บทที่ 65 ฉันคือภรรยาของฟางเหยียน
เช้าวันต่อมา เธอมาที่ร้านหยกตี้เซิ่งหยวนตั้งแต่เช้า
ถึงจะคิดได้เช่นนั้น แต่เธอก็ยังไม่ยอมแพ้ ถ้าไม่ถามหลิวเหอฉาง เธอจะไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ
รอกว่าครึ่งชั่วโมง พนักงานขายของร้านหยกตี้เซิ่งหยวนถึงจะเปิดประตู เมื่อเห็นเย่ชิงหยู่ยืนอยู่หน้าประตู พนักงานคนนั้นรีบถามขึ้นว่า “คุณผู้หญิงมาซื้อของเหรอคะ”
เย่ชิงหยู่ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่ใช่ ฉันอยากรู้ว่าหลิวเหอฉางอยู่ไหม ฉันมาหาเขา”
หญิงสาวมองเย่ชิงหยู่อย่างประเมิน ดูเหมือนว่าเธอเพิ่งจะอายุยี่สิบกว่าปี เป็นคนแปลกหน้า ทำไมถึงรู้จักหลิวเหอฉางบอสของพวกเธอ บอสไม่ได้ร่วมงานทางสังคมตั้งนานแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่ประหลาดมาก
แต่เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดอย่างเกรงใจว่า “คุณผู้หญิงคะ โดยปกติแล้วบอสจะไม่มาที่นี่ นอกจากจะมีเรื่องที่ต้องจัดการบอสจึงจะเข้ามา คุณมีธุระอะไรกับบอสหรือเปล่าคะ”
หลังจากเจอเรื่องที่พนักงานมีตาหามีแววไม่ดูถูกลูกค้าจนโดนปลดออกเมื่อครั้งก่อน เรื่องนั้นยังติดอยู่ในใจของเธอ เธอไม่กล้าดูถูกใครอีก เพราะทุกคนที่มาที่นี่อาจเป็นผู้บริโภคและอาจเป็นคนรวยโดยที่เธอไม่รู้
เย่ชิงหยู่อึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพูดว่า “คือฉันมาหาเขาเพราะมีธุระ แต่ไม่สามารถพูดกับเธอได้ เธอติดต่อเขาได้ไหม บอกเขาว่าฉันเป็นภรรยาของฟางเหยียน”
พนักงานขายพยักหน้า จากนั้นจึงเดินไปที่เคาน์เตอร์เพื่อโทรหาบอส
หลังจากผ่านไปสิบนาที หลิวเหอฉางมาถึงที่ร้าน
“คุณเย่ชิงหยู่” เขาเอ่ยทักทายอย่างนอบน้อม และยิ้มอย่างเป็นกันเอง
จริงๆ เย่ชิงหยู่ไม่ได้รู้จักกับหลิวเหอฉางขนาดนั้น เคยเจอกันที่ร้านหยกวี่ผิ่นเซวียนเมื่อครั้งก่อน
“หลิวเหอฉาง ฉันมาหาคุณเพราะมีเรื่องอยากจะถาม รบกวนคุณด้วย” เย่ชิงหยู่พูดอย่างเกรงใจ
หลิวเหอฉางชี้ไปอีกทาง จากนั้นจึงพูดขึ้นว่า “คุณเย่ชิงหยู่ เราเปลี่ยนที่คุยกันดีกว่านะครับ”
ทั้งสองเดินมาถึงห้องทำงานของหลิวเหอฉาง เขารินชาให้เย่ชิงหยู่ จากนั้นจึงถามขึ้นว่า “คุณมาหาผม มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ”
เย่ชิงหยู่พูดว่า “คือเรื่องมันเป็นแบบนี้ค่ะ ฉันอยากถามคุณเกี่ยวกับเรื่องของฟางเหยียน”
“ผู้มีพระคุณ?” หลิวเหอฉางถามอย่างสงสัย “คุณกำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ ผู้มีพระคุณเป็นสามีของคุณ มีเรื่องอะไรที่คุณไม่รู้ด้วยเหรอครับ จำเป็นต้องมาถามผมด้วยเหรอครับ”
เย่ชิงหยู่พยักหน้า เมื่อมาถึงขนาดนี้เธอไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรอีกแล้ว เธอถามออกไปตรงๆ ว่า “ฉันอยากรู้ว่าแท้จริงแล้ว ฟางเหยียนเป็นใครกันแน่”
“คุณอย่าเข้าใจผิดนะ ฉันแค่รู้สึกว่าเขาไม่เหมือนกับเมื่อก่อนเลย คุณกับเขารู้จักกันดี ฉันเลยอยากรู้ว่าคุณเป็นอะไรกับเขา” เย่ชิงหยู่อธิบาย
หลิงเหอฉางยิ้มบางๆ เขาพยักหน้าเบาๆ แล้วพูดว่า “อันที่จริงผมกับผู้มีพระคุณ เจอกันครั้งแรกนับว่าเป็นโชคชะตา ตอนนั้นผมออกไปทำธุรกิจที่ต่างประเทศ เจอโจรลักพาตัวที่ต่างประเทศ ผมถูกลักพาตัว ต่อมาผู้มีพระคุณช่วยชีวิตผมเอาไว้ ผมจึงจำผู้มีพระคุณได้”
เมื่อเย่ชิงหยู่ได้ยินเช่นนั้น เธอรู้สึกตื้นตันใจเล็กๆ การที่กองทัพสามารถช่วยคนได้ นับว่าเป็นคนที่มีความสามารถมาก จากนั้นเธอจึงถามต่อ “งั้น พวกเขามีฉายาอะไรที่ใช้เรียกฟางเหยียนไหม เช่น ขุนพลหรือหัวหน้าอะไรประมาณนี้”
พูดจบ เธอก็มองหลิวเหอฉางด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความหวัง
หลิวเหอฉางเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นเขาจึงมองเย่ชิงหยู่ด้วยสายตาประหลาด เขาส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่มีครับ คุณเย่ชิงหยู่สงสัยว่าผู้มีพระคุณเป็นขุนพลเหรอครับ” ตอนที่พูดสีหน้าของเขามีรอยยิ้มตลกออกมา
เมื่อเห็นรอยยิ้มติดตลกของเขา เย่ชิงหยู่พูดตะกุกตะกักว่า “ไม่ใช่ ฉันแค่ถามไปอย่างนั้น”
หลิวเหอฉางถอนหายใจออกมา “คุณเย่ชิงหยู่ วันนั้นผู้มีพระคุณมาซื้อของที่ร้านผม เขาถูกพนักงานที่ไม่ดูตาม้าตาเรือพูดดูถูก เพื่อที่จะแสดงคำขอโทษและตอบแทนพระคุณที่เขาได้ช่วยผมไว้ในตอนนั้น ผมจึงเลือกของที่ล้ำค่าให้เขาสองชิ้น แน่นอน อย่างที่พวกคุณรู้ มันเป็นสิ่งล้ำค่าที่มีราคาสูงมาก มันเป็นของบรรพบุรุษ ผมเลยเก็บมันไว้ ถ้าว่ากันตามเหตุผลแล้ว ของราคาสูงขนาดนี้ไม่ควรที่จะมอบให้ใคร แต่ยังไงของพวกนี้ก็เป็นของนอกกาย มีไว้ก็ไม่รู้จะเอาไปไหน ตายไปก็เอาไปด้วยไม่ได้ ถ้าตอนนั้นผู้มีพระคุณไม่ช่วยผมไว้ ผมคงไม่มีชีวิตอยู่แล้ว แล้วของพวกนี้จะทำอะไรได้ล่ะครับ เงินเป็นของนอกกายสำหรับคนที่ใกล้จะลงโลงอย่างผมแล้วล่ะครับ”
คำพูดของหลิวเหอฉางคลายปมในใจของเย่ชิงหยู่ ครั้งนี้หลิวเหอฉางเป็นคนพูดด้วยตัวเอง
“ถึงผมจะไม่รู้ว่าผู้มีพระคุณเป็นใคร แต่การที่เป็นทหารปกป้องประเทศก็สมควรได้รับการเคารพแล้วล่ะครับ อีกอย่างนี่มันยุคสมัยไหนแล้ว ไม่มีสงคราม จะมีขุนพลหรือแม่ทัพได้ยังไงกันครับ”
เมื่อได้ฟังคำพูดของหลิวเหอฉาง เหมือนเย่ชิงหยู่ยกภูเขาออกจากอก
หรือเธอจะคิดมากไปจริงๆ เธอตีหัวตัวเอง แล้วพึมพำขึ้นมาว่า “ทำไมฉันต้องเชื่อคำพูดของตาเฒ่า แล้วคิดว่าฟางเหยียนเป็นขุนพลด้วยล่ะ ถ้าเขาเป็นจริงๆ มีความจำเป็นอะไรที่เขาต้องแอบซ่อนมันไว้ล่ะ”
เมื่อคิดได้เช่นนั้น เธอจึงบอกลาหลิวเหอฉาง และออกจากร้านหยกตี้เซิ่งหยวน
เมื่อเย่ชิงหยู่ออกไปแล้ว หลิวเหอฉางจึงโทรออกไปหาใครคนหนึ่ง
“ฮัลโหล ผู้มีพระคุณ ผมพูดตามที่คุณสั่งแล้วครับ”
“อ้อ ผู้มีพระคุณ ผมมีอยู่เรื่องหนึ่งที่ไม่เข้าใจ ทำไมคุณถึงไม่บอกคุณเย่ชิงหยู่ว่าคุณเป็นใครล่ะครับ”
พอถามจบ เขารู้สึกว่าตัวเองพูดมากเกินไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงรีบพูดขึ้นว่า “ผู้มีพระคุณ ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น ผมแค่รู้สึกแปลกใจนิดหน่อยครับ!”
ตำแหน่งพลตรีเท่ากับผู้มีตำแหน่งสูงในสมัยโบราณ ตำแหน่งนี้น่าเคารพและสูงส่งเป็นอย่างมาก
แต่เรื่องของคนแบบนี้ เขาไม่ควรถามให้มากความ เพราะเขายังไม่มีสิทธิ์ขนาดนั้น
“สิ่งที่นายรู้ อย่าถาม สิ่งที่นายไม่รู้ อย่าพูด”
เขาพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้นและตัดสายไปทันที