A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน – ตอนที่ 1645 นอกเหนือความคาดหมาย

 

 

 

สองคนนี้เคยเห็นความสามารถที่แท้จริงของหานลี่มาแล้วในวันนั้น ดังนั้นจึงรู้สึกเสียเปรียบผู้ที่อยู่ในลำแสงสีโลหิต แต่กลับไม่ได้ประหลาดใจนัก แต่สายตาที่มองมาหาหานลี่กลับเคร่งขรึมสลับกับสดใส 

 

 

ส่วนใบหน้าของเงาร่างคนในลำแสงสีโลหิต ภายใต้การจับจ้องของหานลี่ ก็มองเห็นอย่างชัดเจน 

 

 

กลับเป็นหญิงสาวคิ้วดำขลับปากเรียวบางสวมชุดชาววังสีโลหิตคนหนึ่ง 

 

 

แม้ว่านางในยามนี้จะเก็บกระบี่บินสองเล่มเอาไว้ ใบหน้างดงามก็เต็มไปด้วยสีหน้าตกตะลึง 

 

 

เผยให้เห็นความร้ายกาจของลำแสงเทวะดูดปราณเมื่อครู่ ทำให้หญิงสาวผู้นี้ตกใจจนสะดุ้งโหยง รู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างมาก 

 

 

ทั้งสามล้อมหานลี่เอาไว้ตรงกลาง ยามนั้นกลับปิดปากเงียบ แต่ก็ไม่มีท่าทีจะปล่อยเขาไปเลยสักนิด 

 

 

หานลี่เห็นเช่นนั้นพลันหัวเราะออกมาเบาๆ สายตากวาดมองไปที่ขอบฟ้าที่ไกลออกไป 

 

 

เห็นเพียงเมฆาเพลิงด้านนี้ยังคงมีเสียงอึกทึกดังขึ้น ดูเหมือนว่าท่าทางจะดุดันกว่าเดิมหลายส่วน แต่ด้านล่างพลันมีคลื่นน้ำสีดำโจมตีไปยังเมฆาเพลิงบ้างเป็นบางครั้งคราว 

 

 

ทั้งสองดูเหมือนจะเป็นธาตุที่เป็นปฏิปักษ์กัน ภายใต้การโรมรันกันนั้น เสียงระเบิดพลันดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ท้องฟ้ากว่าครึ่งสั่นเทาอย่างหนัก ราวกับว่าถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ อย่างไรอย่างนั้น  

 

 

หานลี่แววตาเปล่งประกาย ความคิดเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว 

 

 

“สหายหาน ข้าจำได้ว่าหลานเย่ว์และสหายเข้าเทือกเขาไปด้วยกัน สหายอยู่ที่นี่ไม่ทราบว่าหลานเย่ว์อยู่แถวนี้หรือไม่” หลังจากยืนกรานกันชั่วครู่ ผู้ที่เอ่ยปากออกกลับเป็นชายชราแซ่เยี่ยน 

 

 

“น่าเสียใจ ก่อนหน้านี้ไม่นานสหายเย่ว์โชคร้ายเจอมืออำมหิต โชคไม่ดีเพลี่ยงพล้ำไปแล้ว” หานลี่ได้ฟังพลันมีสีหน้าเคร่งขรึม จึงเอ่ยอย่างไม่ปิดบัง 

 

 

“เพลี่ยงพล้ำไปแล้ว สหายบอกได้หรือไม่ว่าผู้ใดเป็นมืออำมหิต?” ชายชราแซ่เยี่ยนพลันตกตะลึง พลางเอ่ยถามอย่างต่อเนื่อง 

 

 

“ยามที่สหายเย่ว์พบศัตรูนั้นไม่มีคนข้างกาย ข้าน้อยก็ไม่อาจพูดได้แน่ชัด” หานลี่พลันขมวดคิ้วแล้วเอ่ยอย่างแช่มช้า 

 

 

“อ๋อ คาดไม่ถึงว่าจะเป็นเช่นนี้” ชายชราแซ่เยี่ยนมีสีหน้าเคร่งขรึม เผยท่าทีไม่เชื่อถือออกมา 

 

 

หานลี่เห็นเช่นนั้น ในใจจึงอดที่หัวเราะขืนขึ้นมาไม่ได้ 

 

 

ดูแล้วคนผู้นี้คงคิดว่าตนเกี่ยวข้องกับการเพลี่ยงพล้ำของเย่ว์จง 

 

 

ทว่าเขาและชายชราไม่ได้มีความสัมพันธ์อันดีอะไรกัน แน่นอนว่าจึงไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไร หลังจากที่กวาดสายตาไปยังคนที่เหลืออีกสองคนแล้วก็เอ่ยถามอย่างราบเรียบ 

 

 

“ท่าทางของทั้งสามท่านในยามนี้ หรือคิดจะไม่ปล่อยผู้แซ่หานไป?”  

 

 

“หึ นายท่านรู้แล้วยังถามอีก? ส่งเห็ดเซียนมา เจ้าย่อมไปได้ตลอดเวลา” ชนต่างเผ่าผมสีเขียวแววตาฉายแววเย็นเยียบ พลางเอ่ยถามอย่างโหดเ**้ยม 

 

 

“เห็ดเซียน? หึๆ สหายที่เหลือทั้งสองก็คิดเช่นนี้หรือ?” หานลี่หัวเราะอย่างเย็นชาออกมา หันไปถามคนที่เหลือทั้งสอง 

 

 

ชายชราแซ่เยี่ยนมีสีหน้าเคร่งขรึมไปเล็กน้อย ไม่ได้เอ่ยปากอะไรต่อ แต่แววตาของหญิงสาวในลำแสงสีโลหิตพลันฉายแววเย็นเยียบ แล้วเอ่ยถามอย่างเยือกเย็น 

 

 

“พวกเราไม่มีเวลาแล้ว เราสามคนลงมือสังหารคนผู้นี้พร้อมกัน แล้วค่อยแบ่งเห็ดเซียนกัน มิเช่นนั้นหากมารจระเข้ตัวนั้นและปีกเหล็กลูกน้องของมันไล่ตามมา ของก็ไม่ได้อยู่ในมือของพวกเราแล้ว” 

 

 

เอ่ยจบสตรีผู้นั้นก็ถูมือทั้งสองเข้าด้วยกัน ลำแสงสีโลหิตเปล่งแสงสว่างวาบ พัดที่มีเปลวเพลิงสีโลหิตห้อมล้อมอยู่ปรากฏขึ้นในมือ 

 

 

พัดด้ามนี้มีขนาดแค่สองสามฉื่อ แต่ตัวมันกลับเปล่งแสงระยิบระยับ แกะสลักจากหยกขาวบริสุทธิ์ แต่อักขระสีโลหิตที่เรียงตัวกันอย่างหนาแน่นบนพัดพลันเปล่งแสงสีโลหิตเจิดจ้าราวกับเปลวเพลิง ช่างน่าประหลาดใจนัก 

 

 

“เยี่ยม ได้หนึ่งในสามส่วน ก็ดีมากแล้ว” แม้ว่าชนต่างเผ่าผมสีเขียวจะห้าวหาญ แต่ก็ไม่ใช่คนโง่เขลา จึงตอบรับโดยไม่แม้แต่จะกะพริบตา และยิ่งไปกว่านั้นยังพลิกฝ่ามือเตาใบเล็กที่วิจิตรโบราณปรากฏขึ้นในมือ มันหมุนคว้างแล้วขยายขนาดจนมีขนาดสองสามฉื่อ ลอยนิ่งอยู่เบื้องหน้า 

 

 

ชายชราแซ่เยี่ยนเห็นคนที่เหลือทั้งสองคนเคลื่อนไหวเช่นนี้ หลังจากลังเลเล็กน้อย ก็กัดฟันสะบัดแขนเสื้อ 

 

 

ลำแสงสีเงินกลุ่มหนึ่งพุ่งออกมา คาดไม่ถึงว่าจะเป็นตราประทับสีเงินระยิบระยับ 

 

 

เมื่อบินออกมาก็มีขนาดแค่สองสามชุ่น แต่เมื่อหมุนตัวก็มีขนาดสองสามจั้ง ในเวลาเดียวกันก็มีเสียงวายุอัสนีดังออกมา 

 

 

ทั้งสามร่วมมือกันสำเร็จ! 

 

 

หานลี่เห็นเช่นนั้น มุมปากพลันกระตุก ในเวลาเดียวกันก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง 

 

 

ทั้งสามล้วนอยู่ในระดับหลอมสุญตาขั้นสุดยอด ความเร็วไม่ด้อยไปกว่าเขาเท่าใดนัก หากคิดจะหลบหลีกไม่สู้ เกรงว่าคงเป็นไปไม่ได้ วิธีเดียวที่จะสลัดออกไป ก็มีเพียงต้องโจมตีให้พ่ายแพ้หรือสังหารทั้งสามคนเท่านั้น 

 

 

จุดนี้หลังจากที่เขาลงมือเก็บเห็ดเซียนมาในตอนแรก ก็รู้อยู่ตั้งนานแล้ว 

 

 

ดังนั้นเมื่อเห็นทั้งสามเคลื่อนไหว เขาก็ทำการโจมตีออกไปก่อนอย่างไม่ร้อนรนโดยไม่รอทั้งสามคน มือหนึ่งพลันกวักไปกลางอากาศ  

 

 

ชั่วขณะนั้นเงาลวงตาภูเขาสีดำตรงหน้าลูกนั้นก็แผ่ลำแสงสีเทาเป็นชั้นๆ ออกมากดไปหาชายชรา ยังไม่ทันลดระดับลงมา ภูเขาน้อยที่อยู่ท่ามกลางม่านลำแสงเป็นหมื่นสายก็มีขนาดยี่สิบสามสิบจั้ง กดลงมาอย่างทะมึนทึบ 

 

 

ชายชราแซ่เยี่ยนพลันตกตะลึง บินถอยออกไปอย่างไม่ต้องขบคิด ในเวลาเดียวกันก็ชี้ไปที่ตราประทับสีเงินด้านหน้าตนเอง 

 

 

สมบัติชิ้นนี้เปล่งเสียงหึ่งๆ ออกมา ในเวลาเดียวก็ขยายขนาดใหญ่ขึ้นสองสามเท่า พลางกดลงมายอดเขากลางอากาศ 

 

 

เสียง “ตูม” ดังสนั่นขึ้น ตีนยอดเขาระเบิดลำแสงเจิดจ้าออกมา 

 

 

ทั่วทั้งท้องฟ้าสั่นเทา พลังไร้รูปร่างแผ่ออกมาจากจุดที่ทั้งสองปะทะกัน 

 

 

แม้ว่าตราประทับสีเงินจะเป็นสมบัติที่มีอานุภาพน่าตกตะลึง แต่จะเทียบกับภูเขาเทวะดูดปราณที่ผ่านการหลอมมาสองครั้งได้อย่างไร 

 

 

แม้ว่าจะแค่ต้านภูเขาเทวะดูดปราณเอาไว้ แต่สุดท้ายก็เปล่งเสียงปริแตกออกมา ไม่อาจต้านทานน้ำหนักที่หนักอึ้งของยอดเขาสีดำได้ 

 

 

ชั่วขณะนั้นยอดเขายักษ์พลันลดระดับลงมาอย่างดุดัน ในเวลาเดียวกันหมอกลำแสงสีเทาผืนใหญ่พลันม้วนออกมา ห่อหุ้มชายชราเอาไว้ 

 

 

ชายชราแซ่เยี่ยนพลันหน้าเปลี่ยนสี อ้าปากออกพ่นผ้าไหมสีขาวนวลออกมา 

 

 

ชั่วขณะนั้นผ้าไหมพลันพลิ้วไหวแล้วกลายเป็นเมฆาสีขาวลอยอยู่เหนือศีรษะ 

 

 

ในเวลาเดียวกันใบหน้าของชายชราพลันมีหมอกสีขาวเปล่งแสงสว่างวาบ นิ้วทั้งสิบร่ายไปกลางอากาศไม่หยุด อาคมหลากสีสันจมหายเข้าไปเมฆาเป็นสายๆ 

 

 

ยอดเขาสีดำร่อนลงมาถึงเมฆสีขาว คาดไม่ถึงว่าจะปะทะกับผ้าไหมอีกผืน พลังกว่าครึ่งถูกกำจัดออกไปอย่างไร้ร่องรอย  

 

 

หมอกสีขาวนวลสั่นเทา คาดไม่ถึงว่าจะรองยอดเขาเอาไว้ 

 

 

หานลี่เห็นเช่นนั้นพลันตกตะลึงไปเล็กน้อย 

 

 

ทว่าช่วงเวลาที่ล่าช้านี้ ชนต่างเผ่าผมสีเขียวและหญิงสาวในลำแสงสีโลหิตกลับลงมือพร้อมกันอย่างมิได้นัดหมาย 

 

 

ชนต่างเผ่าผมสีเขียวอ้าปากออก พ่นไอบริสุทธิ์สีเขียวใส่เตา 

 

 

เตายักษ์เปล่งเสียงหึ่งๆ ฝาเตาปลิวขึ้นไปบนฟ้า 

 

 

ครู่ต่อมาหมอกกลุ่มหนึ่งพลันบินออกมาจากเตา สลายตัวออกท้องฟ้ารอบๆ เริ่มเปลี่ยนไป เสียงวายุสีเหลืองอันหนักอึ้งดังขึ้น จากนั้นพลันกลายเป็นมังกรวายุสีเหลืองสองสามตัว กระโจนเข้าไปหาหานลี่ 

 

 

ส่วนหญิงสาวที่อยู่ในลำแสงสีโลหิต พัดสะบัดพัดโลหิตในมือเบาๆ 

 

 

ชั่วขณะนั้นอักขระบนพัดพลันเปล่งแสงสว่างวาบ เสียง “ฟิ้วๆ” ดังขึ้น เปลวเพลิงโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วนเปล่งแสงสว่างวาบออกมาจากตัวพัด พุ่งมาหานลี่อย่างเนืองแน่น 

 

 

หานลี่มองเห็นเหตุการณ์นี้ ใบหน้ากลับไม่มีความรู้สึกเลยสักนิด แต่กลับพลิกฝ่ามือ 

 

 

ชั่วขณะนั้นลำแสงสีเขียวพลันเปล่งแสงสว่างวาบ เตาใบเล็กสีเขียวระยิบระยับพลันปรากฏออกมา  

 

 

เป็นเตานภาสูญของจริง! 

 

 

อ้าปากออกอีกครั้งพ่นเปลวเพลิงสีเงินออกมา หมุนคว้างแล้วกลายเป็นวิหคสีเงินขนาดสองสามฉื่อ 

 

 

“ไป”  

 

 

หานลี่สะบัดแขนเสื้อ เปล่งเสียงตะโกนต่ำๆ ออกมา 

 

 

เตาใบเล็กสีเขียวสั่นเทา พวยพุ่งขึ้นไปกลางอากาศ แล้วพลิ้วไหว ฝาเตาสลายหายไป  

 

 

เสียงหึ่งๆ ดังออกมาจากเตา บนพื้นผิวมีลวดลายอสูรวิหคต่างๆ ล้วนรางเลือนไม่ชัดเจน 

 

 

ภายใต้ลำแสงสีเขียวที่เปล่งแสงสว่างวาบ เงาลวงตาอสูรยักษ์ปรากฏรอบๆ เตาใบเล็ก จากนั้นก็เปล่งเสียงร้องคำรามแล้วกระโจนออกมา ตรงไปหามังกรวายุสีเหลืองสองสามตัวนั้น 

 

 

เมื่อทั้งสองปะทะกัน ก็กัดทึ้งกันทันที ยามนั้นไม่อาจแยกแยะฝ่ายใดได้ 

 

 

ส่วนอีกด้านวิหคเพลิงสีเงินกลับสยายปีกทั้งสองข้างออก พุ่งเข้าไปหาดวงแสงเพลิงที่ลอยอยู่เต็มท้องฟ้า 

 

 

ผิวของดวงแสงเพลิงพลันหมุนวน เป็นสีแดงสด แค่มองก็รู้ว่าไม่ใช่เปลวเพลิงธรรมดา 

 

 

หญิงสาวสวมชุดชาววังสีโลหิตผู้นั้น ยังมีสีหน้าสงบเยือกเย็น ดูเหมือนว่าจะมั่นใจในอานุภาพของพัดโลหิตในมือเป็นอย่างมาก  

 

 

แต่ครู่ต่อมาใบหน้าของหญิงสาวพลันมีสีหน้าตกตะลึง  

 

 

เพราะวิหคเพลิงสีเงินที่แต่เดิมมีขนาดแค่สองสามฉื่อ กำลังจะทะลวงเข้ามาในดวงแสงเพลิง ฉับพลันนั้นกลับเปล่งเสียงร้องอันไพเราะ กระพือปีกทั้งสอง ชั่วขณะนั้นร่างกายกลับดูเหมือนลูกโป่งที่ถูกเป่าลม ขยายขนาดใหญ่ขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ 

 

 

หนึ่งจั้ง สามจั้ง ห้าจั้ง สิบจั้ง…. 

 

 

ชั่วพริบตาร่างกายของวิหคเพลิงสีเงินก็มีขนาดสามสิบจั้ง ขนแต่ละเส้นเป็นสีเงินแซมขาว ในสีขาวยังมีอักขระสีเงินปรากฏขึ้น มองไกลๆ ดูราวกับหงส์สีเงินที่เปล่งแสงระยิบระยับตัวหนึ่ง ทำให้ผู้คนไม่กล้ามองสบตาตรงๆ 

 

 

หานลี่เห็นฉากนี้ก็ใจเต้น 

 

 

แม้จะรู้ว่าวิหคเพลิงกลืนวิญญาณกลืนเพลิงเที่ยงแท้ทองดำไปแล้วจะต้องพัฒนา แต่การเปลี่ยนแปลงที่น่าตกตะลึงเช่นนี้ ก็ยังทำให้เขารู้สึกประหลาดใจ และยิ่งไปกว่านั้นก็ยังอยู่ในสภาวะที่เพลิงเที่ยงแท้สีทองดำยังหลอมไม่หมดอีกด้วย 

 

 

ร่างของวิหคเพลิงกลืนวิญญาณมีสติปัญญาของตนเอง จึงไม่ต้องให้หานลี่กระตุ้น มันกระพือปีกไปด้านหน้าทันที 

 

 

ขนสีเงินบนปีกพุ่งออกไปเป็นเส้นๆ ในทันที มองจากไกลๆ ราวกับคันธนูสีเงินพุ่งออกไปจำนวนนับไม่ถ้วนอย่างไรอย่างนั้น และเปล่งแสงสว่างวาบ ทยอยกันทะลวงผ่านดวงแสงเพลิงสีโลหิตทุกลูกไปอย่างแม่นยำ 

 

 

เสียง “ปังๆ” ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่หยุด 

 

 

ผิวของดวงแสงเหล่านั้นเว้านูนเปลี่ยนรูปไม่แน่นอน และทยอยกันระเบิดออก กลายเป็นเปลวเพลิงโลหิตแล้วสลายออก 

 

 

หญิงสาวในลำแสงสีโลหิตพลันตกตะลึงระคนโกรธแค้น แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นกับทำอะไรไม่ถูก โยนพัดโลหิตในมือออกไป อีกมือหนึ่งกลับร่ายอาคม ชี้ไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึม 

