“ผู้ใดจะรู้ล่ะ บางทีเขาอาจจะวางแผนไว้นานแล้ว และมีตำแหน่งที่แม่นยำของแดนที่ถูกทอดทิ้ง บางทีอาจจะแค่เกิดเรื่องอันใดขึ้น ไม่อาจหนีเข้าไปได้ แต่ตอนนั้นคนทรยศผู้นั้นเอาสมบัติหนีการไล่สังหารของอารามจิ่วหยวนของพวกเราไปได้อย่างง่ายดาย เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้มีคนอยู่เบื้องหลัง มิเช่นนั้นแค่ความกล้าหาญของเขาก็คงไม่กล้าทรยศอารามของเรา” นักพรตหน้าดำดูเหมือนจะคิดอันใดได้ แล้วเอ่ยอย่างขบคิดอันใดอยู่
“นั่นจะมีอันใดให้เดากัน กว่าครึ่งผู้ที่อยู่เบื้องหลังก็คือหนึ่งในคนที่ลงมือขัดขวางบรรพชนของเจ้าด้วยตัวเอง” ฮูหยินพลันหัวเราะอย่างเย็นชา
นักพรตหน้าดำพยักหน้า เห็นได้ชัดว่าคิดเช่นนั้นเช่นกัน
“เอาล่ะ เรื่องของบรรพชนของเจ้าไม่ใช่สิ่งที่เจ้าและข้าจะยุ่งได้ ข้ากลับอยากรู้ว่าหากมีวิธีส่งคนไปที่แดนที่ถูกทอดทิ้งจริง อารามจะส่งศิษย์ผู้ใดลงไปแดนล่าง ศิษย์หลานหลี เจ้าสนใจหรือไม่” ฮูหยินชุดสีม่วงพลันหัวเราะน้อยๆ ออกมาขณะเอ่ยถาม
“ท่านอาจารย์อาล้อเล่นแล้ว! ศิษย์หลานพลังยุทธ์แค่นี้ไหนเลยจะรับภาระที่หนักอึ้งนี้ได้ ทว่าปกติแล้วศิษย์พี่ศิษย์น้องที่ไม่ชอบยุ่งเรื่องทางโลกก็น่าจะไม่ค่อยอยากรับภารกิจนี้ คนทรยศผู้นั้นพลังยุทธ์ไม่ธรรมดา เดิมก็เป็นศิษย์ที่จัดอยู่ในอันดับแรกๆ ของศิษย์ในระดับเดียวกัน ยามนี้ดูแล้วก็เหมือนจะไม่อาจรักษาชีวิตไว้ได้ในแดนล่าง แต่ก็ไม่อาจไม่ระวังว่าจะเป็นกลลวงของเขาได้ และยิ่งไปกว่านั้นหากเขาถูกกดไว้ในแดนล่างจริง ก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก นั่นหมายความว่าแดนนั้นมีสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งมาก หากให้ศิษย์ทั่วๆ ไป หากอุบายไม่เพียงพอ ก็อาจจะทำให้ผู้แข็งแกร่งในแดนนั้นหวาดกลัว และกระทำการได้อย่างราบรื่นได้” นักพรตหน้าดำโบกมือเป็นพัลวันขณะเอ่ย
“อ๋อ จากที่เจ้าพูด เช่นนั้นก็ทำได้เพียงต้องเลือกจากศิษย์ที่เข้าออกแดนนอกเป็นเรื่องปกติมาสักคนแล้ว ศิษย์หลานจู้ ศิษย์หลานอู้ล้วนเป็นผู้ที่โดดเด่น น่าจะมีโอกาสถูกเลือกสินะ” ฮูหยินชุดสีม่วงเอ่ยพร้อมกับอมยิ้ม
“ศิษย์พี่จู้ ศิษย์น้องอู้ คนหนึ่งเคร่งขรึม คนหนึ่งมีไหวพริบ ล้วนเป็นตัวเลือกที่ไม่เลว แต่เทียบกับอีกคนแล้ว กลับแตกต่างกันมาก” นักพรตหน้าดำแววตาเปล่งประกาย แล้วเอ่ยอย่างลึกลับ
