“อาหมาน นับตั้งแต่เริ่มเข้าสู่จักรวรรดิ เจ้ายังไม่หยุดกินอีกอย่างงั้นหรือ เจ้าไม่รู้หรือว่าเจ้ากำลังจะกินอาหารหมดไปทั้งเมืองแล้วน่ะ ? ”ถังหว่านเอ๋อทอใบหน้าแตกตื่นมองไปทางอาหมาน
นับตั้งแต่อาหมานเริ่มเข้าสู่จักรวรรดิ ก็กินเนื้อไม่หยุดมาโดยตลอด เขากินอยู่หลายวันหลายคืนโดยไม่มีการหยุดพักแต่อย่างใด
มีอยู่บางครั้งที่อาหมานรู้สึกง่วงนอน ทว่าหลับไปได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็ต้องตื่นขึ้นมาด้วยความหิว จากนั้นก็จะกินต่ออย่างไม่คิดชีวิต ถังหว่านเอ๋อกับฉู่เหยาเองต่างก็มองดูจนทอดวงตาโง่งมกันขึ้นมา
อาหมานกล่าวขึ้นมาด้วยใบหน้าที่ข่มขื่น “ไม่เป็นไรหรอก เนื้อเหล่านี้แทบจะไม่มีพลังงานอะไรเลย มีแต่ต้องกินไม่หยุดเท่านั้น จึงพอที่จะทดแทนพลังงานที่ขาดหายไปได้ ไม่เช่นนั้นแม้แต่จะเดินข้าก็ยังเดินไม่ไหว”
หลงเฉินเองก็เข้าใจคำพูดของอาหมานดี การกินถือได้ว่าเป็นการฝึกปรืออย่างหนึ่ง ยิ่งกินสิ่งที่ดีมากขึ้น ก็จะยิ่งพัฒนาได้เร็วขึ้นเท่านั้น
เนื้อวัวธรรมดาเหล่านี้ทำได้เพียงแค่ประคับประคองพลังการเคลื่อนไหวของเขาเอาไว้เท่านั้น แทบจะไม่ทำให้ได้รับพลังงานอะไรมากมายเลยก็ว่าได้
แต่ว่าถ้าหากอาหมานไม่กิน เขาก็จะนอนแผ่ไปในทันที กล้ามเนื้อทุกส่วนภายในร่างกายของเขา หากไม่ได้รับการหล่อเลี้ยงก็คงจะต้องประท้วงขึ้นมาแน่
“ซูม”
ทันใดนั้นก็มีงูเหลือมยักษ์ที่มีขนาดใหญ่เท่าโอ่งน้ำปรากฎตัวออกมา มุ่งหน้าเข้ามาหาทุกคน มันเป็นถึงสัตว์มายาระดับหนึ่งตัวหนึ่ง
สัตว์มายาเลือดเย็นในระดับต่ำมักจะมีปัญญาที่น้อยนิด มันจึงไม่อาจจะสัมผัสถึงระดับพลังของคนอื่นๆได้ แม้ว่าด้านข้างของทุกคนจะมีเสี่ยวเสว่ยที่เป็นถึงสัตว์มายาระดับสามอยู่ แต่มันก็ยังกล้าที่จะเข้ามาโจมตี
เมื่อได้เห็นงูเหลือมยักษ์ตัวนั้น อาหมานก็ได้ทอดวงตาเป็นประกายขึ้นมาในทันที ในเมื่อมีอาหารส่งมาถึงที่ มีหรือที่จะไม่ทำให้เขาลิงโลดขึ้นมาได้
“พรวด”
ถังหว่านเอ๋อยื่นมืออันขาวผ่องออกมาพร้อมกับดีดออกไปคราหนึ่ง คมวายุขนาดเล็กสายหนึ่งก็ได้ลอยออกไป จนทำให้หัวของงูเหลือมยักษ์ทะลุจนเป็นรูขึ้นมา ทั้งยังถึงกับทะลุผ่านจนเข้าไปถูกก้อนหินขนาดใหญ่จนเกิดเป็นรูโหว่ขนาดเท่ากำปั้นขึ้นมาด้วย