 

 

ลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบ เสาลำแสงสีโลหิตสายหนึ่งพ่นออกมาจากปลายนิ้ว และเปล่งแสงสว่างวาบพลางจมหายไปในพัดสีโลหิตอย่างไร้ร่องรอย 

 

 

อักขระบนพัดหมุนวนอย่างรุนแรง กลายเป็นลวดลายประหลาดที่ดูเหมือนเขตอาคมอย่างรวดเร็ว และเปลี่ยนแปลงไปมาไม่แน่นอน 

 

 

ชั่วขณะนั้นเปลวเพลิงโลหิตที่แผ่ออกมารอบด้านพลันเปล่งแสงสว่างวาบ พุ่งไปทิศทางเดียวกัน ดูเหมือนว่าจะรวมตัวกันอีกครั้งอย่างไรอย่างนั้น 

 

 

ทว่าในตอนนั้นเองพวกที่ถูกขนนกสีเงินทะลวงผ่านพลันเกิดการเผาไหม้ และกลายเป็นเพลิงสีเงินขนาดเท่ากำปั้นหลายดวง 

 

 

ดวงแสงสีเงินเหล่านั้นพลันสั่นเทา พุ่งแหวกอากาศไป ทยอยกันพุ่งไปหาเปลวเพลิงสีโลหิตที่ตกลงมาเหล่านั้น 

 

 

ผลคือเปลวเพลิงโลหิตที่ถูกเพลิงสีเงินชนเข้าพลันเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายไปอย่างไร้สุ้มเสียง ถูกเปลวเพลิงสีเงินกลืนกินอย่างรวดเร็ว ไม่มีแรงจะต้านทานเลยแม้แต่น้อย 

 

 

ชั่วพริบตานั้นเปลวเพลิงสีโลหิตที่เริงระบำอยู่ทั่วทั้งท้องฟ้า ก็สลายหายไปกว่าครึ่ง 

 

 

หญิงสาวในลำแสงสีโลหิตเห็นสถานการณ์เช่นนั้น พลันหน้าซีดเผือดไร้สีโลหิต 

A Record of a Mortal s Journey to Immortality

A Record of a Mortal s Journey to Immortality

Type: Author: ,
เจ้าบื้อที่สอง หานลี่ เด็กหนุ่มธรรมดาสามัญผู้ได้รับวาสนาให้ไปเข้าทดสอบเป็นศิษย์ในสำนักเล็กๆ แห่งหนึ่ง ทำให้เขาได้รู้จักกับโลกใบใหม่ที่หนุ่มน้อยชนบทอย่างเขาใฝ่ฝันอยากสัมผัสกับมันมาโดยตลอด ในโลกแห่งเซียน เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรต่างฝึกฝนค้นหาเส้นทางเพื่อก้าวเข้าสู่ความเป็นนิรันดร์ ทว่าเส้นทางที่แม้กระทั่งผู้บำเพ็ญเพียรซึ่งมีพรสวรรค์สูงส่งแต่กำเนิดยังต้องผ่านความยากลำบากเท่าไหร่กว่าจะไปถึงจุดนั้น แล้วเด็กหนุ่มปุถุชนเช่นเขาจะทำได้หรือ? ด้วยความสามารถอันธรรมดาสามัญของเขาจะเอาตัวรอดในโลกแห่งเซียนนี้ไปได้อย่างไร? เส้นทางแห่งความสำเร็จช่างอยู่ห่างไกลเสียเหลือเกิน… คัมภีร์วิถีเซียนเป็นนิยายจีนย้อนยุคเล่าเรื่องการเดินทางอันน่าติดตามของหานลี่ ผู้ต้องใช้ทั้งไหวพริบและพลังยุทธ์ในการฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ด้วยตัวคนเดียว มาร่วมเดินทางไปกับหานลี่ ผู้เย้ยฟ้าท้านรกเพื่อแสวงหาเส้นทางแห่งการเป็นเซียนด้วยกันเถอะ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset