“ละทิ้งการฝึก เจ้าตั้งใจทำมันเองหรือ” หานลี่หรี่ตา ท่าทางเหมือนไม่เชื่อคำพูดของนาง
“หากข้าไม่ละทิ้งการฝึก เป่าฮวาไม่มีทางไล่ข้ามาที่แดนรกร้างเช่นนี้หรอก ฆ่าข้าคงง่ายมากกว่า ในตอนนั้นข้าเป็นคนที่นางไว้ใจมากที่สุด แต่ก็หักหลังนางได้เจ็บที่สุด ครั้งนี้ข้าน้อยสามารถรักษาชีวิตของตัวเองไว้ได้ ก็ถือว่าเหนือความคาดหมายมากแล้ว” หยวนซาอธิบายเบาๆ
“อย่างนี้นี่เอง ในตอนนั้นเหมือนเจ้ากับเป่าฮวาจะสนิทกันมาก เมื่อเป็นแบบนี้แล้วก็ยังยอมปล่อยเจ้ามา” หานลี่พยักหน้าพร้อมแสดงสีหน้าครุ่นคิด
“สหายหาน ในตอนนั้นข้าได้ล่วงเกินท่านไป แต่ตอนนี้พลังของข้าไม่มีแล้ว ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของท่านอีกต่อไป เมื่อเราได้เจอกัน ท่านจะทำอย่างไรกับข้า จะแก้แค้นหรือไม่” สายตาของหยวนซาฉายแววความประหลาดแล้วถามขึ้นมาอย่างช้าๆ
“หากเป่าฮวาไม่ได้ลงโทษอะไรเจ้า ความจริงข้าเองก็อยากจะแก้แค้นเรื่องในตอนนั้น แต่ว่าความคิดเช่นนั้นจางหายไปมากแล้ว ระดับการฝึกของเจ้าเสียหาย แม้แต่สภาพจิตใจยังทรุดโทรม ยืนหยัดมาได้ถึงตอนนี้นับว่าไม่เลวแล้ว หากเจ้าอยากกลับไปในระดับมหาเมธีอีกล่ะก็ คงไม่มีหวังแล้ว เจ้าที่เคยเป็นบรรพบุรุษระดับมหาเมธี ข้าเองก็ไม่อยากทำอะไรที่มันเกินขอบเขต เจ้าตัดแขนของเจ้าออกมาข้างหนึ่งก็แล้วกัน หากเป็นเช่นนี้ ความแค้นในตอนนั้นก็ถือว่าสิ้นสุดกันเท่านี้” หลังจากหานลี่เงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็พูดออกมา
“แขนข้างหนึ่งหรือ ง่ายดายเช่นนั้น ไม่มีปัญหา” หยวนซาได้ยินดังนั้นก็ตกใจ และรีบตอบตกลงด้วยรอยยิ้มขมขื่น
สิ้นเสียง นางก็ยกแขนขึ้นมา จากนั้นก็ลำแสงสีขาวก็พุ่งออกมาจากปากของนาง ลำแสงนั้นเข้าโอบล้อมแขนข้างที่ยกอยู่
แขนของนางข้างนั้นตกลงไปที่พื้นอย่างเงียบๆ บาดแผลที่แขนนั้นไม่มีเลือดออกเลยแม้แต่น้อย ปากแผลเรียบเนียนเหมือนกระจก
“ฟู่” แขนอีกข้างของหยวนซาเรียกพลังออกมากดทับแขนที่อยู่ที่พื้นจนแขนข้างนั้นเลือดสาดกระจายเป็นเม็ดฝน ไม่เหลือเค้าเดิมอีกเลย
“ข้าน้อยไปได้แล้วหรือยัง” หลังจากที่หยวนซาทำลายแขนของตัวเองไปแล้ว ใบหน้าของนางก็ซีดลงมากกว่าเดิม
“ได้ เจ้าไปได้แล้ว” หานลี่หยักหน้า เขาไม่มีเจตนาที่จะทำให้อีกฝ่ายลำบากใจ
“ข้าน้อยขอบคุณสหายหานที่ใจกว้าง พวกเราคงไม่มีโอกาสได้เจอกันอีกแล้ว” หยวนซาขยับใบหน้าเล็กน้อย นางทำความเคารพหานลี่ ร่างของนางกลายเป็นแสงสีฟ้าแล้วลอยหายไป
ผู้หญิงผู้นั้นที่อยู่ในแสง เดิมทีนางได้รับบาดเจ็บที่แขน แต่ตอนนั้นนางเรียกปราณดำควบรวมจนสามารถงอกแขนขึ้นมาใหม่ได้ แต่อย่างไรแขนข้างนี้ก็อาจจะไม่คล่องตัวเหมือนเดิม ปราณในร่างกายก็เสียหายอย่างหนัก แต่ว่ามันก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
“พี่หาน พี่จะปล่อยนางไปแบบนี้จริงๆ หรือ ไม่กลัวว่านางหาโอกาสกลับมาแก้แค้นพี่อีกครั้งหนึ่งหรือ” ตอนแรกอิ๋นเย่ว์ก็ยืนมองสถานการณ์เงียบๆ อยู่บนเรือ จนในที่สุดนางก็อดถามขึ้นมาไม่ได้
“ในเมื่อเป่าฮวาปล่อยให้นางมีชีวิตรอด ข้าเองก็ไม่อยากทำเกินหน้าที่โดยการฆ่านาง ใครจะรู้เรื่องความสัมพันธ์ที่แท้จริงของพวกนาง เป่าฮวายังสามารถละทิ้งเรื่องในตอนนั้นอย่างง่ายดาย เห็นได้ชัดว่าความสัมพันธ์ของพวกนางมีอะไรมากกว่าที่คนอื่นเห็น เราจะไม่มาเยือนแดนมารอีก แต่ก็คงไม่ดีที่จะสร้างสัมพันธ์กับบรรพบุรุษแดนมารท่านนี้ ส่วนเรื่องแก้แค้น ความหวังริบหรี่ที่จะขึ้นไปในระดับมหาเมธีอีกครั้ง ก็โดนทำลายอย่างย่อยยับแล้ว เกรงใจว่านางคงไม่มีหน้าไปมองใครแล้วล่ะ อีกทั้งนางไม่สามารถข้ามไประดับมหาเมธีได้อายุขัยของนางก็เหลือน้อยลงทุกวัน ดังนั้นไม่จำเป็นต้องกังวลหรอก” หานลี่ส่ายหน้าแล้วตอบ
“ก็จริง แม้ว่านางจะไม่มีค่าให้พี่หานใส่ใจ แต่น้องสาวก็ยังอารมณ์เสียอยู่เล็กน้อย ตอนนั้นในแดนมนุษย์ ผู้หญิงคนนี้เกือบจะฝังข้าไว้ในเขาคุนอู๋ ข้าอยากให้เขามีจุดจบเช่นนั้นบ้าง” อิ๋นเย่ว์มองตามทางที่หยวนซาหายตัวไป แล้วถอนหายใจออกมา
นางไม่ได้ไม่เห็นใจอดีตบรรพบุรุษเผ่ามารคนนี้หรอก แต่อดีตกับปัจจุบันมันต่างกันเกินไป จนนางรู้สึกสับสน
“หยวนซาไม่ได้ทำร้ายเรา ก็ไม่ต้องไปสนใจหรอก พวกเรารีบออกไปตามหาขุมสมบัติชีหลิงต่อเถอะ จะได้ไม่ต้องมีปัญหายุ่งยาก” หานลี่พูดเสียงเรียบ
“ที่พี่หานพูดมาก็มีเหตุผล”
หลังจากมีเสียงครืนๆ ของเรือบินดังขึ้น มันหันหลังกลับแล้วออกเดินทางตามเส้นทางเดิม
ครึ่งวันต่อมา คนสองคนที่นั่งอยู่บนเรือเหาะได้พบความผิดปกติของธารน้ำแข็ง
ความผิดปกติที่ว่าคือ ใจกลางของธารน้ำแข็งมีทะเลสาบสีเขียวที่ไม่ควรปรากฏอยู่
ทะเลลสาบแห่งนั้นมีขนาดพันกว่าหมู่ ดูจากภายนอกมีไอร้อนโชยขึ้น และฟองขึ้นเหมือนน้ำเดือด
รอบๆ ทะเลสาบยังมีไม้พุ่มเตี้ยๆ สีเขียวดำอยู่ ราวกับเป็นสวรรค์ในธารน้ำแข็ง
เรือบินลดระดับต่ำ ร่อนลงข้างๆ ทะเลสาบแห่งนั้น
หานลี่ยืนอยู่หน้ากระด้งเรือและมองไปที่ทะเลสาบนั้นอย่างสำรวจ จากนั้นเขาก็ยิ้มขึ้นแล้ว
“น่าสนใจ”
“พี่หาน ที่แห่งนี้มีปรากฏอยู่ในแผนที่ แต่ขนาดมันดูต่างกันมาก เวลาผ่านไปเช่นนี้ แต่เผ่ามารกลับไม่ได้รู้ถึงที่ซ่อนสมบัตินี้เลยหรือ” อิ๋นเย่ว์ถามอย่างสงสัย
“บรรพบุรุษชีหลิงคนนั้นเป็นระดับมหาเมธีของเผ่ามาร จะซ่อนให้พวกมารระดับสูงเจอได้อย่างไร หากระดับมหาเมธีของเผ่าอื่นมาถึงที่นี่แล้ว แต่ไม่มีแผนที่ล่ะก็ เกรงว่าไม่น่าจะหาสมบัติอะไรเจอ” หานลี่ยิ้ม แล้วสะบัดแขนเสื้อไปทางทะเลสาบแห่งนั้น
เสียงระเบิดดังสนั่น!
อิฐผลึกสี่ก้อนพุ่งออกมาทันที จากนั้นลำแสงห้าสีก็หมุนวนไปรอบๆ และหยุดนิ่งอยู่เหนือทะเลสาบ
หานลี่ใช้มือข้างหนึ่งร่ายคาถา มืออีกข้างลากเส้นตามอักษรคำว่า “เปิด”
“ตูม” เสียงหนึ่งดังขึ้น
อักษรรูนจำนวนนับไม่ถ้วนไหลออกมาจากผลึกทั้งสี่ก้อน อักษรเหล่านั้นหมุนวนไปมา จากนั้นก็กลายเป็นวงแหวนแสงห้าสี
โดยไม่รอให้หานลี่กระตุ้นคาถาอะไรอีก วงแหวนแสงอันนั้นก็หมุนขึ้นมา ใจกลางของวงแหวนนั้นมีเสียงระเบิดดังขึ้น ลำแสงสีเทาสายหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมา หลังจากนั้นมันหายตัวลงไปในทะเลสาบอย่างไร้ร่องรอย
ทันใดนั้นเอง กลางทะเลสาบก็มีเสียงระเบิดดังสนั่น
เกิดเป็นระลอกคลื่นรุนแรงที่ผิวน้ำของทะเลสาบ ด้านล่างของวงแหวนก็มีน้ำวนสีดำปรากฏขึ้น จากนั้นก็มีเส้นไหมสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมา
“นี่คือทางเข้าของขุมสมบัติชีหลิง ซ่อนได้ลึกลับจริงๆ ด้วย แต่ว่าหากอยากได้สมบัติของที่นี่ เกรงว่าต้องแลกด้วยมือและเท้า” อิ๋นเย่ว์มองเหตุการณ์ด้านหน้าแล้วพูดอย่างตื่นเต้น
“ไปกันเถอะ ต่อให้ที่นี่มีข้อแลกเปลี่ยนอะไร ก็อย่าหวังว่าจะขวางทางพวกเราได้” หานลี่ยิ้มขึ้นเบาๆ เขาพูดอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นแสงก็สว่างวาบขึ้น เรือเหาะก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ร่างของพวกเขาทั้งคู่ ตรงเข้าไปที่หลุมดำกลางทะเลสาบ
พวกเขาจมหายเข้าไปในกระแสน้ำวนทีละนิด วงแหวนแสงห้าสีก็ระเบิดเสียงดัง ผลึกอิฐทั้งสี่ก็ลอยตามเข้ามาในกระแสน้ำวนแห่งนี้
หลังจากนั้นน้ำวนสีดำที่อยู่กลางทะเลสาบก็หายไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เวลาค่อยๆ ผ่านไป พื้นน้ำของทะเลสาบกลับมานิ่งสงบดังเดิม ราวกับมันเป็นเช่นนี้มาตลอด ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ภายในเขาวงกตไม่ทราบชื่อใต้ทะเลสาบ หานลี่กับอิ๋นเย่ว์เดินข้างกันช้าๆ รอบพวกเขาทั้งสองเต็มไปด้วยเสาขนาดใหญ่
เสาพวกนี้สูงหลายสิบจั้ง และพวกมันอบอวลไปด้วยปราณดำ และยังได้ยินเสียงร้องห่มร้องไห้เหมือนผีสางแว่วมาอีกด้วย
หากเป็นผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไปที่ได้ยินเสียงนี้ เกรงว่าจะปวดหัวและหมดสติทันทีที่ได้ยิน แต่ร่างกายของอิ๋นเย่ว์มีเกราะเรืองแสงสว่างขึ้นมาเพื่อปกป้องนางจากเสียงเหล่านั้น ส่วนหานลี่ก็เดินเหมือนปกติ เหมือนเขาไม่ได้เห็นเสาพวกนี้ในสายตาเลย กลางอากาศเหนือเสาเหล่านี้ มีหมอกสีดำปกคลุมอยู่เต็มไปหมด ทันใดนั้น ปราณดำจากหินที่อยู่บริเวณใกล้ๆ ก็พุ่งออกมากลายเป็นหมาป่าตัวใหญ่หลายตัว ท่าทางดุร้าย หานลี่เดินไปไม่หยุด หมาป่าสามตัวที่อยู่ด้านหน้าเขาก็ส่องแสงสีเทาขึ้น และหายไปอย่างไร้ร่องรอยอีกด้านหนึ่งหมาป่าสองตัวพุ่งเข้าใส่อิ๋นเย่ว์ แต่มีหมาป่าสีเงินอีกตัวปรากฏออกมา
เมื่ออสูรหมาป่าสีเงินอ้าปาก มันก็สามารถกัดเงาของหมาป่าสีดำสองตัวได้ในคำเดียว สักพักมันก็หายไปอย่างน่าประหลาด
ทั้งสองคนเดินไปไม่หยุด เสาที่อยู่รอบข้างก็ค่อยๆ หายไป
“พี่หาน พวกเราจัดการไปกี่ชุดแล้ว” อยู่ๆ อิ๋นเย่ว์ก็ถามขึ้นมา
“ชุดที่เจ็ดล่ะมั้ง” หานลี่ตอบเสียงเรียบ
“ท่านบรรพบุรุษชีหลิงคนนี้มีชื่อเสียงอย่างมาก ค่ายกลของเขาคงไม่มีเท่านี้หรอก ค่ายกลที่ผ่านมาแทบจะทำอะไรพี่ที่เป็นระดับมหาเมธีไม่ได้เลย ต่อให้น้องสาวที่อยู่ระดับผสานอินทรีย์ก็ยังคิดว่าไม่ยากที่จะจัดการ” อิ๋นเย่ว์กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เมื่อเจ้าคิดเช่นนั้น เกรงว่าตกหลุมแผนการของชีหลิงคนนั้นแล้วล่ะ” หานลี่ได้ยินดังนั้นก็กล่าวขึ้นอย่างสบายๆ
“อะไรนะ นี่พี่หานหมายความว่า…” อิ๋นเย่ว์ตกใจเล็กน้อย ในขณะเดียวกันก็มึนงงอย่างมาก
“เจ้าคิดว่าเสาพวกนั้นทำได้เพียงปล่อยคลื่นเสียงชั่วร้ายและส่งร่างของเงามายาออกมาไม่กี่ตัวงั้นหรือ” หานลี่พูดด้วยรอยยิ้ม
“หรือว่าเสาพวกนี้มันจะทำอะไรอย่างอื่นได้” อิ๋นเย่ว์เข้าใจความหมายของหานลี่ จึงถามออกมาอย่างตกใจ
“เจ้ามาดูนี่ แล้วเจ้าจะรู้ทันที”หานลี่ยกยิ้มขึ้น จากนั้นก็แบมือพร้อมคว้าความว่างเปล่าที่อยู่ด้านหน้า
“ตูม” เสียงระเบิดดังขึ้น
เปลวเพลิงสีเงินก็ปรากฏขึ้นที่กลางผ่ามือของเขา พริบตาเดียวก็มีอะไรสักอย่างปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า นิ้วทั้งห้าคว้าสิ่งนั้นแน่น แล้วกำมันไว้
ดวงตากลมโตของอิ๋นเย่ว์เบิกกว้างขึ้น นางจ้องมองเข้าไปในเปลวเพลิงสีเงินโดยไม่กะพริบตา
หานลี่ยิ้มเล็กน้อย แล้วค่อยๆ แบมือของเขาออกมา