ที่ทำให้หลงเฉินแตกตื่นขึ้นมาก็คือ ช่องที่เกิดขึ้นนั้นกลับเป็นเหมือนดั่งถูกดาบเฉียดไปก็มิปาน อีกทั้งถังหว่านเอ๋อเพียงแค่ออกกระบวนท่าอย่างง่ายๆเท่านั้น แต่ถึงกับสามารถจะตัดได้แม้กระทั่งหินผา นี่แทบจะไม่ต่างอะไรไปจากการผ่าเต้าหู้เลย
อาหมานกลับไม่ได้สนใจว่างูเหลือมยักษ์ตัวนี้จะตายอย่างไร เขาเพียงแต่ทราบว่า งูเหลือมยักษ์ตัวนี้จะเข้าไปในท้องของเขาอย่างไรดีเท่านั้น
“อาหมาน ให้ข้าจัดการเองเถอะ”
เมื่อพบว่าอาหมานคิดที่จะลงมือ หลงเฉินก็ได้รีบกล่าวห้ามปรามเอาไว้ เขาทราบว่า ในเวลานี้อาหมานหิวโหยแทบบ้าคลั่งไปแล้ว เขาจึงไม่สนใจว่าจะมีรสชาติอะไรหรือไม่ ทั้งยังหมายที่จะกินเข้าไปทั้งที่ยังดิบ
ถ้าหากมีแค่อาหมานก็ยังแล้วไป แต่เกรงว่าจะไม่ค่อยเหมาสมกับฉู่เหยากับถังหว่านเอ๋อเสียเท่าไหร่ จึงได้หยิบเตาย่างขนาดใหญ่ออกมาหนึ่งเตา จากนั้นก็ได้ทำการเลาะหนังสีเขียวของงูเหลือมยักษ์ออก แล้วก็ทำการล้างจนสะอาด จากนั้นก็วางเอาไว้อยู่บนเตา
เพียงแค่สะบัดมือออกไปหนึ่งกระบวนท่า เพลิงกาฬสีฟ้าอันเข้มข้นก็ได้พุ่งออกไป กลืนกินร่างของงูเหลือมยักษ์ไปภายในพริบตา
พลังเพลิงของหลงเฉินนั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ถ้าหากไม่ควบคุมให้ดี ก็คงจะเผางูเหลือมยักษ์จะกลายเป็นขี้เถ้าได้ภายในพริบตา
เนื่องจากหลงเฉินเป็นถึงผู้หลอมโอสถ พลังแห่งจิตวิญญาณจึงแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังสามารถควบคุมเพลิงไฟได้ตามใจนึก เพียงแค่ไม่กี่ลมหายใจ เขาก็สามารถย่างงูเหลือมยักษ์จนภายนอกไหม้เกรียม จนส่งกลิ่นหอมอบอวลขึ้นมา
จากนั้นหลงเฉินก็ใช้ดาบตัดเนื้องูจนเป็นชิ้นใหญ่ แล้วก็นำไปแบ่งให้กับถังหว่านเอ๋อกับฉู่เหยา ในส่วนที่เหลือ ก็ให้อาหมานกับเสี่ยวเสว่ยแบ่งกัน
ทว่าเสี่ยวเสว่ยเองก็แสนรู้เป็นอย่างยิ่ง มันรู้ว่าอาหมานหิวโหยจนไม่ไหวแล้ว มันกินเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น เนื้อที่เหลืออยู่ทั้งหมดจึงได้ถูกกลืนลงท้องของอาหมานไปจนหมดสิ้น
ถึงแม้จะไม่ได้ใส่เครื่องปรุงรส แต่เนื้องูย่างเรียกได้ว่าเลิศรสเป็นอย่างยิ่ง เมื่อกินเข้าไปแล้ว แม้แต่อิสตรีก็ยังต้องชมเชยออกมาไม่หยุดปาก
“น่าเสียดายที่มิได้นำเอาปลาฉีหลิงออกมา ไม่เช่นนั้นมื้อนี้เหยาเอ๋อเจี่ยเจียก็จะสามารถกินได้จนอิ่มหนำสำราญ”ถังหว่านเอ๋อกล่าว
หลงเฉินกินเนื้องูไปได้หนึ่งคำ ก็ได้ถามขึ้นมาอย่างกะทันหันว่า “ข้ารู้สึกแปลกใจที่เจ้าเอาแต่เรียกฉู่เหยาว่าเจี่ยเจีย ฉู่เหยาเองก็กลับเรียกเจ้าว่าเจี่ยเจีย สรุปแล้วพวกเจ้าสองคนผู้ใดเป็นเจี่ยเจีย ผู้ใดเป็นเม่ยเม่ยกันแน่ ? ”
ฉู่เหยาหัวเราะดังหึหึขึ้นมา บนใบหน้าก็ได้ปรากฏความเจ้าเล่ห์ออกมา หันไปกล่าวต่อหลงเฉินว่า “เจ้ารู้สึกว่าพวกเราสองคนใครอายุมากกว่ากันล่ะ ? แล้วใครที่สมควรที่จะเป็นเจี่ยเจียกันแน่ ? ”
หลงเฉินงงงันขึ้นมาทันที มองไปที่หญิงสาวทั้งสองจนแทบจะไม่อาจรั้งสายตากลับมาได้ คำพูดนี้เกรงว่าคงจะตอบกลับไปไม่ได้ง่ายๆแน่ นี่เป็นเหมือนกับวาจาที่เป็นดั่งกับดัก หากกล่าวผิดก็คงจะมีปัญหาตามมาแน่
ทว่าระดับหลงเฉินแล้ว มีหรือที่จะกระโดดลงไปสู่กับดักที่เห็นอยู่ชัดๆเช่นนี้? สายตาก็ได้มองไปบนใบหน้าของทั้งสองคน จากนั้นก็ได้หันไปมองร่างกายของทั้งสอง มองดูอยู่เนิ่นนาน จนกระทั่งหญิงสาวทั้งสองคนใบหูแดงก่ำขึ้นมา หลงเฉินจึงค่อยถอนหายใจออกมาแล้วกล่าว
“สรีระของพวกท่านทั้งสองถือได้ว่ายอดเยี่ยมเป็นอย่างยิ่ง หากไม่ปลดอาภรณ์ออก ข้าก็คงไม่อาจจะแยกแยะได้ว่า จริงๆแล้วระหว่างพวกเจ้าผู้ใดโตกว่ากันแน่”
ใบหน้าของสองอิสตรีแดงซ่านจนแทบมีโลหิตไหลออกมาแล้ว หญิงสาวทั้งสองจึงได้กล่าววาจาออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน อีกทั้งยังแฝงเอาไว้ด้วยโทสะ
“เจ้าลามก”
“เจ้าบ้า”
หลงเฉินยิ่งหัวเราะขึ้นมาด้วยอาการได้ใจ ในเวลาเดียวกันก็ได้กินเต้าหู้*ของสาวงามทั้งสองนางอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่ทำให้ระรื่นได้เลยทีเดียว
*吃豆腐 กินเต้าหู้ สำนวน เชิงพูดจาลวนลามทางเพศ
ทว่าหลงเฉินกลับรู้สึกแปลกใจอยู่ หากเป็นไปตามลักษณะนิสัยของถังหว่านเอ๋อ หลงเฉินถึงกับหาญกล้ากินเต้าหู้ต่อหน้านางอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ ก็คงจะต้องแหว่งกำปั้นเข้ามาตั้งแต่แรกแล้ว อีกทั้งยังไม่แน่ว่าอาจจะมีฝ่าเท้าลอยตามมาอีกด้วย
ที่แท้นางได้กลายเป็นคนที่อ่อนหวานเฉกเช่นฉู่เหยาไปแล้วอย่างงั้นหรือ ? ถ้าหากเป็นเช่นนั้นแล้วล่ะก็ การหยอกล้อนางก็คงจะเป็นเรื่องที่น่าเบื่อแล้วสินะ
“หลงเฉิน ครั้งนี้เจ้ามีแผนการยังไงบ้าง ? ”
ฉู่เหยาได้กลับคืนอารมณ์มาได้เล็กน้อย ก็ได้กล่าวถามขึ้นมาเสียงแผ่วเบา