“อีกคน เจ้าหมายถึง…” ฮูหยินชุดสีม่วงได้ยินพลันตกตะลึง
“ท่านอาจารย์อายังไม่รู้สินะ ศิษย์พี่หม่าออกจากการกักตนแล้ว” นักพรตหน้าดำเอ่ยอย่างแช่มช้า
“อันใดนะ หม่าเหลียงพ้นการลงโทษตั้งแต่เมื่อไหร่ เหตุใดข้าถึงไม่ได้ข่าวเลย” ฮูหยินชุดสีม่วงได้ยิน รอยยิ้มบนใบหน้าพลันสลายหายไป
“ศิษย์หลานก็พบกับศิษย์น้องในอารามที่โลกภายนอกเมื่อสองสามวันก่อนถึงได้รู้เรื่องนี้ ยามนี้ผู้ที่รู้เรื่องนี้ความจริงแล้วมีแค่ไม่กี่คนเท่านั้น และจากพลังยุทธ์และฝีมือของศิษย์พี่หม่า มีโอกาสที่จะถูกท่านอาจารย์ลุงส่งไปรับหน้าที่นี้” นักพรตหน้าดำเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“หึ นั่นก็ไม่แน่ แม้ว่าหม่าเหลียงจะมีพละกำลังไม่เลว แต่นิสัยมุทะลุไปหน่อยตอนนั้นแค่หลอมสมบัติชิ้นนี้ ก็เคยสละโลหิตของสิ่งมีชีวิตนับล้านคนของแคว้นเล็กๆ ในแดนล่างไป ไม่รู้ว่าสร้างปัญหาให้กับอารามเราตั้งเท่าไหร่ หากไม่ใช่ท่านบรรพชนของเจ้าเห็นแก่เขาที่มีพรสวรรค์เหนือชั้น และอารามของเราก็ทำความดีมาหลายครั้ง ย่อมไม่มีทางจบเรื่องนี้ได้ภายในเวลาแค่หมื่นปีแน่ หากปล่อยให้เขาไปยังแดนที่ทอดทิ้งที่คนอื่นๆ สอดมือเข้ามายุ่งไม่ได้ เกรงว่าจะก่อให้เกิดหายนะที่ใหญ่กว่าเดิม” ฮูหยินชุดสีม่วงเอ่ยอย่างเย็นชา
“ท่านอาจารย์อาก็พูดมีเหตุผล แต่ท่านอาจารย์อาอย่าลืมล่ะ ของที่อยู่ในมือคนทรยศสำคัญกับอารามของเราและท่านบรรพชนแค่ไหน หากหลอมสิ่งนี้ขึ้นใหม่ได้ เกรงว่าเหล่าท่านอาจารย์ลุงคงให้เขาลงไปจับคนทรยศในแดนล่างแล้ว”นักพรตหน้าดำหัวเราะหึๆ ขณะเอ่ย
“จากนิสัยของเจ้าพวกนั้น ก็มีโอกาสเป็นไปได้ หากให้หม่าเหลียงลงไปในแดนล่าง แม้ว่าพลังยุทธ์และพลังปราณจะถูกกดไว้ แต่จากฝีมือของเขา ย่อมต้องเอาสิ่งนั้นกลับมาได้แน่ ช่างเถิดเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้าและข้า เจ้าก็เป็นแค่ศิษย์ผู้ดูแลเล็กๆ คนหนึ่ง ข้าเองก็เป็นแค่ผู้ดูแลวังในนามเท่านั้น ทว่าไม่ว่าส่งผู้ใดลงไปยังแดนล่าง เกรงว่าคงต้องให้บรรพชนของเจ้าอนุญาตด้วยตนเอง แต่หากเจ้ามีข่าวที่แม่นยำของคนทรยศผู้นั้น อย่าลืมบอกข้าสักคำล่ะ” ฮูหยินชุดสีม่วงครุ่นคิดแล้วเอ่ยเช่นนี้ออกมา
