หานลี่เอื้อมมือออกไปพุ่งไปยังหอกสีฟ้าโบราณนั้นเป็นอันดับแรก
จู่ๆ พื้นผิวของสิ่งนี้ก็สั่นไหวเปล่งแสงสีฟ้าออกมา เสียง “สวบ” ดังขึ้นมาทางหานลี่
หานลี่เหยียดแขนออกมา แล้วจับหอกสีฟ้านี้เอาไว้ในมือได้อย่างง่ายดาย เขาเหวี่ยงไปยังด้านหน้า หลังจากที่จ้องมองดูแล้ว จากนั้นก็เผยยิ้มแล้วส่งไปยังอิ๋นเย่ว์ เอ่ยออกมาว่า
“สมบัติชิ้นนี้คงจะเป็นชิ้นที่เหมาะจะนำมาหลอมเป็นของศักดิ์สิทธิ์ในแดนสวรรค์ทมิฬ สำหรับข้าแล้วไม่มีประโยชน์อันใด แต่มันคงจะเหมาะกับเจ้าเข้าพอดี”
“ขอบใจพี่หานมาก ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะไม่เกรงใจแล้วนะ” ในใจของอิ๋นเย่ว์ยินดียิ่งนัก รับหอกโบราณนี้มาโดยไม่ได้ปฏิเสธ แล้วจึงตรวจดูอย่างยินดี
ในเวลานี้ หานลี่ก็ขยับมือออกไปอีกครั้ง น้ำเต้าสีเหลืองนั้นก็ทะลุตกลงมาในมือของเขา
“นี้คือ…” หานลี่ตรวจดูของในมือ ใบหน้าของเขาดูประหลาดใจอยู่เล็กน้อย แต่หลังจากที่ครุ่นคิดแล้ว พลิกฝ่ามือกลับมา แล้วเก็บน้ำเต้านี้ไปอย่างเงียบๆ จากนั้นก็มองไปยังสมบัติล้ำค่าชิ้นสุดท้ายในสามสิ่งนี้ เรือเหาะสีดำลำเล็กนั้น เห็นได้ชัดว่าน่าจะเป็น “เรือศักดิ์สิทธิ์วิญญาณน้ำหมึก” ที่เล่าลือกันมาๆ หานลี่หรี่ตาลงจ้องมองมันอยู่ครู่หนึ่ง ใบหน้าเผยรอยยิ้มออกมาอีกครั้ง แล้วพุ่งไปยังอากาศในจุดของเรือลำนี้
เสียง “ปัง” ดังออกมา
เรือเหาะลำสีดำสั่นไหวเล็กน้อย แล้วค่อยๆ ลอยขึ้นเหนือแท่นหินด้วยตัวของมันเอง จากนั้นก็ค่อยๆ มีอักษรโบราณสีดำสนิทโผล่ออกมาจากพื้นผิวของมัน รูปร่างของมันก็เริ่มที่จะขยายใหญ่ขึ้นมา ถึงกระทั่งที่ว่าสมบัติล้ำค่าชิ้นอื่นภายในห้องโถงนั้นก็ส่งเสียงฮุมฮัมออกมาเช่นกัน
…
ครึ่งชั่วยามถัดมา น้ำในท้องทะเลสาบจู่ๆ ก็ม้วนตัวไม่แน่นิ่ง คลื่นทีละลูกที่ละลูกม้วนตัวขึ้นกลางอากาศ ขยายวงกว้างไปทั่วทุกทิศทาง
หลังจากเสียงสะเทือนเลื่อนลั่นดังออกมา!
ทุ่งน้ำแข็งในทะเลสาบกว้างขวางนับไม่ถ้วน ค่อยๆ แหลกลงไปทีละนิ้ว
ท่ามกลางน้ำแข็งและหิมะมากมายนั้น สัตว์ยักษ์ใหญ่ที่เหมือนราวกับภูเขา ค่อยๆ ลอยขึ้นมา
ที่แท้แล้วมันก็คือเรือลำยักษ์ที่ยาวกว่าพันจั้ง
เรือลำนี้สูงมากกว่าสิบชั้น ทั่วทั้งลำเป็นสีดำมันเงา เต็มไปด้วยกลิ่นอายของวิญญาณนับไม่ถ้วน ขณะเดียวกันด้านหน้าและหลังของเรือ ประดับไปด้วยธงขนาดใหญ่สูงต่ำไม่เท่ากันนับสิบ ด้านบนเต็มไปด้วยภาพเหมือนของสัตว์อสูรประหลาดต่างๆ
และด้านบนของดาดฟ้าเรือ มีหุ่นเชิดผลึกมารยืนตรงอารักขาอยู่
เสียงคำรามดังออกมา!
เรือลำยักษ์ก็กลายเป็นลำแสงสีดำแล้วหายไปในอากาศ พริบตาเดียวก็หายไปจากท้องฟ้าอย่างไร้ร่องรอย
…
สองเดือนถัดมา บนเทือกเขาเล็กๆ ที่ไม่รู้ชื่อในแดนวิญญาณ ทันใดนั้นก็เกิดเสียงคำรามดังออกมา หมู่มวลเมฆจากทั่วทุกทิศก็มารวมตัวที่แห่งเดียวกัน แล้วจึงก่อตัวเป็นกระแสน้ำวนดำมืดขนาดใหญ่ขึ้นมา
แล้วจึงระเบิดเป็นระลอกคลื่นออกมา!
เสียงดังราวกับฟ้าร้องดังออกมา เส้นโค้งสีเงินนับไม่ถ้วนถูกดึงเข้าไปพันกันในกระแสน้ำวน จากนั้นเรือลำยักษ์สีดำสนิทก็ค่อยๆ โผล่ออกมา ขณะเดียวกันความว่างเปล่าใกล้ๆ กันนั้นก็ถูกบิดเบือนอย่างรุนแรง ราวกับว่าท้องฟ้าทั้งหมดนั้นกำลังจะแหลกสลายลง
และในแท่นสูงบนชั้นสูงสุดของเรือลำยักษ์นั้น หานลี่ยืนนิ่งหลับตาลงไม่ไหวติง
อิ๋นเย่ว์ยืนอยู่ด้านหลังใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
“ในที่สุดก็ได้กลับมายังแดนวิญญาณแล้ว กลับง่ายกว่าที่คิดเอาเยอะเลย! เรือศักดิ์สิทธิ์ของมารลำนี้ยังมีพลังวิเศษที่ใช้ในการเดินทาง เป็นเรื่องประหลาดใจที่น่ายินดีเสียจริง”
หลังจากที่เรือลำยักษ์ทั้งลำโผล่พ้นออกมาจากกระแสน้ำวน หานลี่ก็ลืมตาขึ้นมา เต็มไปด้วยความพึงพอใจแล้วเอ่ยออกมา
“ทางเข้าที่พวกเราตามหาจนพบนั้นไม่ค่อยที่จะเสถียรนัก แต่เดิมคิดว่าหากเลือกเดินทางกลับมายังแดนวิญญาณจากที่นั่นแล้ว คงจะใช้เวลามากไปกว่านี้” อิ๋นเย่ว์ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ว่าจะอย่างไรแล้ว เข้าไปสู่แดนมารในครั้งนี้ ก็เป็นการเดินทางที่คุ้มค่าแล้ว” หานลี่เอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้ม
“เป็นเช่นนี้จริงแท้แน่นอน!” อิ๋นเย่ว์เมื่อคิดว่าตนเองได้รับสมบัติล้ำค่าที่แอบซ่อนมาจากชีหลิงแล้ว ก็พยักหน้าตอบรับด้วยความยินดี
“เอาล่ะ ในเมื่อกลับมาถึงแดนนี้แล้ว พวกเราก็มาตรวจสอบตำแหน่งกันให้แน่ชัดเสียก่อน จากนั้นก็ค่อยตรงกลับไปยังเกาะศักดิ์สิทธิ์กัน พี่มั่วและรุ่นพี่เอ๋าเซี่ยวคงจะรอพวกเรากันอยู่ที่นั่น” หานลี่ใช้จิตสัมผัสตรวจสอบดูทั้งหน้าหลังของเขาลูกนี้อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เอ่ยออกมาด้วยท่าทีเบาสบาย
“โอ๋ ฟังจากน้ำเสียงของพี่หานแล้ว ที่นี้คงจะห่างจากคนในเผ่าไม่ไกลนัก” อิ๋นเย่ว์รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา
“ถึงแม้ว่าการคำนวณอาจจะมีข้อผิดพลาดอยู่บ้าง แต่ว่าที่ตั้งของที่นี้นั้นกลับอยู่ใกล้กับคนในเผ่ามากกว่าที่คิดเอาไว้” หานลี่เอ่ยตอบกลับ
“เป็นเช่นนั้นก็ดีเลย ถ้าเช่นนั้นก็ไปกันเลยเถอะ” อิ๋นเย่ว์เอ่ยออกมาอย่างยินดี
หานลี่ยิ้มออกมาเบาๆ ไม่ได้ตอบกลับอันใดออกไป เรือศักดิ์สิทธิ์วิญญาณน้ำหมึกใต้กายเขากลับสันไหวขึ้นมา แล้วส่งเสียงหึ่งๆ ออกมา
ส่วนกระแสน้ำวนสีดำที่อยู่ที่เดิมนั้น หลังจากที่เรือลำยักษ์จากมาไม่นานนัก มันก็ค่อยสลายตัวแล้วหายไป
ครึ่งปีต่อมา มนุษย์และมารทั้งสองเผ่านั้นเชื่อมต่อกันโดยใช้ตำแหน่งของเกาะศักดิ์สิทธิ์แห่งนั้น ชายหนุ่มผมสีน้ำเงินคนหนึ่งและชายชรากำลังพูดคุยอะไรกันบางอย่างภายในห้องโถงใหญ่ เป็นบรรพชนเอ๋าเซี่ยวและ
มั่วเจี่ยนหลีสองคนนั่นเอง
ภายในห้องโถงด้านล่างของทั้งสองนั้น ผู้อาวุโสมากกว่าสิบคนของเกาะศักดิ์สิทธิ์ยืนตัวตรงจับมือกันแน่น
“เมื่อคำนวณเวลาดูแล้ว เจ้าเด็กหานก็ควรที่จะกลับมาแล้ว คงจะไม่ได้พบเข้ากับเรื่องอะไรเข้าในแดนมารหรอกนะ”
คราวนี้คิ้วของบรรพชนเอ๋าเซี่ยวขมวดแน่น เอ่ยออกมามีความกังวลอยู่หลายส่วนปรากฏขึ้นบนใบหน้าแก่ชรา
“วางใจได้ขอรับ นักพรตหานในตอนนี้พลังเหนือธรรมชาตินั้น อยู่ไกลเกินกว่าที่ท่านและข้าจะคาดคะเนได้ เทพีหนอนเจาะยังไม่อาจทำอะไรเขาได้ แล้วจะเกิดเรื่องอันใดขึ้นมาได้กัน!” มั่วเจี่ยนหลีส่ายศีรษะตอบออกมา
“อืม จะเอ่ยออกมาเช่นนี้ก็ไม่ผิดนัก แต่ว่าสิ่งมีชีวิตทรงพลังมีมากมายนับไม่ถ้วน เจ้าเด็กนั้นก็ไม่ใช่คนรักความสงบสักเท่าไหร่นัก ผู้ใดจะรู้กันว่าจะไม่ไปยั่วยุสิ่งใดเข้าจนก่อให้เกิดปัญหาขึ้นมา” บรรพชนเอ๋าเซี่ยวเอ่ยออกมาทำปากมุ๋ย
“ฮ่า…ฮ่า ท่านนักพรตเอ๋าเซี่ยว ทำไมถึงได้ฟังน้ำเสียงของท่านแล้วยิ่งเหมือนกับพ่อตาเอ่ยสั่งสอนลูกเขยอย่างไรอย่างนั้น คงจะไม่ใช่ว่าแอบคิดอยู่ในใจ ที่จะจับคู่หลานสาวของท่านกับเจ้าเด็กหานเข้าหรอกนะ!” มั่วเจี่ยนหลีลูบเครา ยิ้มน้อยๆ เอ่ยออกมา
“ถึงแม้ว่าต่อให้ตัวข้าจะมีความคิดเช่นนี้อยู่ แล้วจะมีอันใดแปลกกัน ด้วยความสามารถของหลิงเอ๋อร์แล้ว ไม่ต้องพูดถึงว่าต่อไปจะต้องสำเร็จถึงมหายานอย่างแน่นอน แต่ก็ดูมีความหวังมากกว่าพวกที่อยู่ด้านล่างนี้มากแล้ว อีกอย่าง หากว่าหลานสาวของข้าคนนี้ได้กลายเป็นคู่ของเจ้าเด็กหาน ต่อไปเผ่ามนุษย์และมารทั้งสองเผ่าก็จะเป็นเหมือนกับคนในครอบครัวเดียวกันแล้ว” บรรพชนเอ๋าเซี่ยวกลอกตาไปมา ใช้นิ้วมือชี้ไปยังเหล่าผู้อาวุโสเกาะศักดิ์สิทธิ์แล้วเอ่ยออกมา
ผู้อาวุโสแห่งกาะศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ภายในห้องโถงเมื่อได้ยินประโยคนี้ข้า ใบหน้าแสดงความอึดอัดแปลกประหลาดออกมา แต่ว่าปากก็ยังคงเอ่ยว่าใช่ออกมา
“เจ้าเฒ่าชรานี้…” มั่วเจี่ยนหลีได้ยินก็ยิ้มขมขื่นออกมา แต่ว่าภายในใจก็อดไม่ได้ที่จะยอมรับว่าคำพูดของบรรพชนเอ๋าเซี่ยวมีเหตุผลอยู่หลายส่วน
“แต่ว่าข้าเหมือนจะได้ยินมาว่า นักพรตหานในแดนมนุษย์นั้นมีคู่ฝึกบำเพ็ญเพียรอยู่แล้ว และดูเหมือนว่าความสัมพันธ์จะลึกซึ้งด้วย ไม่อย่างนั้นก็คงจะไม่จากที่นั่นเข้ามาสู่แดนวิญญาณ จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่มองหาผู้บำเพ็ญเพียรหญิงคนอื่น” มั่วเจี่ยนหลีคิดแล้วคิดอีกจึงได้เอ่ยออกมา
“เหมือนดั่งเช่นตัวข้า หากว่าจะหาคู่ฝึกบำเพ็ญเพียรสักหลายคนก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร และอีกอย่างหนึ่งดวงตาแก่ชราของข้าก็ยังไม่มืดมัว แน่นอนว่าย่อมต้องมองออกว่าเจ้าเด็กคนนี้กับหลิงเอ๋อร์ของข้า ไม่มีทางที่จะไม่มีความรู้สึกต่อกันแน่” บรรพชนเอ๋าเซี่ยวเผยรอยยิ้มออกมา
“เมื่อได้ยินท่านเอ่ยเช่นนี้แล้ว ก็เหมือนว่าจะยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ว่ากันแล้ว อายุอานามของนักพรตหานสำหรับข้าแล้ว นับว่ายังเป็นเพียงแค่การเริ่มต้นเท่านั้น หากว่าเมื่อมาอยู่ในเผ่าของพวกเราแล้วตามหาคู่เพิ่มอีกสักสองสามคน ก็เป็นโอกาสที่ดีที่จะมีทายาทที่มีคุณสมบัติในการบำเพ็ญเพียรจนน่าประหลาดใจผู้คนขึ้นมาอีกก็เป็นได้” มั่วเจี่ยนหลีกะพริบตาช้าๆ แล้วเอ่ยออกมาเนิบนาบ
บรรพชนเอ๋าเซี่ยวเมื่อได้ยินคำนี้เข้าแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกตะลึงขั้นมา แต่ทันใดทันนั้นก็อดไม่ได้ที่จะทั้งหัวเราะทั้งร้องไห้ออกมาชี้ไปยังมั่วเจี่ยนหลี อย่างต้องการที่จะเอ่ยอะไรออกมาอีก
แต่ทว่าในตอนนี้นั้นกลับมีเสียงหัวเราะขมขื่นลอยออกมาจากกลางอากาศ น้ำเสียงของชายที่คุ้นเคยคนหนึ่งดังขึ้นในห้องโถง
“นักพรตทั้งสองอย่าได้นำเรื่องของน้องชายออกมาพูดเล่นกันเลย ไม่เช่นนั้นแล้ว ข้าคงไม่กล้าที่จะมาพบหน้ากับท่านทั้งสองแล้ว
เมื่อคำพูดจบลง ประตูใหญ่ของห้องโถงก็สั่นไหวขึ้น หนึ่งชายหนึ่งหญิงกายของทั้งสองปรากฏขึ้นพร้อมกัน
เป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง สวมเสื้อคลุมสีเขียว สีหน้าเต็มไปด้วยความลำบากใจ ผู้นั้นก็คือหานลี่
หญิงงามที่อยู่ด้านข้างนั้น ใบหน้าแดงก่ำแววตาเขินอายเป็นอิ๋นเย่ว์นั่นเอง
“อ่า คารวะผู้อาวุโสหาน!” ผู้อาวุโสของเกาะศักดิ์สิทธิ์ที่ยืนอยู่ทั้งสองข้างเมื่อเห็นเหตุการณ์นี้เข้า แน่นอนว่าตกตะลึงรีบร้อนเดินขึ้นมาทำความเคารพ
บรรพชนเอ๋าเซี่ยวแล้วมั่วเจี่ยนหลีมองสบตากัน เผยท่าทางประหลาดใจออกมา
“นักพรตหาน ในที่สุดเจ้าก็กลับมาแล้ว ชายชราจึงวางใจลงได้แล้วจริงๆ เสียที”
“ฮ่า…ฮ่า เจ้าเด็กหาน แต่เดิมตัวบรรพชนเช่นข้าคิดว่าเจ้าจะลักพาตัวหลิงเอ๋อร์ของข้าไปเสียแล้ว”
บรรพชนทั้งสองท่านของมหายานก็หยัดกายลุกขึ้นทักทายเขาพร้อมกัน
“ศิษย์พี่ทั้งสองพูดเล่นกันแล้ว ข้ากับแม่นางอิ๋นเย่ว์ไม่ใช่ว่าปลอดภัยไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้นไม่ใช่หรือ! สหายนักพรตทุกท่านเอง ก็ไม่จำต้องเกรงใจกันเกินไปแล้ว” หานลี่เอ่ยออกมายิ้มๆ จากนั้นก็โบกมือออกไป ให้ผู้อาวุโสของเกาะศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองข้างลุกขึ้นมา
“ที่นี่ไม่จำเป็นต้องให้พวกเจ้าอยู่รอ พวกเจ้าออกกันไปก่อนเถอะ พวกข้าทั้งสองคนต้องการจะสนทนากับนักพรตหาน” บรรพชนเอ๋าเซี่ยวเอ่ยออกคำสั่งกับบรรดาผู้อาวุโสทั้งหลาย
เมื่อบรรดาผู้อาวุโสของเกาะศักดิ์สิทธิ์ได้ยินเข้า ก็ไม่กล้าที่จะฝ่าฝืน จึงได้ทยอยกันส่งเสียงตอบรับแล้วถอยออกไปจากห้องโถง
เพียงพริบตาเดียว ที่นี้ก็เหลือเพียงแค่พวกของหานลี่สี่คนเท่านั้น
หานลี่เองก็ไม่ได้เกรงใจหาเก้าอี้แล้วนั่งลงตรงหน้ามหายานทั้งสองอย่างสบายๆ
ส่วนอิ๋นเย่ว์นั้นก็เดินไปอยู่ใกล้ๆ กับบรรพชนเอ๋าเซี่ยว เหลือบมองไปยังปู่ของนาง แล้วจึงได้ยืนอยู่ด้านหลัง
เธอแสดงออกมาอย่างชัดเจนว่ายังคงรู้สึกเขินอายอยู่กับคำพูดเมื่อครู่นี้
“นักพรตหาน ครั้งนี้หากว่าไม่ใช่เจ้าแล้ว ข้ากับพี่เอ๋าเซี่ยวเกรงว่าคงจะต้องตกลงไปอยู่ในแดนมารเสียแล้ว และไม่ว่าจะอย่างไรแล้ว เรื่องนี้ชายชราจะจดจำเอาไว้ในใจ” มั่วเจี่ยนหลีกำหมัดให้กับหานลี่ เอ่ยออกมาอย่างจริงใจ
“ไม่ผิดนัก หากไม่ใช่ว่าเจ้าเด็กหานครั้งนี้ออกแรงช่วยเหลือ พวกข้าสองคนเกรงว่าคงจะคงจะถูกฝังกลบไปกับเหล่ามารในผนึกโบราณ ข้าเองก็เช่นกันจะต้องตอบแทนเป็นแน่” บรรพชนเอ๋าเซี่ยวสีหน้าดูเคร่มขรึม แล้วกล่าวขอบคุณไปอย่างสง่างาม
“มิกล้า! ศิษย์พี่นักพรตทั้งสองเพื่อความดำรงอยู่ของเผ่าเราทั้งสอง ไม่รู้ว่าต้องเหน็ดเหนื่อยมาแล้วกี่ปี ศิษย์น้องช่วยเหลือเพียงแค่เรื่องเท่านี้จะนับเป็นอะไรไป” หานลี่โบกมือออกไปแล้วเอ่ยตอบ
“เฮ่อ…เฮ่อ นี้มันไม่เหมือนกัน พวกเราทั้งสองคนนั้นจะอ่อนแอลงเพราะว่าเผ่าของพวกเรา แต่ก็ไม่อาจจะเทียบกับบุญคุณช่วยชีวิตเอาไว้ได้ บุญคุณนี้อย่างไรเสียก็ต้องทดแทน” มั่วเจี่ยนหลีเอ่ยยิ้มๆ ออกมา
บรรพชนเอ๋าเซี่ยวเองก็พยักหน้าเห็นด้วย
หานลี่เมื่อพบเข้า เผยยิ้มออกมาทั้งส่ายหัว แต่ก็ไม่อาจเอ่ยอันใดออกมาได้
ในเวลาต่อมา หานลี่และบรรพชนมหายานทั้งสองท่านสนทนากันต่อถึงเรื่องที่พบเจอในแดนมาร และบางเรื่องที่เกี่ยวกับเทพีหนอนเจาะ
และแน่นอนว่าหานลี่ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องเซียนที่แท้จริงที่ซ่อนอยู่ในแดนมารโบราณ และแน่นอนว่าหานลี่แม้แต่คำเดียวก็ไม่เอ่ยถึง เพียงแต่นำเทพีหนอนเจาะที่ถูกทำลาย ทั้งหมดผลักไปยังเป่าฮวาและประทับผนึกโบราณลงไป
และนี้ก็ทำให้บรรพชนเอ๋าเซี่ยวและมั่วเจี่ยนหลีสิ้นสงสัย
“นักพรตหาน เจ้าเพิ่งจะกลับมาถึงเผ่าดังนั้นก็พักผ่อนให้เพียงพอก่อนสักระยะหนึ่ง อย่าเพิ่งออกไปที่ใดชั่วคราว” มั่วเจี่ยนหลีจู่ๆ ก็เอ่ยออกมากับหานลี่ด้วยสีหน้าแปลกๆ
ความสงบที่พวกเราได้รับมา บางคราวอาจจะใช้ชีวิตของใครบางคนแลกมา สำหรับผู้ที่เต็มใจ ไม่มีวันเข้าใจถึงความรุ่งโรจน์ที่ปกคลุมไปด้วยเลือด ส่วนผู้ที่ฉลาดหลักแหลม สุดท้ายแล้วก็ถูกฝังกลบไปกับตำนาน…