“นักพรตหานพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร” ชายชราในชุดขาวได้ยินดังนี้ก็ตะลึง แล้วพูดออกมาด้วยความประหลาดใจ
“หากท่านนักพรตมิได้มีเจตนาดูถูก แล้วท่านมีความจำเป็นอันใดจึงต้องใช้ร่างจำแลงมาหลอกลวงพวกข้า” หานลี่พูดโดยสีหน้าไม่เปลี่ยนสี
“ร่างจำแลง?” ครั้งนี้ถึงคราของมั่วเจี่ยนหลีที่ตกใจบ้างแล้ว รีบใช้จิตสัมผัสกวาดดูที่ร่างของชายชรา แต่ก็ยังรู้สึกได้ถึงเพียงพลังปราณอันสุดดแสนจะหยั่งถึงของฝ่ายตรงข้ามเพียงเท่านั้น ไม่เห็นความผิดปกติอื่นใดอีก สีหน้าอดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา
ชายชราแสดงสีหน้าคาดไม่ถึงออกมา จ้องมองที่หานลี่สักพัก จึงพูดออกมาด้วยรอยยิ้มบางเบา
“นักพรตหานมีสายตาเฉียบคมยิ่งนักที่สามารถมองร่างจำแลงที่มีจิตใจเดียวกันนี้ออก ตัวข้าไม่พูดคำว่า
“นับถือ นับถือ” ไม่ได้แล้ว แต่ว่าการที่บอกว่าข้ามีความคิดดูถูกพวกท่าน คงจะกลายเป็นการกล่าวหาข้าน้อยเสียแล้ว ก่อนที่น้องมั่วและนักพรตหานจะมาที่นี่ คงจะได้ยินข่าวเรื่องที่ข้าปิดด่านฝึกตนแล้ว พูดตามตรงเรื่องนี้มิใช่เรื่องหลอกลวง ร่างกายที่แท้จริงของเปิ่นหวางกำลังปิดด่านอยู่ที่ใดที่หนึ่งในตอนนี้ ไม่สามารถที่จะออกมาพบแขกได้โดยง่าย ทำได้เพียงแค่ส่งร่างจำแรงนี้มาที่นี่ ที่จริงแล้วไม่ใช่แค่พวกท่านหรอก นักพรตเซวี่ยหรานและเฮยหลินอีกสองท่าน ข้าก็คิดว่าจะใช้ร่างจำแลงร่างนี้มาพบเจอด้วยเช่นกัน”
ชายชราในชุดขาวยอมรับออกมาตามตรง มั่วเจียนหลีได้ฟังถึงตรงนี้ สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เปิดปากเหมือนอยากจะกล่าวบางสิ่ง แต่กลับได้ยินเสียงดังมาจากด้านนอกประตูใหญ่ ตามมาด้วยเสียงตะโกนดังโครมครามของชายแปลกหน้าผู้หนึ่งดังขึ้น
“ที่แท้พี่หลิงคิดจะใช้ร่างจำแลงนี้มาพบกับพวกข้าพี่น้อง ดูไม่มีความจริงใจเกินไปแล้ว หรือว่าร่างกายที่แท้จริงของท่านนักพรตจะปิดด่านแห่งชีวิตและความตาย มิเช่นนั้นพวกเราสองคนพี่น้องก็ไม่คุ้มค่าที่จะออกมาพบเจอสักครั้งเชียวหรือ!”
สิ้นเสียงกล่าว ปรากฏเงาร่างของคนที่ด้านนอกประตูใหญ่ คนจากเผ่าประหลาดสองคนที่มีผิวหยาบกร้านสีดำ ใบหน้าที่คล้ายคลึงกัน ชั้นของเกล็ดที่มีเขาชั้นหนึ่งปกคลุมอยู่ครึ่งร่างอย่างจางๆ เดินพรวดพราดเข้ามา
ทั้งสองคนนี้ หนึ่งมีไอสังหารหลั่งไหลออกมา ทั้งร่างกายถูกปกคลุมด้วยแสงระยิบสีเลือดชั้นหนึ่ง อีกหนึ่งร่างกายมีรังสีที่มืดมนและเยือกเย็นดังน้ำแข็งในฤดูเหมันต์ เห็นเลือนรางว่ามีกลุ่มพลังปราณสีดำจางๆ นับไม่ถ้วนเคลื่อนที่อย่างไม่หยุดนิ่งอยู่ที่ร่างกาย รูปร่างคล้ายกับน้ำวนขนาดเล็กจำนวนนับไม่ถ้วน ซึ่งดูดพลังปราณของสวรรค์และโลกที่อยู่ใกล้เคียงตลอดเวลา
ทั้งสองคนเมื่อมองจากไกลๆ แล้ว ดูแปลกประหลาดเป็นอย่างมา!
