ได้ยินคำพูดนี้ อารมณ์โกรธของหม่าซวี่ซงแข็งค้างบนหน้า สีหน้าเปลี่ยนเป็นเครื่องหมายคำถามทั้งหน้าในชั่วพริบตาเดียว คนคนนี้กำลังพูดจากับตนเองอยู่งั้นเหรอ? กี่ปีมาแล้วที่เขาไม่เจอคนไม่เจียมตัวขนาดนี้
นี่คือสถานที่อะไร นี่คือหนานหลิง นี่คือสถานที่ที่เขาเกิดและเติบโต คนไหนไม่ต้องไว้หน้าตนเองกันบ้าง
ชายกำยำด้านล่างคนนั้นถือว่าเก่งกาจ แต่ทว่าที่นี่คือหนานหลิง
เขาหม่าซวี่ซงคือคุณชายของหนานหลิงแห่งนี้
“แกรู้มั้ยว่าฉันเป็นใคร?” หม่าซวี่ซงจ้องฟางเหยียนตาไม่กะพริบพลางถามขึ้น
ฟางเหยียนพูดด้วยความสุขุมเยือกเย็น “แกเป็นใครเกี่ยวอะไรกับฉันด้วย?”
หม่าซวี่ซงส่ายหน้า แทบจะพูดอย่างคลุ้มคลั่ง “ฉันคือลูกหลานของตระกูลหม่า นี่คือผู้หญิงของฉัน แกรู้รึเปล่าว่าตัวเองทำผิดเรื่องอะไรแล้ว? โทษประหารชีวิต โทษประหารชีวิตแบบให้อภัยไม่ได้!”
“สารเลว!” หลินถงลุกขึ้นยืน บอกว่า “หม่าซวี่ซง อะไรคือฉันเป็นผู้หญิงของนาย? ฉันกลายเป็นผู้หญิงของนายได้ยังไงกัน? นายคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน?”
หม่าซวี่ซงไม่ได้สนใจหลินถง เพียงแต่ใช้เสียงที่เสียดแก้วหูพูดมา “ไอ้หนุ่ม ตอนที่แกมาหนานหลิง หรือว่าไม่ได้ตั้งใจหาสักหน่อย? ไม่นานแกก็จะกลายเป็นศพแล้ว!”
ฟางเหยียนวางแก้วชาในมือลง ลุกขึ้นยืนมาจากเก้าอี้ ถามว่า “ใช่เหรอ? งั้นฉันต้องขอดูหน่อยว่าฉันจะตายยังไง?”
หม่าซวี่ซงมองฟางเหยียนที่ยืนขึ้นมายังเตี้ยกว่าตนเองครึ่งศีรษะ โมโหจนสั่นเทาพูดว่า “โอหัง! แกไม่ควรปล่อยบอดี้การ์ดของแกไว้ด้านล่าง ตอนนี้แกควรต้องรู้สึกเสียใจที่ตัวเองทิ้งบอดี้การ์ดเอาไว้”
พูดจบเขากุมหมัดต่อยเข้ามาทางฟางเหยียน แต่ว่าไม่นานแก้มของเขากระตุกขึ้นมาอย่างรุนแรง สีหน้าเปลี่ยนยกใหญ่ กล้ามเนื้อทั้งตัวตึงแน่นไปหมด
เหมือนกับเจอเรื่องประหลาดที่น่าตกใจที่สุดในชีวิตนี้
เกิดอะไรขึ้น?
ทำไมหมัดของตนเองไม่มีทางเข้าไปได้
หมัดของเขาอยู่ห่างจากฟางเหยียนสิบเซนติเมตรแล้วหยุดลงมา เหมือนมีกำแพงอากาศขวางอยู่ด้านหน้าของฟางเหยียนไว้
เมื่อหันมองฟางเหยียน ยังคงเป็นท่าทางที่เฉยเมยไม่สะทกสะท้าน เห็นได้ชัดว่าบนหน้าผ่อนคลายและเบิกบานไร้ที่เปรียบ
เขากลืนน้ำลาย เหงื่อค่อยๆ เปียกชุ่มเสื้อผ้า นี่สรุปมันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย? เกิดเรื่องประหลาดขนาดนั้นได้อย่างไร!