“ขอรับ ศิษย์หลานจะพยายามเต็มที่” นักพรตหน้าดำตอบกลับอย่างนอบน้อม
“ยังมีเรื่องอื่นอีกหรือไม่ หากไม่มี ข้าจะไปพักผ่อนก่อน” ฮูหยินชุดสีม่วงเอ่ยถามอย่างไม่คิดเช่นนั้น “ที่มาที่นี่ในวันนั้นก็เพียงเพื่อจะแจ้งเรื่องนี้ ไม่มีเรื่องอื่น ศิษย์หลานขอตัวลาก่อนขอรับ” นักพรตหน้าดำได้ยิน ทันใดนั้นก็หยัดกายลุกขึ้นขณะเอ่ย
ฮูหยินชุดสีม่วงแค่พยักหน้า ดูเหมือนว่าจะหมดความสนใจในการพูดคุยไปแล้ว
นักพรตหน้าดำกล่าวลา แล้วหันกายเดินไปที่ประตูใหญ่
เมื่อสองเท้าของเขาเหยียบไปที่ประตูใหญ่ ระลอกคลื่นพลันปรากฏขึ้น ร่างทั้งร่างสลายหายไป
ครู่ต่อมานักพรตหน้าดำก็รู้สึกเพียงว่าเบื้องหน้าสว่างจ้า ตัวมาปรากฏตัวในทุ่งหญ้าอีกครั้ง รอบด้านเป็นต้นไม้แปลกประหลาดดังเก่า มีเพียงด้านหลังที่ว่างเปล่า ไหนเลยจะมีเงาร่างของตำหนักและฮูหยินชุดสีม่วง
นักพรตหน้าดำกวาดตามองด้านหลังสองแวบแล้วยกเท้าขึ้นอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด เดินกลับไปตามทางเดินเล็กๆ ของในสวนยามที่เดินมา
หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งกาน้ำชา หน้าประตูตำหนักยักษ์ของวังเซียนขนนกทองคำก็มีเสียงมังกรคำรามดังขึ้น มังกรวารีน้ำแข็งสีฟ้าพวยพุ่งขึ้นบนไปท้องฟ้าอีกครั้ง หลังจากกะพริบวาบๆ ก็หายวับไปกลางเทือกเขา
ในเวลาเดียวกันภายในตำหนักลึกลับ ฮูหยินชุดสีม่วงยังคงนั่งครุ่นคิดอยู่บนเก้าอี้ หลังจากผ่านไปชั่วครู่ถึงได้เอ่ยพึมพำกับตัวเองด้วยรอยยิ้มเย็นชา
“แดนที่ถูกทอดทิ้ง หม่าเหลียง จุ๊ๆ เช่นนั้นก็ดี…”
สตรีเอ่ยจนถึงมายามสุดท้ายก็ค่อยๆ แผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน ผิวมีรัศมีลำแสงม้วนวนออกมา คาดไม่ถึงว่าร่างกายจะเลือนรางหายไป
…
แดนวิญญาณ ในเขตต้องห้ามของภูเขาซ่อนวิญญาณ
ชายชราชุดขาว หานลี่ ม่อเจี่ยนหลีรวมทั้งระดับมหายานเสวี่ยหรานและพวกกำลังยืนอยู่ด้านหน้าเขตอาคมยักษ์แห่งหนึ่ง
เขตอาคมนี้มีขนาดสองสามหมู่ ไม่เพียงจะมีลวดลายวิญญาณสีทองเงินเรียงรายอยู่ ทุกมุมล้วนฝังผลึกศิลาระดับสุดยอดหลากสีสันเอาไว้ คาดไม่ถึงว่าจะมีมากนับร้อยก้อน
ด้านหลังที่ไกลกว่าเดิม บุรุษหัวโล้นและพวกเผ่าวิญญาณระดับผสานอินทรีย์แปดคนยืนอย่างนอบน้อมอยู่ตรงนั้น