“ที่แท้นักพรตเซวี่ยหรานและนักพรตเฮยหลินได้เดินทางมาถึงแล้ว ข้ามิได้ออกไปต้อนรับตั้งแต่ไกลๆ เสียมารยาทแล้ว เพียงแต่…แม้ข้าน้อยมิได้ปิดด่านชีวิตและความตายด่านนั้น ทว่าการปิดด่านครั้งนี้ก็สำคัญเป็นอย่างมากเช่นกัน ถ้าเกิดออกมา…ความพยายามทั้งหมดที่ผ่านมาคงสูญเปล่าเสียแล้ว ทำได้เพียงแค่ขอให้ทุกท่านอภัยให้ข้าเป็นอย่างมาก” เมื่อชายชราชุดขาวได้พบหน้ากับเผ่าประหลาดระดับมหายานทั้งสองคนที่มาใหม่ แววตาสว่างวาบ แต่ปากอธิบายออกมาสองประโยคด้วยรอยยิ้ม
“หึ ถ้ามิใช่เพราะข้อตกลงในครั้งนี้…” ดวงตาทั้งสองข้างของชายที่มิผิวสีดำจ้องมองมา คิดเอ่ยคำพูดบางอย่างที่ไม่น่าฟังออกมา แต่ชายอีกคนกลับชิงหยุดคำพูดนั้นเสียก่อน
“ช่างเถิด น้องชายเฮย ที่พวกเรามาในครั้งนี้ไม่ได้มาเพื่อพบปะสังสรรค์สหาย ไม่ใช่ร่างที่แท้จริงแล้วเช่นไร ขอเพียงแค่สามารถนำของชิ้นนั้นออกมาได้ก็พอ รีบคุยธุระสำคัญที่แท้จริงดีกว่า จริงสิพี่หลิง นักพรตทั้งสองท่านนี้คือผู้ใดกัน เหตุใดท่านถึงไม่เคยพูดถึงมาก่อนหรือว่าการเจรจาในครั้งนี้ท่านเชิญผู้อื่นมาด้วย”
หลังจากที่ชายผิวดำพูดประโยคสุดท้ายออกมา เขาก็กวาดตามองไปยังหานลี่และมั่วเจี่ยนหลีอย่างเย็นชา สำหรับมั่วเจี่ยนหลีที่มีพลังยุทธ์อยู่ในระดับมหายานแล้ว ภายใต้การจ้องมองด้วยสายตาเช่นนี้ ผิวหนังทั่วทั้งร่างกายอดไม่ได้ที่จะแข็งค้าง สีหน้าพลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เห็นได้ชัดว่าฝ่ายตรงข้ามฝึกฝนวิชาบางอย่างที่คุกคามระดับมหายานได้นั่นคือเคล็ดวิชาจิตสัมผัสลับ มิเช่นนั้นเพียงแค่การชำเลืองมองคงไม่มีผลที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้
สำหรับหานลี่ หลังจากที่มองไปที่อีกฝ่าย รูม่านตาเพียงหดตัวเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่ได้ปรากฏสิ่งผิดปกติเลยแม้แต่นิด
ชายผิวดำทั้งสองคนเมื่อเห็นท่าทีที่หานลี่แสดงออกเช่นนี้ เกิดความตื่นตระหนกในใจ หลังจากมองหน้ากัน ใบหน้าดูถูกเหยียดหยามพลันลดลงเล็กน้อย
“คำพูดนี้ของนักพรตเซวี่ย คงจะเข้าใจเปิ่นหวางผิดไป พูดตามตรง ทีแรกคนที่ข้าต้องการทำข้อตกลงด้วยไม่ใช่พวกเจ้าทั้งคู่แต่เป็นบรรพชนสือซิน ตอนนี้แม้ว่าบรรพชนสือซินจะตายตกไปแล้ว แต่นักพรตมั่วและนักพรตหานกลับนำสิ่งที่เป็นหลักฐานยืนยันในตอนแรกมา เปิ่นหวางจะปฏิเสธได้เยี่ยงไร เคราะห์ดีที่ของแบบนั้นในมือของผู้เฒ่าไม่ได้มีเพียงแค่หนึ่งชิ้น เพียงพอที่จะจัดสรรให้แก่ทุกท่าน ในทางกลับกันพวกท่านบางคนอาจจะคิดได้ว่าข้าต้องการสิ่งใด หรือจะเป็นเรื่องที่ทั้งสองพูดกัน!” ชายชราในชุดขาวพูดอย่างเนิบนาบ
“ผู้เฒ่าหลิง พวกเราพี่น้องมุ่งหวังที่จะได้ยันต์เหลยเซียวมาครอบครอง ด้วยเหตุนี้ เมื่อได้ยินข่าวว่าท่านวางแผนที่จะใช้ยันต์นั้นเป็นข้อแลกเปลี่ยน พวกเราทั้งคู่ก็รีบมายังที่แห่งนี้ และสมบัติเกือบทั้งหมดบนเกาะทั้งเกาะ หากท่านต้องการสิ่งใด้ ขอแค่บอกกล่าวออกมา หากว่าข้าสองคนมีมัน ข้าจะไม่ตระหนี่เลยแม้แต่น้อย” เซวี่ยหรานพูดออกมาอย่างเคร่งขรึม
“ข้ากับนักพรตหานก็เช่นกัน เพียงแค่พี่หลิงพูดมา ข้าน้อยยอมแลกทุกอย่างเพื่อยันต์ซานชิงเหลยเซียวนี้” หลังมั่วเจี่ยนหลีกระแอมไอออกมาเบาๆ จึงกล่าวออกมาอย่างจริงจัง
“หึๆ เรื่องนี้ไม่รีบเร่ง นักพรตทุกท่านลองชิมชาวิญญาณที่เปิ่นหวางเตรียมไว้ให้เสียก่อน แล้วค่อยพูดคุยธุระยังไม่สาย” ชายชราโบกมือเล็กน้อยเมื่อได้ยินดังนั้น แล้วพูดออกมาอย่างใจเย็น
เผ่าประหลาดทั้งสองคนเมื่อได้ยินคำพูดนี้ คิ้วอดที่จะขมวดไม่ได้ แต่หลังจากส่งเสียงออกมาสองสามที เซวี่ยหรานก็พยักหน้าออกมาพลางกล่าวว่า
“ก็ดี ข้าเคยได้ยินมาเหมือนกันว่าชาวิญญาณของเผ่าท่านเรียกได้ว่าไม่สามารถปฏิเสธได้ ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะไม่เกรงใจที่จะขอลองชิมสักหน่อยแล้ว”
สิ้นเสียง เผ่าประหลาดทั้งสองคนขยับเล็กน้อยแยกกันไปนั่งลงยังเก้าอี้สองตัวที่อยู่ใกล้ๆ
ลิงน้อยสีขาวราวหิมะที่มีสิบขาหลายตัว ไม่ต้องรอให้ชายชราเอ่ยคำสั่ง ก็ทยอยกระโดดเข้ามา แยกกันชงชาวิญญาณให้ทั้งสองท่านคนละถ้วย หลังจากนั้นจึงจะออกไปจากห้องโถงใหญ่อย่างแท้จริง
หานลี่และมั่วเจี่ยนหลีหากซักถามต่อคงไม่ดี ทำได้เพียงแค่นั่งรอบนเก้าอี้โดยไม่เอ่ยอะไรออกมาสักคำ
รอให้เผ่าประหลาดทั้งสองยกชาขึ้นจิบชิมเล็กน้อย หลังจากวางถ้วยชาลงแล้ว ชายชราจึงค่อยๆ เอ่ยปากขึ้นมา
“แม้ว่าตอนนี้ข้าจะรู้แล้วว่าพวกท่านทั้งสี่ล้วนมาที่นี่ด้วยเพราะยันต์เหลยเซียว แต่ก่อนที่จะพูดคุยเกี่ยวกับข้อตกลงแลกเปลี่ยน ผู้เฒ่าอยากจะขอถามอย่างเป็นทางการอีกสักครั้ง ภายใต้การครอบครองของข้า นอกจากยันต์เหลยเซียวไม่กี่แผ่นแล้ว ข้ายังมีสมบัติและวัตถุดิบที่แสนหายากในแต่ละดินแดนอยู่จำนวนหนึ่ง นักพรตทุกท่านลองดูรายการสมบัติพวกนี้สักหน่อยแล้วค่อยตกลงเรื่องสิ่งของที่จะแลกเปลี่ยนกัน มิเช่นนั้นหากการตกลงสัญญาเสร็จสิ้นแล้ว จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเนื้อหาในสัญญาได้”
“ไม่จำเป็นหรอก พวกข้าสองพี่น้องเดินทางไกลมาถึงที่นี่เพียงเพื่อยันต์เหลยเซียวเท่านั้น ไม่ว่าสมบัติอื่นๆ จะล้ำค่าเพียงใด ก็ไม่สามารถช่วยให้พวกข้าข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ครั้งถัดไปได้ หากได้มาจะมีประโยชน์อันใด” แสงเลือดบนร่างกายของเซวี่ยหรานทั่วร่างกายสั่นไหวเล็กน้อย พลันตอบออกมาโดยไม่ต้องคิด
เฮยหลินที่มีใบหน้าคล้ายคลึงกัน หลังจากหัวเราะเล็กน้อย แสดงท่าทีเหมือนดูถูกเล็กน้อยที่จะตอบคำถามนี้
“คำตอบของข้าก็เหมือนกัน! นักพรตหาน คำตอบของเจ้าล่ะ?” มั่วเจี่ยนหลีสูดหายใจเข้าลึกๆ พร้อมเอ่ยตอบออกมาเช่นเดียวกัน
“กลับกันแล้วข้าน้อยค่อนข้างมีความสนใจในสิ่งที่พี่หลิงสามารถนำออกมาได้” ไม่เป็นเช่นผู้อื่น หลังจากหานลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย จึงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงคลุมเครือ
“ในเมื่อน้องหานสนใจ ถ้าเช่นนั้นลองดูรายการสมบัติสักหน่อยแล้วค่อยว่ากันอีกทีเถอะ”
ชายชราไม่สนใจเสียเวลาอธิบายอีกต่อไป เมื่อได้ยินคำตอบของหานลี่ก็สะบัดแขนเสื้อหนึ่งที แสงสว่างสีน้ำเงินกลุ่มหนึ่งพลันบินออกมาจากแขนเสื้อ
หานลี่ขยับมือข้างหนึ่ง แสงสีน้ำเงินรวมกันเป็นแสงเดียว กลายเป็นม้วนคัมภีร์หยกสีเขียวหล่นใส่มือ
คลี่ม้วนคัมภีร์ด้วยมือข้างเดียว แล้วนำมาแปะไว้ที่หน้าผากโดยไม่ลังเล ทันใดนั้นก็ส่งจิตสัมผัสสายหนึ่งพุ่งหายไปยังกลางม้วนคัมภีร์
สายตาของผู้อื่น ย่อมตกอยู่ที่ตัวของเขา
เวลาผ่านไปชั่วขณะหนึ่ง สีหน้าของหานลี่ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ก็สลายหายไปอย่างรวดเร็วในพริบตา
หลังจากเวลาผ่านไปเล็กน้อย เขาก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ ในที่สุดก็นำม้วนคัมภีร์หยกลงมาจากหน้าผาก สะบัดข้อมือโยนมันกลับไป
“เหตุใดหรือ…หรือว่าของพวกนี้ของเปิ่นหวางล้วนไม่เข้าตาท่าน” แสงสีขาวด้านหน้าของผู้เฒ่าสว่างวูบหนึ่ง ม้วนคัมภีร์หยกสีเขียวผันผวนเล็กน้อยแล้วถูกเก็บกลับไป ชายชราถามออกมาอย่างไม่ใส่ใจ
“สิ่งของที่อยู่ในรายการของท่านนักพรต ไม่มีชิ้นไหนเลยที่จะไม่เป็นสมบัติหายาก และแม้ว่าสมบัติเหล่านี้จะเป็นสมบัติที่หาได้ยากยิ่งในโลกอื่นๆ แต่น่าเสียดายที่สมบัติพวกนี้ไม่ค่อยมีประโยชน์กับข้านัก สิ่งของพวกนี้ไม่น่าดึงดูดใจเท่ากับยันต์ซานชิงเหลยเซียว” หลังจากหานลี่บ่นพึมพำอยู่ครู่หนึ่ง จึงตอบออกมาอย่างสงบ
“น่าเสียดายจริงๆ เปิ่นหวางก็ให้ความสำคัญกับยันต์เหลยเซียวมาก เดิมทีคิดว่าจะใช้สิ่งของอย่างอื่นมาทดแทนสักหน่อย แต่ดูเหมือนตอนนี้จะเป็นไปไม่ได้เสียแล้ว” ชายชราในชุดขาวไม่ได้รู้สึกแปลกใจอันใด เพียงตอบออกมาด้วยสีหน้าที่เป็นปกติ
“เอาล่ะ ในเมื่อพวกเราทั้งสี่คนล้วนไม่เปลี่ยนแปลงความต้องการในทีแรก พี่หลิงรีบพูดเนื้อหาของข้อตกลงออกมาเถิด” เฮยหลินอดทนต่อไปไม่ไหวแล้ว
“หึๆ มูลค่าของยันต์ซานชิงเหลยเซียวนี้เป็นอย่างไร เปิ่นหวางคงไม่ต้องพูดถึงแล้ว พวกท่านคงรู้แจ้งแจ่มชัดกันดี ผู้เฒ่าตั้งใจนำพวกมันออกมา แน่นอนว่าสิ่งของที่อยู่ในเงื่อนไขของข้อตกลงย่อมไม่ได้แตกต่างจากมูลค่าของยันต์ราวกับฟ้ากับเหว เพียงแต่สิ่งของชิ้นนี้ไม่ได้อยู่ในการครอบครองของพวกท่านทั้งสี่อย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นตอนที่ข้าส่งคำเชิญไปให้ในตอนแรก เปิ่นหวางคงบอกเล่ารายละเอียดออกไปโดยตรงแล้ว” ชายชราชุดขาวมองไปที่เฮยหลินเล็กน้อย สีหน้ามีความประหลาดสายหนึ่งวาบผ่านพลางพูดออกมา
“หืม ในจดหมายของท่านไม่ได้กล่าวถึงสิ่งที่ต้องการเป็นการแลกเปลี่ยนโดยตรง แต่ท่านกลับวางแผนจะให้พวกเราไปทำเรื่องอันตรายมากบางอย่างเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับยันต์เหลยเซียวนี้ แต่ว่าท่านนักพรตอย่าประมาททรัพย์สมบัติของเราในท้องทะเล สมบัติล้ำค่าที่ใต้ทะเลลึกนั้นมีมากเกินกว่าที่พวกท่านจะจินตนาการออก พวกเราพี่น้องเคยพบเจอถ้ำโบราณใต้ทะเลสึกมากถึงเจ็ดถึงแปดแห่ง ในนั้นมีสมบัติที่มีค่ามาก พูดตามตรง ไม่ได้ด้อยไปกว่ายันต์เหลยเซียวนั้นเลย หากข้าน้อยนำมันออกมา เชื่อว่าคงสามารถทำให้พี่หลิงเปลี่ยนแปลงความคิดได้” เซวี่ยหรานสูดหายใจเข้าพลางกล่วออกมา
“ตอนที่ข้าฝึกวรยุทธ์ในตอนนั้นก็พบเจอโอกาสดีๆ มากมาย ถามตัวเองว่าของที่อยู่ในมือนี้เพียงพอต่อการแลกเปลี่ยนยันต์เหลยเซียวหรือไม่ มิเช่นนั้นคงไม่เดินทางมาในครั้งนี้ด้วยตัวเองหรอก” ดวงตาของมั่วเจี่ยนหลีเปล่งประกาย พลางพูดออกมาพร้อมสีหน้าที่มีความมั่นใจ
หานลี่เพียงยิ้มจางๆ ไม่เอ่ยสิ่งใด
“ผู้เฒ่าไม่จำเป็นดูสิ่งของที่ทุกท่านเตรียมมาแลกเปลี่ยนหรอก อีกทั้งยังเชื่อว่ามูลค่าของสิ่งที่ข้าต้องการนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่ายันต์เหลยเซียวของเปิ่นหวางอย่างแน่นอน แต่ก็เหมือนกับนักพรตทุกท่านที่ต้องการยันต์เหลยเซียวในการปกป้องตนเองเมื่อต้องเผชิญหน้ากับทัณฑ์สวรรค์ เรื่องที่ข้าต้องการให้พวกท่านไปทำ ก็เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของข้าเช่นกัน นอกจากสิ่งนี้ข้าก็ไม่สามารถนำแลกยันต์เหลยเซียวกับสมบัติชิ้นอื่นได้”
ชายชราในชุดขาวตอบออกมาตามตรงโดยไม่เลอะเทอะ