เมื่อหลงเฉินทานเนื้อชิ้นสุดท้ายเสร็จแล้ว เขาก็ได้เช็ดปาก จากนั้นก็หัวเราะออกมาแล้วกล่าวอย่างขมขื่นว่า “ข้ายังจะมีแผนการอะไรได้อีก เมื่อกลับไปแล้วก็คงจะต้องฝึกปรืออย่างไม่คิดชีวิต ตอนนี้ข้ายังไม่ทราบเลยว่าเมื่อไร จึงจะสามารถทะลวงพลังที่เป็นดั่งเช่นปากขวดนี้ไปได้
หากว่าข้าเข้าไปยังขอบเขตแดนลับนพเก้าด้วยพลังฝึกปรือเช่นนี้ ข้าคงจะถูกกดขี่ดุจสุนัขเป็นแน่ โดยเฉพาะจะไม่เป็นการชักนำ(引)เจ้าเด็กน้อยที่เป็นล่อ(骡子)*ไม่ก็ลาผู้นั้นมาเล่นงาน……”
*T/L : 引骡子 หลอจื่อ หลงเฉินนั้นพูดเล่นคำ เพราะคำนี้มีการออกเสียงที่คล้ายกับชื่อของ หยินหลอ ครับ
“เป็นหยินหลอต่างหาก เจ้าอย่าได้เอาแต่หยอกล้อผู้คนได้หรือไม่”
หลงเฉินกล่าวออกประโยคหนึ่ง ก็เกือบที่จะทำให้ถังหว่านเอ๋อหัวเราะจนท้องแข็ง จนถึงขั้นต้องกล่าวออกมา
“อือ โดยเฉพาะเจ้าเด็กน้อยที่ชื่อว่าหยินหลอผู้นั้น เขาถูกข้าตัดขาไปแล้วขาหนึ่ง ข้าคิดว่าเรื่องนี้คงจะทำให้เขาไม่ค่อยจะมีความสุขสักเท่าไร มีความเป็นไปได้กว่าแปดเก้าส่วนที่เขาจะต้องตามหาข้าเพื่อคิดบัญชีภายในดินแดนแห่งนั้นแน่”หลงเฉินถอนหายใจออกมาแล้วกล่าว
เมื่อฉู่เหยากับถังหว่านเอ๋อนึกถึงความน่าหวาดกลัวของหยินหลอ บนใบหน้าก็ได้สลายรอยยิ้มไปในทันที จนถูกแทนที่ด้วยความเป็นห่วง
“หยินหลอผู้นั้นน่ากลัวเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะร่างกายของเขานั้นได้ผนวกเข้ากับโลหิตบริสุทธิ์ก่อฟ้า ถึงแม้เขาจะยังไม่อาจที่จะควบคุมได้ ทว่าในระหว่างที่เขาเพิ่มพูนพลังฝีมือมากขึ้น ย่อมต้องทำให้เขาสามารถควบคุมโลหิตบริสุทธิ์ก่อฟ้าขึ้นมาได้อย่างแน่นอน
หากเป็นเช่นนั้นเขาก็คงจะสามารถที่จะใช้โลหิตบริสุทธิ์ก่อฟ้า ชักนำพลังแห่งฟ้าดินในการโจมตีได้ ด้วยพลังการโจมตีแห่งฟ้าดินยังไงก็คงจะต้องน่าหวาดกลัวอย่างแน่นอน
ครั้งที่แล้วน่าจะเป็นเพราะเขายังไม่คุ้นเคยกับโลหิตบริสุทธิ์ก่อฟ้าของตนเองมากนัก เขาจึงไม่กล้าที่จะใช้พลังออกมามากเกินไป
แม้จะเป็นเช่นนั้นแต่พลังในการโจมตีของเขาก็ยังสูงเป็นอย่างยิ่ง พวกเราก็ได้เห็นกันแล้ว ว่ามันเป็นพลังที่แข็งแกร่งจนน่าหวาดกลัวขนาดไหน! ”
เมื่อฉู่เหยานึกถึงการโจมตีสุดท้ายของหยินหลอ ภาพของกระบวนท่าที่น่ากลัวยังคงติดตราตรึงอยู่ภายในจิตใจของนาง
อาการบาดเจ็บของหยินหลอในครั้งนี้ เรียกได้ว่าเป็นความเจ็บปวดที่เจ็บแค้นฝังลึก แน่นอนว่าเขาคงจะต้องฝึกปรือต่อไปอย่างไม่คิดชีวิตแน่ เพื่อที่จะหวังว่าเมื่อเข้าสู่ขอบเขตแดนลับนพเก้า จะสามารถฆ่าสังหารหลงเฉิน เพื่อที่จะล้างอายที่ถูกตัดขาไป
“หลงเฉิน ด้วยพลังการต่อสู้ของเจ้า ถ้าหากสามารถทะลวงจนเข้าถึงขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นแล้ว ต่อให้ไม่อาจที่จะสังหารหยินหลอได้ แต่การป้องกันตัวเองย่อมไม่ถือเป็นปัญหาอยู่แล้ว
แต่ว่าก่อนหน้าที่จะเข้าสู่ขอบเขตแดนลับนพเก้า ถ้าหากยังไม่อาจที่จะทะลวงเข้าสู่ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นได้ เจ้าก็จะตกอยู่ในอันตราย”ถังหว่านเอ๋อเองก็ได้กล่าวขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง
ครั้งนี้ที่หลงเฉินสามารถที่จะได้รับชัยชนะมาอย่างหมดจด ทั้งหมดนั้นก็เป็นเพราะวิชาลับของฉู่เหยา ด้วยพลังลมปราณที่สนับสนุนเข้ามาให้ดุจมหาสมุทรอันกว้างใหญ่
ถ้าหากไม่มีฉู่เหยา อย่าว่าแต่การต่อสู้กับหยินหลอเลย เขาคงจะถูกผู้อาวุโสฝ่ายอธรรมผู้นั้นสังหารไปแล้ว
หลงเฉินเองก็ทราบถึงเรื่องนี้ดี ในส่วนที่ทำให้เขาเจ็บปวดที่สุดนั้นมีอยู่เพียงแค่สองข้อ ข้อหนึ่งก็คือระดับขอบเขต อีกข้อนั้นก็คือเขายังไม่มีพลังเพียงพอ
ถึงแม้หากเทียบกับศิษย์สายตรงโดยทั่วไป ด้วยพลังอันมหาศาลจากดารากักวายุของเขา เขาย่อมต้องไม่ด้อยไปกว่าใครแน่นอน
แต่ว่ากายาศึกกักวายุของหลงเฉินกับเบิกสวรรค์ต่างก็กินพลังอย่างมหาศาล ถึงแม้จะเป็นการโจมตีที่รุนแรง แต่ข้อเสียก็คือไม่อาจจะใช้ติดต่อกันได้
ดังนั้นตอนนี้หลงเฉินจึงตั้งความหวังเอาไว้อยู่สองอย่าง อย่างแรกก็คือเร่งทำการเพิ่มพูนพลังการฝึกปรือ เพื่อทะลวงเข้าสู่ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น
ส่วนอีกอย่างก็คือ ผนึกรวมดาราดวงที่สองของนวดาราอย่าง——ดาราแปรแสงขึ้นมาให้ได้ หลงเฉินเชื่อว่า ขอเพียงสามารถผนึกดาราแปรแสงขึ้นมาได้ ด้วยการหนุนเสริมจากดาราคู่ ย่อมทำให้เขามีพลังที่ต่อสู้ต่อไปได้นานและแข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก
เกี่ยวกับด้านทักษะยุทธ์ หลงเฉินกลับมิได้เป็นกังวลมากนัก เพราะด้วยพลังลมปราณของเขา ทำให้เขาสามารถควบคุมทักษะยุทธ์ต่างๆได้อย่างสมบูรณ์แบบอยู่แล้ว
