บทที่ 77 ไสหัวไป
หัวหน้าเจียงไม่ได้พูดอะไร หมอที่พูดเมื่อกี้ทำหน้านิ่ง และพูดอย่างใจดำว่า “ญาติผู้ป่วยแบบเธอ ฉันเห็นมาเยอะแล้ว โรงพยาบาลมีกฎระเบียบของโรงพยาบาล ไม่มีเงินก็ไม่สามารถผ่าตัดให้ได้ เธอรีบไปหาเงินมาเถอะ ถ้าไม่มีเงินแล้วเอาแต่พูดอ้อนวอนไปก็เปล่าประโยชน์”
หัวหน้าเจียงสีหน้าเคร่งขรึม เขาพูดออกมาอย่างเหนื่อยใจว่า “ใช่ นี่สาวน้อย ฉันรู้ว่าเธอกตัญญู แต่นี่คือกฎระเบียบของโรงพยาบาล”
แต่เด็กผู้หญิงยังคงดึงดันและพูดว่า “ไม่ ถ้าคุณหมอไม่ผ่าตัดให้พ่อ ฉันก็จะคุกเข่าอยู่อย่างนี้”
“เยียนเอ๋อร์ รีบลุกขึ้นมา พ่อจะกลับบ้านแล้ว พ่อยังแข็งแรงอยู่เลย ไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่หมอพูดหรอก” เมื่อพูดจบ เขาก็ไอออกมาอย่างรุนแรง
แพทย์ประจำคนนั้นพูดอย่างโมโหว่า “เธอคุกเข่าไปก็ไร้ประโยชน์ พวกเราจะไม่ทำผิดกฎเด็ดขาด”
ไม่ว่าใครที่เห็นภาพนี้ต่างก็อดปวดใจไม่ได้
ถึงฟางเหยียนจะเห็นความเป็นความตายจนชินแล้ว แถมยังกุมชะตาชีวิตของผู้อื่นมานานแล้ว แต่ไม่ว่ายังไงเขาก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง
ดังนั้นเขาจึงเดินเข้าไปและพูดว่า “ไม่เจอกันนานเลยนะหัวหน้าเจียง”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หัวหน้าเจียงเหมือนถูกฟ้าผ่า เขาตัวสั่นและเงยหน้าหันไปมองฟางเหยียน
เมื่อเขาเห็นฟางเหยียน สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที เขาพูดอย่างตะกุกตะกักว่า “นาย..นายทำไม”
จนถึงวันนี้เขายังไม่ลืมคนที่ทำให้คนตายฟื้นขึ้นมาได้ หลังจากที่กลับมาเขาได้พูดคุยในกลุ่มแลกเปลี่ยนความรู้ทางวิชาการระหว่างประเทศ ไม่มีใครเชื่อคำพูดของเขา ต่างพากันคิดว่าเขาพูดไร้สาระ ถ้าเป็นเมื่อก่อน เขาไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด แต่ตอนนั้นเขาเห็นกับตาตัวเอง ถึงวิธีการจะค่อนข้างเลวร้าย แต่กลับเป็นเรื่องมหัศจรรย์ทางการแพทย์
หลังจากที่ผ่านการคิดมาหลายวัน จนเขาไม่เป็นอันกินอันนอน เขาเอาแต่เป็นกังวลว่าคนนั้นจะมาหาเขาและพูดเรื่องที่พนันกันเอาไว้ เขาเป็นหมอมาทั้งชีวิต อีกทั้งยังเป็นแบบอย่างต่อหน้าทุกคน เขากลัวว่าช่วงท้ายของชีวิตจะจบไม่สวย และโดนคนหัวเราะเยาะ
แต่สิ่งที่เขาคิดไม่ถึงก็คือ สิ่งนั้นมาถึงแล้ว
“นายมาทำอะไรที่นี่” หัวหน้าเจียงแสร้งทำเป็นแน่วแน่และถามขึ้น แต่ทว่าเหงื่อไหลลงมาจากหน้าของเขา
ฟางเหยียนฝืนยิ้มออกมา “มาถามอะไรนายสักหน่อย”
“หมอเจียง จริยธรรมทางการแพทย์คืออะไร” จู่ๆ ฟางเหยียนก็ถามขึ้นมา
หมอใจดำคนนั้นมองฟางเหยียน และพูดขึ้นด้วยสีหน้าดูถูก “นายเป็นใคร รู้หรือเปล่าว่าเขาเป็นใคร นี่คือหัวหน้าเจียงของโรงพยาบาลนี้ นายมาหาหมอหรือมาเยี่ยมคน จะทำอะไรก็ไปทำสิ อย่ามาเดินวุ่นวาย”
“เพียะ!” ฟางเหยียนไม่พูดพร่ำทำเพลง เขาง้างมือตบลงไปที่หน้าของหมอคนนั้น
หมอคนนั้นโดนตบจนเลือดกระจายออกมาจากจมูก เขาโดนตบจนมึนไปหมด หัวหน้าเจียงก็อึ้งไปเช่นกัน
ฟางเหยียนจ้องหมอคนนั้นเขม็ง เขาพูดอย่างเกรี้ยวกราดว่า “ตอนที่ฉันพูด ใครหน้าไหนก็ห้ามพูดแทรก”
น้ำเสียงของเขาแฝงไปด้วยอำนาจและความน่ากลัว แพทย์หนุ่มมองฟางเหยียนอย่างไม่พอใจ แต่เขายังมึนอยู่ เขาไม่ทำอะไรและเบิกตาโตอยู่อย่างนั้น
ขณะนี้ญาติผู้ป่วยและผู้ป่วยต่างพากันเข้ามามุงดู
“หัวหน้าเจียง จริยธรรมทางการแพทย์คืออะไร” ฟางเหยียนพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำอีกครั้ง แถมยังใช้สายตาเยือกเย็นมองเขา สายตาที่จ้องมาทำให้เขาขนลุกและสั่นไปทั้งตัว
หัวหน้าเจียงรู้สึกถึงความกดดัน เหมือนกับภูเขาลูกใหญ่กำลังทับลงมาที่ตัวเอง
เขารีบพูดว่า “จริยธรรมทางการแพทย์คือผู้ปฏิบัติตามการแพทย์ รับผิดชอบชีวิตของผู้ป่วย ผู้ป่วยสำคัญที่สุด โรงพยาบาลคือสถานที่บริการประชาชน หมออย่างพวกเราก็เป็นผู้รับใช้ประชาชนเช่นกัน”
“ได้ยินหรือยัง” ฟางเหยียนหันไปมองหมอที่ถูกตบ
หมอคนนั้นหลบอยู่ตรงมุม และไม่พูดอะไรออกมาสักคำ สีหน้าของหัวหน้าเจียงเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ขนาดหัวหน้าเจียงยังกลัวคนคนนี้ แล้วเขาจะไม่กลัวได้ยังไงล่ะ
เขารีบพยักหน้าและพูดว่า “เข้าใจแล้ว ฉันเข้าใจแล้ว”
“ไม่ นายไม่เข้าใจ!” ฟางเหยียนดึงเขาขึ้นมาจากพื้น
ไม่ใช่สิเรียกว่ายกขึ้นมาต่างหาก
หมอคนนั้นสั่นไปทั้งตัว เขาพูดอย่างสั่นๆ ว่า “ผมเข้าใจ เข้าใจจริงๆ”
ฟางเหยียนยกตัวของหมอหนุ่มอยู่อย่างนั้น โดยไม่สนใจเขา จากนั้นจึงถามหัวหน้าเจียงว่า “งั้นเด็กผู้หญิงคนนี้ช่วยพ่อเพราะความกตัญญู นายจะทำยังไง”
หัวหน้าเจียงรีบพูดขึ้นว่า “จัดการเรื่องผ่าตัดก่อน ส่วนเรื่องเงินค่อยว่ากันทีหลัง คุณคิดว่าแบบนี้ดีไหม”
คนที่อยู่รอบๆ ต่างพากันปรบมือและพูดว่าดี
ฟางเหยียนมองหัวหน้าเจียง แล้วพูดว่า “ทำตามที่นายบอกแล้วกัน” จากนั้นเขาจึงปล่อยตัวของหมอคนนั้นลง
หัวหน้าเจียงรีบพูดกับหมอที่ตัวสั่นงันงก “รีบจัดการเรื่องผ่าตัดให้คนไข้ รีบลงมือผ่าตัด และต้องรักษาชีวิตของผู้ป่วยไว้ให้ได้”
ฟางเหยียนส่ายหน้าแล้วพูดว่า “นายเป็นคนจัดการเถอะ เขาไม่เหมาะกับการเป็นหมอ ให้เขาเป็นหมอก็มีแต่สร้างความอับอายให้ประเทศหวา และดูหมิ่นจริยธรรมทางการแพทย์ที่ประเทศหวาสืบทอดกันมากว่าห้าพันปี”
เหงื่อผุดออกมาจากหน้าผากของหัวหน้าเจียง เขารีบพยักหน้า “ครับ ผมทราบแล้ว จางเห้าต่อไปนี้นายไม่ใช่หมอของที่นี่อีก โรงพยาบาลของเราไม่ต้องการแพทย์ที่ไม่มีจริยธรรมทางการแพทย์ นายออกไปเถอะ”
คำพูดนี้เจ็บปวดยิ่งกว่าตบของฟางเหยียน เขาเบิกตาโพลง “ไม่นะครับ หัวหน้า ผมทำงานหนักและยอมถูกว่ากล่าว คุณไม่ควร…”
“ไสหัวไปซะ!” หัวหน้าเจียงแผดเสียงออกมา
เขาหันไปมองฟางเหยียนโดยอัตโนมัติ จากนั้นจึงพูดอ้อนวอนออกมา “ขอร้องล่ะครับคุณผู้ชาย ผมมีภาระมากมาย ครั้งหน้าผมจะไม่…”
“ไสหัวไปซะ!”
ฟางเหยียนพูดคำเดียวกันออกมาด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด จนทำให้คนอกสั่นขวัญแขวน
หมอคนนั้นอึ้งไป และไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก เขาวิ่งตัวสั่นงันงกออกไป
“ขอบคุณนะคะพี่ ขอบคุณค่ะ!” เด็กผู้หญิงคนนั้นคลานมาตรงหน้าฟางเหยียน และคำนับให้เขาอย่างแรง
ฟางเหยียนประคองเธอขึ้นมาจากพื้น แล้วพูดว่า “เธอทำให้หัวหน้าเจียงซาบซึ้งใจ เพราะความกตัญญูของเธอ สิ่งที่หายากที่สุดบนโลกใบนี้คือบุญคุณ รอให้พ่อของเธอหายดี เธอต้องตอบแทนเขาให้ดีนะ”
เมื่อมือของฟางเหยียนสัมผัสถูกตัวของเด็กผู้หญิง จู่ๆ เขาก็สัมผัสได้ถึงร่างกายที่ไม่เหมือนใครของเธอ ร่างกายของเธอบริสุทธิ์และใสสะอาดมาก ไม่มีความแปดเปื้อนสักนิด เฉกเช่นกระดาษเปล่าที่ไม่โดนแต่งแต้ม
เขาอดตกใจไม่ได้ อย่าบอกนะว่านี่คือร่างทิพย์โดยกำเนิดที่เล่าขานกันในตำนาน
ร่างทิพย์โดยกำเนิด เป็นร่างกายที่เจอได้น้อยมากบนโลกใบนี้
ร่างกายได้รับการหล่อเลี้ยงด้วยส่วนสำคัญของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ ได้รับการบำรุงจากภูเขาและผืนดิน ว่ากันว่าร่างทิพย์สามารถฝึกฝนจนเป็นเซียนได้ นอกจากนี้ยังสามารถช่วยผู้ฝึกฝนได้อีกด้วย
เมื่อหลายพันปีก่อนมันเคยมีอยู่ในจีน แต่ในปัจจุบันร่างทิพย์โดยกำเนิดได้หายไปแล้ว
แน่นอนว่าฟางเหยียนไม่คิดว่าเด็กผู้หญิงคนนี้คือร่างทิพย์โดยกำเนิด เธอแค่ดูบริสุทธิ์และน่ารักเท่านั้น