“หนานหลิง ตระกูลหม่า!” ฟางเหยียนบ่นพึมพำ จากนั้นเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาจากด้านนอก
“จอมพลโผ้จวินครับ ผมมาช้าไป!” พูดจบ เขาบิดแขนของหม่าซวี่ซงไว้อีกครั้ง
หม่าซวี่ซงถูกบิดจนร้องโอ๊ยทีหนึ่ง อยู่ต่อหน้าผู้หญิงที่ตนเองชอบดันมาขายขี้หน้าขนาดนี้เป็นครั้งแรก พวกเขาไม่ได้ตีหม่าซวี่ซง แต่กำลังวางศักดิ์ศรีของเขาไว้บนพื้นแล้วเสียดสี ถูไถ
เพื่อหน้าตาที่ชั่วร้ายนี้แล้ว เขาพยายามดิ้นรนสุดกำลัง แต่เดิมทีขยับไม่ได้ กำลังของเทียนขุยช่างมากเหลือเกิน
“ตระกูลหม่า พวกที่ไม่สำคัญเท่านั้นเอง!” ฟางเหยียนใช้น้ำเสียงไม่สนใจไยดีพูดประโยคแบบนี้
จากนั้นบอกว่า “ทิ้งลงไปเถอะ! ฉันไม่ค่อยชอบให้คนมารบกวนบรรยากาศดีๆ ของฉัน”
คำพูดประโยคนี้จงใจพูดให้หม่าซวี่ซงฟัง หลินถงฟังจนแก้มแดงเถือกขึ้นมา
“ครับ!” เทียนขุยตอบแบบคล่องแคล่วว่องไว บิดหม่าซวี่ซงไว้อยากลงไปด้านล่าง
แต่ฟางเหยียนกลับชี้ไปยังหน้าต่างพลางบอกว่า “ฉันไม่ได้บอกว่าจากตรงนั้น เป็นตรงนี้”
“หา!” หม่าซวี่ซงเหงื่อแตกทั่วตัว เขาตะโกนลั่น “แม่งเอ๊ย แกรู้รึเปล่าว่าฉันเป็นใคร? ฉันคือพระเจ้าของหนานหลิง ถ้าแกโยนฉันลงไป ฉันจะทำให้แกต้องตาย ฉันจะฆ่าแก!”
ฟางเหยียนมองทางหม่าซวี่ซงทันใด พูดอย่างสบายๆ “มีชีวิตรอดให้ได้ก่อนเถอะแล้วค่อยพูด!”
เทียนขุยคว้าหม่าซวี่ซงไว้ โยนลงไปจากหน้าต่างของชั้นสามโดยตรง
ตรงไปตรงมา ทันที ผ่อนคลาย สมบูรณ์แบบ
ทั้งกระบวนการไม่ได้ยืดยาดแม้แต่นิดเดียว
ทุกคนที่อยู่ด้านล่างตึกกำลังรอคอยเจ้าหนุ่มดวงซวยคนนั้นถูกโยนออกมา แม้กระทั่งหยางซ่าวหานยังยกมือถือมาเปิดติ๊กต็อกเล็งไปที่หน้าต่างของห้องระดับราชาพูดจากับตนเอง “ตอนนี้ มาถ่ายทอดสดคนลอยกลางอากาศให้ทุกคนดูสักหน่อย รอเดี๋ยวจะมีคนดวงซวยลอยออกมาจากหน้าต่างบานนั้น ทุกคนเบิกตากว้างๆ เอาไว้นะ”
ไม่เกินความคาดหมาย เสียงพูดพึ่งจบลง ภาพเงาคนหนึ่งลอยออกมาจากที่หน้าต่าง หยางซ่าวหานรีบบันทึกเอาไว้ด้วยความตื่นเต้น ได้ยินเพียงเสียงตุบทีหนึ่ง เขาเล็งไปที่พื้นไม่กี่วินาทีถึงสั่งออกไป
“ดูว่าสิแกตายหรือยัง! มาเล่นกับฉัน แกวอนหาที่ตายชัดๆ! ที่หนานหลิง หรือแกยังไม่รู้จักฉันหยางซวี่ซงว่าหาเรื่องไม่ได้? เชี้ย!”
พูดประโยคนี้จบ หลังจากวางมือถือลง เขาถึงเห็นว่าที่ตกลงมาคนนั้นไม่ใช่เจ้าหนุ่มคนนั้น แต่เป็นคุณชายหม่า ชั่วพริบตาเดียวเขาเหงื่อแตก รีบร้อนวิ่งเข้าไปทันที ตะโกนเรียก “คุณชายหม่า คุณชายหม่า!”
คนที่มุงดูเหตุการณ์ก็หน้าตามึนงงเช่นกัน ใครก็นึกไม่ถึงว่าที่ลอยออกมาเป็นคุณชายหม่า คนที่ตกตะลึงพรึงเพริดหลายคนมองทางบนตึก ตะโกนอย่างตกใจมาก “นี่แม่งเป็นใครวะเนี่ย? ทำไมแม้แต่คุณชายหม่ายังกล้าตี?”
พึ่งพูดจบ หม่าซวี่ซงล้มอยู่ที่พื้นดิ้นรนสองสามที ดันตัวลุกขึ้นมาจากบนพื้นแล้ว
พูดต่อว่าด่าทอ “รอไว้ก่อนเถอะ ฉันจะทำให้แกตาย ให้แกตาย!”
ด่าจบ เขาก็ขึ้นรถไปแล้ว สตาร์ทรถออกไปจากที่นี่อย่างรวดเร็ว
ผู้คนไม่น้อยมองเห็นฉากนี้ ล้วนนับถือความกล้าหาญแข็งแกร่งของหม่าซวี่ซงอย่างอดไม่ได้ ลอยลงมาจากชั้นสามคาดไม่ถึงไม่เป็นอะไรสักนิดเดียว แถมยังสามารถขับรถได้ ร่างกายระดับนี้ ยังไม่รู้จริงๆ ว่าคนธรรมดาครอบครองไว้
ความจริงพวกเขาไม่รู้ว่านี่คือฟางเหยียนใช้กำลังภายในปกป้องเขาไว้ ไม่ใช่ฟางเหยียนกลัวเขาตาย เพียงแต่ไม่อยากให้ประชาชนเดือดร้อนไปทั่วเท่านั้นเอง ฆ่าคนต่อหน้าสาธารณชน เขาไม่กลัว เพียงแค่ไม่เหมาะสมจะทำแบบนั้น
“หรือว่าคนบนตึกนี้เก่งกาจขนาดนั้นจริง เบื้องหลังยังแกร่งกว่าคุณชายหม่าอีกเหรอ?”
“คนที่นัดเจอกับคุณนายใหญ่ตระกูลถังได้ นายคิดว่าจะด้อยได้เหรอ? ไม่มีเบื้องหลังใครกล้าทำขนาดนั้นกันหรอก!”
“ไม่ว่าเป็นใคร เขาก็เป็นคนต่างถิ่น พวกเรารีบไปกันเถอะ! เรื่องนี้พวกเรายุ่งไม่ได้หรอก เดี๋ยวที่นี่คงต้องนองเลือดแน่ ไม่อยากโดนลูกหลงก็รีบแยกย้ายกันดีกว่า!”
คนที่เข้าใจล้วนรู้ว่าหม่าซวี่ซงไม่ใช่คนที่เลิกรากันด้วยดี รอเดี๋ยวต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่นอน
หม่าซวี่ซงกลับมาถึงสาขาหลักของแก๊งเสือดาวดำ ไฟโกรธยากจะสลาย นี่คือครั้งแรกที่มีคนทำกับเขาขนาดนี้ และยังทำต่อหน้าผู้หญิงที่ตนเองสนใจมากที่สุดด้วย ดังนั้นเขาจึงรีบต่อสายโทรศัพท์หนึ่งทันที พูดกับในสายนั้น “เสือดาวดำ รวบรวมลูกน้องทั้งหมดให้ฉัน ฉันจะไปฆ่าคนที่โรงแรมหนานโจว”
เพิ่งวางสายโทรศัพท์ลง มือถือของเขาดังขึ้นอีกครั้ง พอมองเห็นว่าเป็นสายของปู่ เขาลังเลสักครู่หนึ่ง จากนั้นรับสายขึ้นมา
“เจ้าวายร้าย แกรู้รึเปล่าว่าทำเรื่องงามหน้าอะไรลงไป? รีบกลับบ้านมาให้ฉันตอนนี้ เดี๋ยวนี้ จำไว้ อย่าหาเรื่องคนคนหนึ่ง ถ้าแกหาเรื่องคนคนหนึ่งเข้า ฉันจะให้แกโดนดี!”
พูดประโยคนี้จบ หม่าจงหัวปู่ของเขาก็ตัดสายโทรศัพท์แบบโมโหเดือดดาล
เขามองมือถืออยู่ด้วยหน้าตางุนงง น้อยมากที่หม่าจงหัวจะโกรธเคืองจนด่าตนเองแบบนี้ นี่มันอะไรกันวะ?
หม่าจงหัวเป็นผู้นำตระกูลของตระกูลหม่า ผู้อาวุโสผู้เคร่งขรึมไร้ที่เปรียบคนหนึ่ง ฝีมือความสามารถของหม่าซวี่ซงล้วนเป็นเขาหม่าจงหัวถ่ายทอดให้ ลูกหลานตระกูลหม่าแต่ละคนต้องเรียนวิชาการต่อสู้ เรียกได้ว่าร่างกายแข็งแรงกำยำ
แต่หม่าซวี่ซงเป็นคนที่มีพรสวรรค์สูงสุด และเป็นคนที่เอารางวัลชนะเลิศของหนานหลิงมาได้ และเป็นอันดับสองจากทั้งประเทศ
หม่าซวี่ซงกุมมือถือไว้แน่น กัดฟันบ่น “ถือว่าแกโชคดี! แต่อย่าคิดว่าฉันจะปล่อยแกไปแบบนี้”