สิ่งสำคัญที่สุดก็คือหลงเฉินติดอยู่แค่ปากขวดเท่านั้น เขาไม่ทราบว่า จะต้องทำอย่างไรจึงจะสามารถทะลวงพลังให้พ้นจากการพันธนาการนี้ไปได้ เพื่อที่จะเข้าสู่ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น
เรื่องของปากขวดของระดับพลังนั้น เป็นเรื่องที่ไม่อาจจะอธิบายออกมาได้ชัดเจน เห็นๆกันอยู่ว่าได้เข้าถึงขอบเขตก่อโลหิตขั้นสูงสุดแล้ว แต่กลับยังไม่อาจที่จะทะลวงพลังไปได้ เรื่องนี้จึงทำให้หลงเฉินแทบจะคลั่งใจตายเลยทีเดียว
แต่ว่าหลงเฉินก็ทราบดีว่า เรื่องเช่นนี้ยังไงเสียก็เร่งรีบกันไม่ได้อยู่แล้ว แทนที่จะมัวพะวงอยู่กับระดับพลังที่ติดอยู่ สู้เอาเวลาไปรวบรวมวัตถุดิบในการหลอมโอสถแปรแสง เพื่อหลอมสร้างดาราแปรแสงเสียยังจะดีกว่า
ครั้งนี้หลงเฉินได้ทำการสังหารยอดฝีมือฝ่ายอธรรมไปมากมาย ยังไงเขาก็ต้องได้รับแต้มคะแนนมากมายมหาศาล เพื่อแลกเปลี่ยนเป็นทรัพยากรได้อย่างจุใจ ตอนนี้หลงเฉินไม่ต้องการสิ่งอื่นใด นอกจากวัตถุดิบที่ใช้ไว้หลอมโอสถแปรแสงเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ขอเพียงรวบรวมวัตถุดิบทั้งหมดมาได้ ไม่ว่าจะมากจะน้อย อย่างน้อยหลงเฉินก็ต้องหลอมโอสถออกมาได้อย่างแน่นอน ครั้งนี้่ถือโอกาสหลอมโอสถเพื่้อผนึกตัวอ่อนของดารากักวายุขึ้นมาอีกเม็ดก็ยังได้
หลงเฉินเกิดความสงสัยขึ้นอยู่อย่างหนึ่ง ถ้าเกิดตนเองได้เบิกจุดดาราแปรแสงขึ้นมาได้ ถึงตอนนั้นพลังในการต่อสู้จะเพิ่มขึ้นมากมายขนาดไหนกัน
เมื่อเห็นหลงเฉินทอสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา ฉู่เหยาก็อยากที่จะทำให้หลงเฉินเกิดแรงกดดันที่มากมายเช่นนั้น จึงได้ดึงหลงเฉินเข้ามาแล้วกล่าว
“เมื่อวานเจ้าไปยังสภาผู้หลอมโอสถ จากนั้นก็ไปยังตึกฮวาหวิน แท้จริงแล้วไปทำอะไรกันแน่ ? ”
เมื่อวานหลงเฉินได้วิ่งวุ่นเป็นระวิง อีกทั้งยังได้ใช้เวลาที่เหลืออยู่ ไปยังสองสถานที่ดังกล่าว ฉู่เหยากับถังหว่านเอ๋อเองก็ได้ติดตามมารดาหลงเฉินอยู่ จึงไม่ได้ติดตามไป พวกนางจึงไม่ทราบว่าเขาไปทำอะไรกันแน่
หลงเฉินหัวเราะเหอะเหอะแล้วกล่าว “ข้าไปที่สภาผู้หลอมโอสถอยู่คราหนึ่ง เพื่อไปคารวะท่านผู้นำสภาคนใหม่ ถึงอย่างไรตระกูลหลงของเรา ก็ได้รับการดูแลจากพวกเขาเป็นอย่างดี หากว่าไม่ไปซักครา ก็คงจะเสียมารยาทมากเกินไปแล้
ในส่วนของตึกฮวาหวินน่ะหรือ ประเด็นหลักที่ข้าไปดู ก็เพื่อที่จะไปดูว่าที่แห่งนั้นมีสิ่งของที่ข้าต้องการอยู่หรือไม่ อย่างน้อยข้าก็ซื้อของที่ต้องการกลับมาได้บ้างแล้ว”
ในมือหลงเฉินมีก้อนศิลาดำทมิฬอยู่ก้อนหนึ่ง ซึ่งมีขนาดใหญ่เท่ากับไข่ห่าน ด้านบนยังปกคลุมเอาไว้ด้วยร่องรอยที่เก่าแก่
สองสาวงงงันขึ้นมาเล็กน้อย แล้วก็ได้ยื่นมือเข้าไปแตะที่ก้อนศิลาประหลาดที่หลงเฉินยื่นเข้ามา พวกนางมองดูอยู่นานก็ยังดูไม่ออก ว่าศิลาก้อนนี้มีความลับอะไรกันแน่
“เป็นศิลาที่เก่าแก่ อีกทั้งทางร่องรอยน่าจะเกิดขึ้นตามธรรมชาติ มันแฝงเอาไว้ด้วยบรรยากาศที่เก่าแก่อย่างมากก็จริง ทว่ากลับดูไม่ได้มีอะไรพิเศษ”ฉู่เหยาก็ได้กล่าวขึ้นมาด้วยความสงสัย
หลงเฉินจงใจที่จะกล่าวขึ้นมาด้วยความเร้นลับว่า “พวกเจ้าดูไม่ออกว่า มันมีลักษณะพิเศษตรงไหนนั้น ก็ย่อมเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ถึงอย่างไรพวกเจ้าก็ยังเยาว์วัยกันอยู่ ข้าจะบอกแก่พวกเจ้าก็แล้วกัน ในส่วนที่เป็นลักษณะพิเศษของศิลาก้อนนี้——ก็คือมันเก่าแก่เป็นที่สุดไงเล่า ! ”
“จากนั้นเล่า ? ”ถังหว่านเอ๋อกล่าวขึ้นมา
“ไม่มีแล้ว”
“เจ้าล้อพวกเราเล่นอย่างงั้นหรือ ? ”ถังหว่านเอ๋อมองเข้ามาด้วยสีหน้าที่เหยียดหยามพร้อมกับกล่าวออกมา
หลงเฉินได้แต่หัวเราะเหอะเหอะขึ้นมา ทั้งยังไม่กล่าววาจาอันใด เพียงแค่ลูบไปที่ก้อนศิลาก้อนนี้ไปมาเบาๆ อีกทั้งภายในแววตากลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความคิดบางอย่าง เมื่อมองไปที่รอยยิ้มบนใบหน้าของหลงเฉิน กลับทำให้ผู้คนเกิดความรู้สึกขนลุกขนพองขึ้นมา
“หลงเฉิน เจ้าคงจะมิใช่กำลังวางแผนคิดร้ายกับใครอยู่หรอกนะ ? ”ฉู่เหยาเองก็ถือได้ว่าเป็นคนที่เข้าใจนิสัยหลงเฉินเป็นอย่างดี จึงอดไม่ได้ที่จะต้องถามออกมา
“จะเป็นเช่นนั้นไปได้ยังไง”
หลงเฉินส่ายหน้า จากนั้นก็ทอสีหน้าจริงจัง แล้วกล่าวออกมา “ข้าหลงเฉินจะเป็นคนเช่นนั้นไปได้อย่างไรกัน สิ่งนี้เป็นของขวัญชิ้นหนึ่งที่จะมอบให้แก่ผู้คนเท่านั้น”
แต่ว่าฉู่เหยากับถังหว่านเอ๋อต่างก็ไม่เชื่อในคำพูดของหลงเฉินมากนัก เพราะรอยยิ้มบนใบหน้าของหลงเฉินก่อนหน้านี้ เรียกได้ว่าเลวร้ายเป็นอย่างมาก
ทันใดนั้นถังหว่านเอ๋อก็ได้กล่าวขึ้นมาด้วยความเข้าใจในทันที “ข้าคล้ายกับทราบแล้วว่า หลงเฉินจะนำของขวัญนี้่ไปให้แก่ผู้ใด”