเสียง ที่นั่งข้างๆ หานมู่จื่อ เหมือนจะขยับไปมาเล็กน้อย จากนั้นบรรยากาศโดยรอบก็เย็นลง
“ก็ไม่มีวิธีอื่นแล้วนิ เงินของเราต้องเก็บไว้ซื้อบ้าน จะใช้เงินของเธอก็ไม่ได้ ดังนั้นก็เลย…”
พูดจบ เสี่ยวเหยียนก็ยื่นมือไปดึงแขนเสื้อของ หานมู่จื่อ แล้วพูดอย่างน่าสงสารว่า “มู่จื่อ ฉันก็ไม่มีวิธีอื่นจริงๆ อีกอย่างฉันก็ไม่ได้พูดอะไรนะ ฉันแค่พูดว่าชุดนั้นมันเหมาะกับสไตล์ของเธอเท่านั้นเอง ดังนั้นก็เลย…”
หานมู่จื่อ:“ดังนั้นก็เลยใช้เงินจ่ายในสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องจ่ายแบบไร้เหตุผลน่ะเหรอ”
“ไม่ใช่ไม่จำเป็นนะ หล่อนทำชุดราตรีของบริษัทเราเสียหาย เราซื้อชุดราตรีของหล่อน ขอแค่ให้ผู้หญิงคนนั้นออกงานแถลงข่าวในสภาพที่ดูไม่ได้ นี่ก็เป็นการระบายความโกรธของเราแล้ว ”
“ต้องใช้เงินเยอะขนาดนี้เพื่อระบายความโกรธเลยเหรอ” หานมู่จื่อ เลิกคิ้วขึ้น แม้ว่าเธอจะไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เสี่ยวเหยียนทำแม้แต่น้อย แต่กลับไม่สามารถฟังได้จากน้ำเสียงของเธอ
แต่ทว่าเสี่ยวเหยียนรู้จักนิสัยของหานมู่จื่อ ผู้หญิงคนนี้ไม่ต่อว่าเธอที่ทำแบบนี้แน่นอน แต่ตัวเธอเองก็ไม่สามารถปล่อยเรื่องพวกนี้ไปได้ ดังนั้นเธอก็เลยกอดแขนของหานมู่จื่อ เอาไว้แน่น “แง อย่าโกรธเลยนะ ฉันสัญญาว่าครั้งนี้ครั้งเดียว การที่ระบายความโกรธออกไปเราถึงจะมีความสุขไง อีกอย่างทนายคนก็จ่ายค่าเสียหายให้เราหลายล้านเพราะผิดสัญญา คิดยังไงพวกเราก็ไม่ขาดทุนนะ!”
“เธอนี่เจ้าเล่ห์นักนะ” หานมู่จื่อ อดไม่ได้ที่จะจิ้มหน้าผากของคนที่อยู่ใกล้ๆ
เสี่ยวเหยียนหัวเราะแหะๆ แล้วปล่อยมือเธอออก
ไฟในห้องแถลงข่าวค่อยๆ สว่างขึ้น นักธุรกิจอุตสาหกรรมเพชรพูดเปิดงาน แล้วเชิญนักแสดงทั้งสองท่านขึ้นมาบนเวที แน่นอนว่าทุกคนต่างก็จับตามอง
จู่ๆ ก็มีเงาของใครคนหนึ่งมายืนข้าง หานมู่จื่อ แล้วพูดเบาๆ ขึ้นมาว่า “คุณShelly ซิงหั่วให้คุณไปหาเขา”
อะไรนะ
ให้เธอไปหาหล่อนงั้นหรอ
มีเรื่องอะไรหรือเปล่านะ แม้ว่า หานมู่จื่อ จะสงสัย แต่ทว่าเธอฟังออกว่าเสียงของคนนั้นคือ เฉินเฟย ผู้จัดการของ หลินซิงหั่ว
“มีอะไรหรือเปล่า”
เฉินเฟยยิ้มๆ “ไม่มีเรื่องใหญ่อะไรหรอก คุณShelly คุณไปแล้วจะรู้เอง”
หานมู่จื่อ พยักหน้า จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนเตรียมที่จะเดินออกไป
แต่ทว่ารอบๆ มันมืดมาก เมื่อเธอลุกขึ้นมาเธอทำได้เพียงเดินไปข้างซ้าย อีกอย่างทางนั้นใกล้ทางเดินตรงกลางอีกด้วย แต่ทว่าตอนที่เธอลุกขึ้นยืนก็พบว่าขาของคนที่นั่งอยู่ข้างเธอวางไว้เต็มพื้นที่ ไม่เหลือที่ให้เธอเดิน เธอก้าวไม่ได้แม้แต่น้อย
แสงไฟสว่างอยู่บนเวที ส่วนด้านล่างมีเพียงแสงที่ส่องมาจากบนเวทีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ในที่สุด หานมู่จื่อก็มองไปยังคนที่อยู่ข้างเธอ ภายใต้แสงไฟสลัวเธอเห็นว่าคนที่อยู่ข้างๆ มีร่างกายกำยำ ดูจากความสูงแล้วน่าจะเป็นผู้ชาย
“คุณคะ ขอโทษจริงๆ นะคะ คุณขยับเท้าสักนิดได้ไหมคะ ฉันขอทางหน่อย”
ภายใต้แสงสลัว หานมู่จื่อ รู้สึกคุ้นเคยกับรูปร่างของคนคนนี้
เหมือนกับใครคนใดคนหนึ่งที่อยู่ในหัวสมองของเธอ เธอหยุดความคิดของตัวเองเอาไว้
เป็นไปไม่ได้หรอก
วันนี้เป็นงานแถลงข่าวของอุตสาหกรรมเพชร คนคนนั้นจะมาร่วมงานได้อย่างไรกัน
หรือว่าเธอจะคิดถึงเขามากเกินไปกันนะ
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เธอก็รีบสลัดเขาออกจากสมองทันที เธอตั้งสติ
คนดังกล่าวไม่ขยับ หานมู่จื่อ รู้สึกสงสัย “คุณคะ ขอทางหน่อยได้ไหมคะ”
ขณะนั้นเอง เขาก็เริ่มขยับ เขาขยับเรียวขายาวๆ ของตัวเอง เธอถึงถอนหายใจออกมาแล้วเดินออกไป
เธอคิดว่าเมื่อครู่ เขาจงใจไม่ให้เธอเดินออกมาหรือเปล่า แต่ตอนนี้ดูเหมือนเธอจะคิดมากไปเอง เมื่อกี้ที่เขาไม่ขยับเขาอาจจะไม่ได้ยินก็ได้
หลังจากเดินไปไม่กี่ก้าว ไม่รู้เพราะกระแสจิตหรืออะไรถึงทำให้เธอหันไปมองอย่างไม่รู้ตัว
“คุณShelly ทางนี้ครับ” เสียงของ เฉินเฟย ดังมาจากข้างหน้า หานมู่จื่อ หลุดออกจากภวังค์แล้วพยักหน้า จากนั้นก็เดินต่อไปข้างหน้า
“ระวังขั้นบันได”
หลังจากที่ออกจากที่นั่ง หานมู่จื่อ ก็เดินตามคนข้างหน้ามาพักใหญ่ ในที่สุดก็มาถึงสถานที่จัดงาน จากนั้นก็เดินอ้อมมาถึงทางเดิน
ภายในทางเดินมีแสงสีเหลืองนวล คนที่เพิ่งเดินออกมาอย่างหานมู่จื่อไม่ได้ตื่นตากับแสงสีเหลืองนวลอันอบอุ่น ในที่สุดเธอก็เห็นภาพทั้งหมดตรงหน้าอย่างชัดเจน
เมื่อครู่ตอนที่เธออยู่ในนั้น เธอไม่ชอบความรู้สึกที่มองอะไรไม่เห็นเลย
แม้ว่าจะมีแสงสลัว แต่เธอมองใครไม่ชัดเจนเลยแม้แต่น้อย
“อีกประมาณ 20 นาที Shelly ต้องออกไปหน้าเวทีกับ ซิงหั่ว ดังนั้น ซิงหั่ว ก็เลยเชิญคุณมาทานมื้อเย็นด้วยกัน”
ฟังจบ หานมู่จื่อก็ชะงักฝีเท้าลง “ทานมื้อเย็นด้วยกันงั้นเหรอ”
“ใช่ เด็กนั่นหิวจะแย่แล้ว”
หานมู่จื่อ ตาม เฉินเฟย ไปจนถึงห้องแต่งตัวของ หลินซิงหั่วเมื่อเห็นท่าทางของเธอ
เธอแต่งหน้าและแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว รอแค่ขึ้นเวทีเท่านั้น
อันที่จริงตอนนี้เธอควรจะนั่งรอนิ่งๆ เพื่อรอขึ้นเวที ไม่ก็ตรวจสอบความเรียบร้อยของตัวเอง แต่คิดไม่ถึงว่าตอนนี้เธอจะยกกระโปรงขึ้นแล้วก็นั่งอยู่ที่โต๊ะ กำลังกัดของกินที่อยู่ในมือ
เมื่อได้ยินเสียงดัง หลินซิงหั่ว จึงเงยหน้าขึ้นมา
“เทพธิดาในที่สุดเธอก็มาสักที ฉันรอเธอมาตั้งนาน นี่คือมื้อเย็นที่ฉันสั่งมา รีบมากินด้วยกันเร็ว”
หลินซิงหั่ววางของกินในมือตัวเอง แล้วกำลังจะเดินลากกระโปรงของตัวเองเพื่อไปหาหานมู่จื่อ
เมื่อเห็นมือที่เลอะไปด้วยน้ำมันของเธอกำลังจะสัมผัสไปที่กระโปรงอันระยิบระยับ หานมู่จื่อ รีบหรี่ตาลงแล้วตะโกนออกมาว่า “อย่าขยับ!”