หานลี่และพวกใช้สายตาพิจารณาเขตอาคมยักษ์เงียบๆ ไม่หยุด มีเพียงชายชราชุดขาวที่เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า มือถืออาวุธที่มีลักษณะเหมือนจานอาคมเอาไว้ มือหนึ่งกรีดนิ้วไปมาไม่หยุด ราวกับว่ากำลังคำนวณอันใดอยู่
“ถึงเวลาอันสมควรแล้ว หากออกเดินทางในยามนี้ ก็ถึงเวลาพอดี” ชายชราชุดขาวหน้าเปลี่ยนสี หยุดนิ้วขณะเอ่ย
“เอาล่ะ ผู้แซ่ม่อและพวกไม่เกรงใจแล้ว” ม่อเจี่ยนหลีได้ยินก็มีชีวิตชีวาขึ้น สาวเท้ายาวๆ เดินผ่านเขตอาคม
หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมาแล้วตามไป
แต่ชายชราชุดขาวก็มองลึกเข้าไปในแววตาของทั้งสองแวบหนึ่ง แล้วใช้น้ำเสียงออกคำสั่งเอ่ยขึ้นสองสามประโยค
“ส่งพิกัดกลับมา เหล่าสหายจะจัดการเอง ขอแค่ถึงเวลานั้นบดขยี้หัวใจของซิวหลัวได้ ก็จะกลับไปยังแดนวิญญาณได้โดยอัตโนมัติ ทว่าตาเฒ่าต้องเตือนสักหน่อย ทุกท่านไม่อาจรอให้พลังของสิ่งนี้หมดเกลี้ยงแล้วค่อยปฏิบัติการได้ หากไม่มีพลังของหัวใจซิวหลัว ทุกท่านก็อาจจะถูกกักอยู่ในแดนซิวหลัวตลอดกาล”
“ขอบพระคุณพี่หลิงที่เตือน ผู้แซ่ม่อจะระมัดระวังมากกว่าเดิม” ม่อเจี่ยนหลียืนอยู่ในเขตอาคม หน้าเปลี่ยนสีแล้วตอบกลับด้วยรอยยิ้มบาง
หานลี่ประสานมือคารวะชายชราเล็กน้อยด้วยสีหน้าราบเรียบ หมายถึงการขอบคุณ
เซี่ยหรานหัวเราะร่า พาเฮยหลินไปด้วย และชั่วพริบตาที่ใกล้จะเข้าไปในเขตอาคม ก็หันหน้ามาเอ่ยถามชายชรา
“สหายหลิง เส้นไหมลำแสงทมิฬที่เจ้าต้องการมอบให้ข้าและพี่น้องเถิด แต่หลังจากที่รอให้พวกเราได้สิ่งนี้กลับมา สหายคงไม่เปลี่ยนใจสินะ?”
“พี่เซี่ยวางใจเถิด เส้นไหมลำแสงทมิฬที่ผู้แซ่ม่อต้องการนั้นมีประโยชน์มาก จะผิดสัญญาได้อย่างไร” ชายชราชุดขาวได้ยินก็ไม่โกรธกลับตอบกลับอย่างราบเรียบ
“มีคำพูดของสหายก็พอแล้ว” เซี่ยหรานเผยสีหน้าพึงพอใจออกมา หลังจากหยักไหล่ ก็มาปรากฏตัวข้างกายหานลี่และม่อเจี่ยนหลีพร้อมกับเฮยหลิน
ชายชราชุดขาวเองก็ไม่ลังเลอันใด ชูจานอาคมในมือขึ้น ลำแสงสีขาวสายหนึ่งพุ่งออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป จมหายเข้าไปในเขตอาคมอย่างไร้ร่องรอย
ชั่วขณะนั้นเขตอาคมยักษ์พลันมีเสียงร้องดังขึ้น รัศมีลำแสงสีทองเงินม้วนวนออกมา ในเวลาเดียวกันอักขระยันต์จำนวนนับไม่ถ้วนก็ทะลักออกมาจากผลึกศิลา
เสียงอึกทึกดังขึ้น!
เงาร่างของหานลี่และพวกกลับเปล่งแสงสว่างวาบหายวับไปจากเขตอาคม
ชายชราชุดสีขาวเองก็จ้องเขม็งไปยังใจกลางของเขตอาคมด้วยดวงตาที่ไม่กะพริบ จนถึงยามที่ทุกคนสลายหายไปถึงได้ผ่อนคลายลงเฮือกหนึ่ง แต่เมื่อครุ่นคิดก็หันกายไปออกคำสั่งกับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เผ่าวิญญาณแปดคน
“พวกเจ้าฟังให้ดี ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปให้ผลัดเวรกันเฝ้ายามเขตอาคมนี้ ขอแค่มีความผิดปกติเพียงเล็กน้อย ก็ให้ส่งข่าวมาให้ข้าทันที”
“ขอรับ ใต้เท้าราชาวิญญาณ!” เผ่าวิญญาณระดับผสานอินทรีย์แปดคนย่อมตอบรับเป็นเสียงเดียวกัน
ชายชราชุดขาวพยักหน้าสะบัดแขนเสื้อ ชั่วขณะนั้นลำแสงสีขาวพลันม้วนวนออกมา กลายเป็นสายรุ้งยาวพุ่งแหวกอากาศไป
เผ่าวิญญาณแปดคนที่เหลือพลันปรึกษากัน หกคนในนั้นจากไปตามลำดับ เหลือเพียงบุรุษหัวโล้นและเผ่าวิญญาณระดับผสานอินทรีย์อีกคนหนึ่ง
สองคนก็นั่งขัดสมาธิอยู่ที่เดิมอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด หลังจากหลับตาทั้งสองข้างลง ก็แผ่จิตสัมผัสอันแข็งแกร่งยิ่งออกไป ห่อหุ้มเขตอาคมทั้งเขตเอาไว้
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ขอแค่เขตอาคมยักษ์มีความผิดปกติเพียงเล็กน้อย ก็ไม่อาจปิดบังหูตาของทั้งสองคนได้
ภายใต้การหลับตาของวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ทั้งสอง กลิ่นอายก็ค่อยๆ มั่นคงขึ้น และเข้าสู่สมาธิในที่สุด
…
หานลี่สะบัดศีรษะถึงได้รู้สึกว่าความหนักอึ้งในหัวผ่อนคลายลงไปหลายส่วน
การส่งตัวที่ไม่เหมาะสม เขาไม่ได้สัมผัสมานานแล้วจริงๆ
แน่นอนเป็นเพราะการส่งตัวครั้งนี้เป็นการส่งตัวข้ามเขตอาคมที่หาได้ยาก แม้ว่าจากพละกำลังอันแข็งแกร่งของเขา ก็ไม่อาจไร้ซึ่งความผิดปกติได้
เมื่อหานลี่ได้สติกลับมาแน่นอนว่าย่อมต้องเงยหน้ากวาดตามองไปรอบๆ
เห็นเพียงรอบด้านล้วนเป็นต้นไม้สีขาวขนาดเท่าปากชาม บนพื้นดินมีพุ่มไม้เตี้ยๆ หลากชนิด วัชพืชหลากชนิดขึ้นแซมไปหมด แต่กิ่งไม้และใบไม้ล้วนแห้งเหี่ยวเป็นสีเหลืองกรอบ ให้ความรู้สึกรกร้าง
ทว่าเงาร่างของม่อเจี่ยนหลีและเซี่ยหรานและพวกกลับหายไป
หานลี่พลันมีสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง!
สถานการณ์เช่นนี้เขาและม่อเจี่ยนหลีคาดเดาเอาไว้ก่อนมาแล้ว และได้วางแผนจัดการเอาไว้แล้ว
แต่ทันใดนั้นเขาพลันเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ผลคือพลันหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย