“เคล็ดวิชาหลอมจิตวิญญาณระดับสาม จะฝึกให้ถึงระดับนี้มันง่ายขนาดนั้นเชียว ในตอนนั้นที่ข้าฝึกฝนในระดับที่สอง ก็ใช้เกือบจะหมดทุกวิถีทางแล้ว หากต้องเพิ่มขึ้นอีกระดับหนึ่งแล้วล่ะก็ ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้!” หานลี่ตอบกลับอย่างไม่มีอะไรจะเอ่ยต่อ
“การต่อสู้ระหว่างท่านกับนางพญาหนอนข้าวเมื่อสักครู่นี้ เราได้มองเห็นมันผ่านวงเวทย์นี้ไกลๆ แล้ว ร่างของท่านนั้นแข็งแกร่งมาก และไม่ได้น้อยไปกว่าเก้าในสิบของเซียนบริสุทธิ์เลยสักนิด แต่ด้วยสิ่งนี้ นอกเหนือจากคำแนะนำบางอย่างของเรา ทำให้ในการฝึกฝนจนถึงเคล็ดวิชาหลอมจิตวิญญาณระดับสามไม่ได้ยากอย่างที่ท่านคิดเลย ถึงแม้ว่าตอนนั้นเรายังไม่เคยได้ฝึกฝนเคล็ดวิชานี้ แต่ในฐานะที่เป็นผู้ตรวจตรา เคยจับกุมผู้ที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาต้องห้ามนี้มาบ้าง จากคำพูดของพวกเขา ก็พอจะรู้ว่าเคล็ดการฝึกฝนวิชานี้ ว่าเป็นเรื่องที่ง่ายดาย” ชายผู้นั้นเอ่ยขึ้นด้วยความมั่นใจ
“ท่านอาวุโสอาจทำให้ชนรุ่นหลังลำบากใจ การฝึกฝนเคล็ดวิชานี้แล้วครั้งหลังจากนี้ก็อาจจะเกิดปัญหาที่ไม่รู้จบสิ้น เรื่องที่จะฝึกฝนวิชานี้เพิ่มอีกหนึ่งระดับ ชนรุ่นหลังจำเป็นจะต้องคิดให้ถี่ถ้วนเสียก่อน ไม่เช่นนั้นต่อไปแม้ว่าจะทะยานขึ้นสู่แดนเซียนแล้ว ไม่ใช่ว่าจุดจบคงโดนคนรังเกียจอย่างนั้นหรือ” หานลี่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะฝืนยิ้มเอ่ยขึ้น
“เรารู้ความคิดของสหายดี ว่าอาจจะยังไม่ทันเชื่อคำที่เราพูด ไม่เป็นไร ด้วยพลังยุทธ์ของท่านในตอนนี้ ต่อให้ท่านไม่ได้ฝึกฝนเคล็ดวิชาหลอมจิตวิญญาณต่อไป แต่อย่างมากหลายพันปี อย่างน้อยหลายร้อยปี ตัวท่านเองก็จะพบว่าทะเลแห่งจิตวิญญาณมีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นบ้าง พอถึงเวลานั้น ท่านอาจจะมาตามหาตัวเราเอง ตอนนี้สหายถึงกับคิดเรื่องหลังจากทะยานขึ้นสู่แดนเซียนแล้ว ไม่รู้สึกว่าเร็วเกินไปหรือ คิดเรื่องหลุดพ้นอันตรายจากการตกลงมา และเรื่องสามารถอาศัยเคล็ดวิชานี้ขึ้นสู่แดนเซียน จะมีความเป็นจริงมากกกว่า” ชายผู้นั้นเอ่ยขึ้นเบาๆ และน้ำเสียงมีความบีบบังคับหานลี่อยู่นัยๆ
“ขอบใจท่านอาวุโสที่เข้าใจในความรู้สึก เรื่องนี้นั้นเกี่ยวข้องกับการฝึกฝนต่อไปในอนาคต จึงจะต้องมีความระมัดระวังเอาไว้ ชนรุ่นหลังจะต้องใช้เวลาพิจารณาสักหน่อย แล้วจะรีบตอบกลับท่านอาวุโสให้โดยเร็วที่สุด แต่ว่ายังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องการจะถามท่านผู้อาวุโส?” สีหน้าหานลี่เปลี่ยนแปลงไป หลังจากผ่านไปครึ่งวันถึงได้ถอนหายใจและเอ่ยตอบ
“อ่อ ท่านยังอยากรู้เกี่ยวกับเรื่องอะไร?” ชายผู้นั้นไม่ได้ตอบคำกลับหานลี่ด้วยความประหลาดใจ และเอ่ยถามกลับหนึ่งประโยคอย่างราบเรียบ
“ข้าอยากรู้ว่าแดนเซียนนั้นแท้จริงแล้วเป็นอย่างไร” หานลี่ถามขึ้นพร้อมกับสายตาที่เป็นประกาย
“เหอๆ แดนเซียนงั้นหรือ ตอนนี้นั้นสำหรับท่านนั้นยังเร็วเกินไป หากไม่ใช่เพราะอยากรู้จริงๆ แล้วล่ะก็ ตอนที่ชิงทะยานขึ้นไปก่อน ข้าถึงจะสามารถบอกเรื่องที่ท่านควรรู้บางอย่างได้ แต่หาใช่ตอนนี้ไม่ เราสามารถบอกได้เพียงแค่ว่า “กว้าง” เท่านั้น เมื่อถึงแดนเซียน ท่านถึงจะเข้าใจความกว้างในแต่ละอาณาเขตแดนเซียนเอง ถึงแม้ว่าเซียนท่านหนึ่งจะใช้เวลาทั้งชีวิต ก็ไม่สามารถที่จะเดินไปในที่ที่หนึ่งในอาณาเขตแดนเซียนเกรงว่าจะไม่เป็นที่สนใจ ดังนั้นถึงแม้ว่าสหายจะฝึกฝนเคล็ดวิชาหลอมจิตวิญญาณแล้ว แต่ต้องไม่ไปในเมืองใหญ่ๆ สำคัญในแดนเซียน เดิมทีแล้วยากมากที่จะพบเจอกับผู้ตรวจตราของเรา พูดกันโดยทั่วไป ก็ยังนับว่าปลอดภัยอยู่” ชายผู้นั้นตอบกลับเบาๆ
“ได้ยินท่านอาวุโสกล่าวเช่นนี้แล้ว ชนรุ่นหลังเองกลับมีใจยิ่งอยากจะไปยังแดนเซียนแล้ว” หานลี่ที่ได้ฟังแล้ว ก็ยิ้มออกมา
“แดนเซียนไม่ว่าจะเป็นทรัพยากรในการฝึกฝน หรือว่าแต่ละชิ้นส่วนสมบัติสวรรค์ ไกลเกินกว่าที่แดนเบื้องล่างจะเปรียบได้ ไม่เช่นนั้น เราคงไม่จำเป็นต้องลำบากแสวงหาหนทางกลับไปอีกครั้งเลย เอาล่ะ ในเมื่อท่านไม่คิดที่จะรับปากคำขอร้องการแลกเปลี่ยนของเราในทันที เช่นนั้นเราเองก็ไม่รั้งท่านไว้นานนักหรอก ตรงนี้เรามีของหนึ่งสิ่ง ค่อนข้างที่จะมีประโยชน์ต่อท่านเช่นเดียวกัน ลองหยิบมันไปใช้ดูก่อนถือเสียว่าเป็นสิ่งตอบแทนในการฆ่านางพญาหนอนข้าวนั่นได้ เฮอๆ ในชีวิตนี้เราไม่เคยเป็นหนี้น้ำใจใคร”
หลังสิ้นเสียงลง เสียง “ชิ่ว” ก็พลันดังขึ้น แสงสีขาวก็ลอยออกมาจากขันโบราณ
หลังจากที่หานลี่กวาดความคิดอย่างรวดเร็ว สีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป มือข้างหนึ่งคว้าขึ้นไปในความว่างเปล่า ก็รับเอาแสงสีขาวนั้นมาไว้ในมือ ทันใดนั้นแผ่นหยกผลึกใสบางราวกับกระดาษชิ้นหนึ่งก็ปรากฏออกมา ลักษณะภายนอกกลับจารึกอักขระสีเงินสีทองไว้อย่างหนาแน่น ดูแล้วรู้สึกคุ้นเคย แท้จริงแล้วนั้นคืออักษรลูกอ๊อดสีเงินและอักษรจ้วนสีทองทั้งสองแบบคืออักษรที่แท้จริงของแดนเซียน
“นี่คือยันต์วิเศษที่เราพกออกมาจากแดนเซียนในตอนนั้น ข้างในบรรจุด้วยกุหลาบพันปีกลั่นหนึ่งหยด ที่หายากมากในแดนเซียน ซึ่งก็คงเพียงพอต่อการชดเชยที่ท่านเป็นต้นเหตุในการจุดไฟบ่อกำเนิดพลังทั้งหมดก่อนหน้านี้ได้” น้ำเสียงของชายผู้นั้นเอ่ยขึ้นอย่างไม่มีอารมณ์ร่วมเลยแม้แต่น้อย
หานลี่มีปฏิกิริยาสัมผัสได้ผ่านทางนิ้วมือที่สัมผัสบนแผ่นหยกที่กระจายออกมา ของพลังแดนเซียนที่ต่างไปจากพลังธรรมดาโดยสิ้นเชิง ในใจก็รู้สึกดีใจ หลังจากที่รับของมาไว้ในมือแล้ว ก็รีบประสานมือคารวะแสดงความขอบคุณต่อกันไม่หยุด
“ท่านไปได้แล้วล่ะ หากตัดสินใจได้แล้วว่าจะฝึกฝนเคล็ดวิชาหลอมจิตวิญญาณนี้ต่อเมื่อไร แล้วค่อยมาพบเราที่นี่เถิด” หลังจากที่เสียงชายผู้นั้นเอ่ยออกมา ข้างล่างของเท้าหานลี่ก็ปรากฏแสงสีเทาขาวส่องออกมา และพาเขาส่งออกไป
“ได้ฝึกฝนเคล็ดลับวิชานี้แล้ว ยังคิดที่จะล้มเลิก! ในโลกนี้ที่ไหนจะมีเรื่องที่ดีเช่นนี้ ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ของเขา ข้าก็แค่งีบหลับไปช่วงเวลาหนึ่ง แล้วค่อยฟื้นตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก็คงจะได้พบเขาแล้วล่ะ”
หลังจากที่เสียงของชายผู้นั้นเงียบสงัดลงแล้ว ถึงได้มีเสียงเอ่ยขึ้นอย่างเชื่องช้า
แล้วแท่นบูชาทั้งหมดก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เสาทองสัมฤทธิ์ทั้งแปดใกล้เคียงกันนั้นก็คำรามต่อ ทันใดนั้นทั้งเขาป่าหินนั้นก็เปลี่ยนเป็นรูปภาพของวงเวทย์ขนาดใหญ่
หลังจากที่แสวงสว่างกะพริบขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเขาป่าหิน หรือแท่นบูชา เสาสัมฤทธิ์ ก็คล้ายกับว่าเลือนรางราวกับจะหายไป
บนพื้นที่เดิมก่อนหน้านี้ก็กลับมาเป็นพื้นที่ว่างเปล่าขึ้นมาอีกครั้ง
…
หลังจากผ่านไปหนึ่งปี จากที่ห่างออกมาจากขอบเขตบริเวณรอบๆ มารบรรพกาลนับว่าไม่ไกลมากนัก บนยอดเขาขนาดมหึมาสูงกว่าหมื่นจั้งลูกหนึ่ง ชายหนุ่มที่คลุมด้วยชุดสีดำพาดบนไหล่ กำลังนั่งสมาธิอยู่บนก้อนหินขนาดใหญ่ ดวงตาทั้งคู่หลับลงขณะที่กำลังนั่ง
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร สีหน้าของชายหนุ่มทันใดก็เปลี่ยนไป ดวงตาทั้งคู่ก็พลันเบิกขึ้น ลูกตาดำนั้นก็มีหนามสีม่วงบางๆ กระจายออกมา
“ทำไมเป็นเขาที่มา…” สีหน้าของชายหนุ่มค่อยๆ เปลี่ยนไป บ่นขึ้นเบาๆ ในคำพูดนั้นมีความหวาดกลัวคลุมเครืออยู่เล็กน้อย
หลังจากที่ผ่านไปครู่หนึ่ง ขอบฟ้าก็มีเสียงแตกสลายดังขึ้น แสงมหัศจรรย์ก็สว่างขึ้น สายรุ้งสีฟ้าครามกระแทกตาก็แตกกระจายออกมาอย่างโจ่งแจ้ง หลังจากที่เลือนรางไป ก็ขึ้นไปถึงท้องฟ้าเหนือยอดเขายักษ์อย่างแปลกประหลาด
“สหายหยวนเหยี่ยน ท่านช่างตรงต่อเวลานัก เร็วกว่าเวลานัดตั้งสองชั่วยาม!” หลังจากที่แสงสว่างหายไป ชายหนุ่มอายุยี่สิบก็ปรากฏตัวท่ามกลางสีฟ้าคราม หลังจากที่ดวงตากวาดมองไปยังหินขนาดใหญ่เบื้องล่าง รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนมุมปากพร้อมกับเอ่ยขึ้น
ชายหนุ่มนี้แท้จริงก็คือหานลี่ ส่วนผู้ที่อยู่เบื้องล่างนั้นคือหยวนเหยี่ยน บรรพชนยิ่งใหญ่แรกเริ่มหนึ่งในสามของเผ่ามาร “ที่นัดข้ามาไม่ใช่ใต้เท้าเองหรือ เป่าฮวาอยู่ที่ไหน หรือว่าทั้งหมดนี้จะเป็นแผนการของนาง” สีหน้าของหยวนเหยี่ยนยังคงไม่เปลี่ยนไป แต่ปากกลับเอ่ยขึ้นอย่างเรียบๆ
“สหายเป่าฮวาตอนนี้ควรจะอยู่ที่หุบเขาหยกเมฆไกลออกไปกว่าร้อยหมื่นลี้ และเหตุผลที่ข้ามาปรากฏอยู่ที่นี่ ก็เพราะว่าได้ตอบรับการนัดหมายของเขา ทำให้สหายต้องหยุดพักอยู่ที่นี่ชั่วคราวอีกช่วงเวลาหนึ่งก่อนค่อยพูดดีกว่า” หานลี่ยิ้ม และเอ่ยจุดประสงค์นี้ออกมาโดยตรงอย่างไร้ซึ่งความกังวล
“หุบเขาหยกเมฆ นั่นคือสถานที่พักฟื้นรักษาตัวจากอาการบาดเจ็บชั่วคราวระดับหก! พูดขนาดนี้ เป่าฮวาตัดสินใจที่จะเป็นผู้ช่วยเขาแล้ว เตรียมพร้อมที่จะหวนคืนตำแหน่งบรรพชนแรกเริ่มแล้ว ทางด้านนิพพานส่วนใหญ่ก็คงจะลงมือพันเอาไว้แล้วเช่นกัน และในมหายานภายนอกแดนเหล่านี้ นอกจากใต้เท้า เกินกว่าครึ่งที่ยังสามารถพันนิพพานได้ก็มีเพียงแค่ผู้เฒ่าถ่งยาท่านนั้นแล้ว ก็ไม่รู้ว่าเป่าฮวาสัญญาอะไรที่มีประโยชน์ให้กับพวกท่านยินดีที่จะนางใช้งาน” สีหน้าของหยวนเหยี่ยนมีความเหยเกเล็กน้อย แต่ก็พอจะเดาออกว่าหานลี่นั้นไม่ได้มีความโกรธเคืองใดๆ หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงได้ถามกลับด้วยความสุขุม
“ใครกันที่รับผิดชอบนิพพานฝั่งนั้น ข้ายังไม่เคยถาม แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นผู้เฒ่าถ่งยาอย่างไม่ต้องสงสัย เพื่อผลประโยชน์อย่างนั้นหรือ หานผู้นี้เองก็ได้รับมาบางส่วน ไม่เช่นนั้นจะมีความหวังที่จะเผชิญหน้ากับบรรพชนแรกเริ่มท่านหนึ่งได้อย่างไรกัน” หานลี่ตอบกลับอย่างไม่รีบร้อน
“หืม ได้ยินคนพูดกันว่า ผู้ที่ฆ่านางพญาหนอนข้าวตนนั้นถึงแม้ว่าจะเป็นลงมือในหลายคนในเวลาเดียวกัน แต่ก็ดูเหมือนว่าผู้ที่ออกกำลังมากที่สุดจะเป็นท่าน ดูเหมือนว่าหลังจากที่เข้าสู่ระดับมหายาน ในที่สุดท่านก็กลายเป็นคนที่สามารถเคียงบ่าเคียงไหล่กับข้าได้แล้ว แต่ว่าหากท่านคิดว่าข้าจะจากไปจริงๆ ล่ะก็ ท่านสามารถที่จะหยุดได้หรือไม่?” แสงสีม่วงประกายขึ้นในดวงตาหยวนเหยี่ยนไม่หยุด แต่คำพูดจากปากของเขากลับค่อยๆ เย็นลงเรื่อยๆ
“การที่ฆ่านางพญาหนอนข้าวตนนั้นได้ ก็คือผลของการร่วมมือกันของหลายๆ คน ถึงแม้ว่าหานคนนี้เองก็มีประโยชน์เล็กน้อย กลับไม่กล้าถือว่าตนมีความดีความชอบ สำหรับสหายรู้สึกว่าหลังจากที่หานคนนี้ได้ลงมือไป ยังมีความเชื่อมั่นว่าจะจากไปได้อย่างปลอดภัยแล้วล่ะก็ ก็จะลองพยายามดู” หานลี่เผชิญหน้ากับสถานการณ์นี้ เพียงแค่เอ่ยขึ้นเบาๆ สองประโยค
หยวนเหยี่ยนหลังจากที่ได้ยินคำพูดของหานลี่ ใบหน้าก็พลันเหยเกเล็กน้อย แต่ดวงตามีความลังเลไม่แน่นอนอยู่
หลังจากที่ชั่วเวลาจิบชาหนึ่งถ้วยเต็มๆ ผ่านไป หยวนเหยี่ยนที่ได้ครุ่นคิดดีแล้ว ถึงได้ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งพร้อมกับเอ่ยขึ้น
“ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ครั้งนี้ที่ข้าสามารถหลบหนีออกจากการผนึกได้ ต้องขอบใจเป่าฮวาที่พาคนมาช่วย ดูจากไมตรีจิตนี้ ฝีมือนางครั้งนี้ ข้าก็จะไม่ก้าวก่าย หากสามารถทำสำเร็จ ข้าจะยอบรับให้เขากลับสู่ตำแหน่งบรรพชนแรกเริ่มใหม่อีกครั้ง หากแพ้แล้วล่ะก็ ข้าก็จะไม่ให้โอกาสกับเขาเป็นครั้งที่สองแน่ ท้ายที่สุดบรรพชนแรกเริ่มยิ่งใหญ่ทั้งสามแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ ก็ล้วนแต่เดินไปข้างหน้าและล่าถอยไปพร้อมๆ กัน”
“สหายสามารถตัดสินใจเช่นนี้ได้ ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ถ้าหากสหายหยวนไม่รังเกียจแล้วล่ะก็ ท่านและข้าก็จะไม่มีโอกาสที่ดีเช่นนี้ แลกเปลี่ยนการประสบการณ์ฝึกฝนว่าเป็นเช่นไร?” หานลี่ที่ได้ยินดังนั้น ก็รู้สึกยินดีและผ่อนคลาย ทันใดนั้นใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มก็เอ่ยขึ้น
“หลังจากที่ข้าเข้าสู่ระดับของสหายหาน ศักยภาพแข็งแกร่งที่น่าตกใจนั้นไม่นานก็เพิ่มทวีคูณถึงขั้นนี้ก็น่าสนใจเช่นเดียวกัน ท่านและข้าแลกเปลี่ยนกันสักหน่อยก็ดี!” ครั้งนี้หยวนเหยี่ยนครุ่นคิดเล็กน้อย ก็ตอบรับทันที
หานลี่ได้ยินเช่นนั้นก็ไม่เกรงใจ หลังจากที่ยกมือพุ่งไปยังด้านล่างเล็กน้อย ทันใดนั้นก้อนหินยักษ์บนยอดเขาก็โผล่ขึ้นมา หลังจากเกิดการเคลื่อนย้าย ก็ร่วงหล่นอย่างรุนแรงลงต่อหน้าหยวนเหยี่ยนไปไม่ไกล หานลี่ที่เห็นดังนี้ ร่างของหานลี่ก็มีแสงส่องประกาย และค่อยตกลงมาจากที่สูงสู่ด้านล่าง
…
ไม่รู้ว่าอีกทะเลสาบยักษ์ที่อยู่เหนือเกาะนั้นอยู่ไกลแค่ไหน ใบหน้าไร้ความรู้สึกของผู้เฒ่าถ่งยาล่องลอยอยู่กลางอากาศ
…
บริเวณตรงข้ามกับเขา มีชายหนุ่มรูปงามที่ทั้งร่างห่อหุ้มด้วยชุดเกราะผลึกแววใส มองไปยังชายชราตรงหน้าอย่างเย็นชา บนใบหน้าปรากฏความประสงค์ร้ายออกมาอย่างเลือนราง
…
กลางหุบเขาลูกหนึ่งที่เต็มไปด้วยต้นไผ่เขียวขจี กลุ่มหมอกสีขาวกว้างใหญ่ ทะเลหมอกที่ไร้ขอบเขตก็ปรากฏออกมาให้เห็น และหุบเขาทั้งหมดก็ถูกปกคลุมอยู่ในนั้น
และใจกลางทะเลหมอกนั้น เสียงคำรามและเสียงแตกร้าวเกิดขึ้นมาต่อเนื่องกันไม่ขาด ในเกลียวหมอกสีขาวที่กำลังกลิ้งอยู่นั้น กลีบดอกสีชมพูเลือนรางนับไม่ถ้วนก็วนเวียนลอยขึ้นลงไม่หยุด