“ระดับมหายาน!” หานลี่พลันใจหายวาบ หลังจากที่ลำแสงหลีกหนีที่ผิวหม่นแสงลง ร่างทั้งร่างก็หยุดนิ่งอยู่ที่เดิม
ยามนี้จิตสัมผัสที่น่ากลัวสายนั้นกวาดผ่านรอบๆ ในรัศมีเกือบหมื่นลี้ไปสองสามรอบ ถึงได้วางใจเก็บกลับไป
เวลาต่อจากนี้ก็ไม่มีสิ่งใดส่งออกมาจากส่วนลึกของเทือกเขาอีก
“จิตสัมผัสนี้ไม่ใช่สิ่งที่แมงมุมซิวหลัวโตเต็มวัยธรรมดาๆ จะแผ่ออกมาได้ หรือว่าที่นี่มีแมงมุมซิวหลัวที่แข็งแกร่งกว่าระดับมหายานทั่วๆ ไป หากเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดนี้ หากเข้าใกล้มากกว่านี้ เคล็ดวิชาอำพรางทั่วไปเกรงว่าคงไม่อาจปิดบังจิตสัมผัสของมันได้ ทว่าแผ่จิตสัมผัสมาได้ไกลเพียงนี้ แถมยังไม่มีท่าทีอ่อนแอ น่าจะยืมสมบัติเพิ่มพลังอันใดสักอย่างถึงจะถูก” หานลี่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ได้ลงมือในทันที พลันขบคิดไปมา ใบหน้ากลับเผยสีหน้าเคร่งขรึมออกมา
หากเป็นสิ่งมีชีวิตที่ระดับเหนือกว่าจิตวิญญาณเที่ยงแท้จริงๆ แม้ว่าเขาก็ไม่อาจมองผ่านไป
เขาครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ในที่สุดก็ตัดสินใจ พลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง ยันต์สีม่วงปรากฏออกมา และส่งเสียง “ปัง” กลายเป็นไอสีม่วงห่อหุ้มร่างของเขาเอาไว้ ด้านในมีอักขระยันต์หลากชนิดทะลักออกมา แล้วกลายเป็นหมอกสีม่วงผืนหนึ่ง
เมื่อไอสีม่วงสลายออกอย่างเงียบเชียบ ด้านในก็เปลี่ยนเป็นว่างเปล่า หานลี่ใช้ยันต์ชำระพิสุทธิ์อีกครั้งเพื่อไม่ให้เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น
เขาในยามนี้อยู่ในสภาวะไร้รูปร่าง และบินเข้าไปในส่วนลึกของยอดเขาโดยไม่หวาดกลัวอันใดอีก
แม้จะเป็นเพราะร่างกายของเขาล่องหนอยู่ จึงไม่อาจใช้ความเร็วเต็มอัตราได้ แต่ระหว่างที่บินไปก็ร่นระยะทางทีละยี่สิบสามสิบจั้ง ยามนี้จึงเข้ามาในเทือกเข้าแล้ว
เขาอาศัยจิตสัมผัสที่เหลืออยู่บนร่างของสตรีวัยดรุณี แม้ว่าจะอยู่ห่างกันเป็นพันลี้ ก็ยังคงสัมผัสตำแหน่งของนางได้อย่างชัดเจน
ดังนั้นยามนี้หานลี่จึงไม่ได้รีบจะร่นระยะทาง ยังคงติดตามนางไปอย่างไม่รีบร้อนและไม่ได้เชื่องช้านัก
ทว่าเมื่อเขาเข้ามาในเทือกเข้าได้ไม่ถึงหมื่นลี้เศษ หัวคิ้วก็อดที่จะขมวดมุ่นตามจิตสำนึกไม่ได้
เดิมคิดว่ารังแมงมุมซิวหลัวจะอยู่ที่นี่ เทือกเขานี้คงจะมีอสูรวิหคชนิดอื่นอยู่เพียงน้อยนิด อย่างน้อยก็คงไม่มีสิ่งที่แข็งแกร่งมากนัก
แต่หลังจากที่กวาดจิตสัมผัสไปเงียบๆ เมื่อครู่ ในเขตหนึ่งตรงขอบของเทือกเขา เขาพบอสูรประหลาดระดับเทพแปลง และหลอมสูญอยู่ยี่สิบสามสิบตัว และวิหคประหลาดระดับผสานอินทรีย์อีกสองตัว
วิหคประหลาดสองตัวนั้นเรือนกายสีแดงเพลิง ร่างกายใหญ่โตราวกับวัว มีขนเหล็กสีเทาทั่วตัว หัวมีเนื้องอกอัปลักษณ์งอกออกมา
ทั้งสองยืนอยู่บนกิ่งไม้ของต้นไม้ยักษ์ห่างจากเขาไปพันลี้ ตัวหนึ่งชูคอหันซ้ายหันขวาไม่หยุด ตัวหนึ่งตาปรือๆ ราวกับกำลังจมอยู่ในภวังค์แห่งนิทรา
และอสูรประหลาดอื่นๆ นอกจากนี้ก็แบ่งเป็นตัวที่เป็นครึ่งคนครึ่งอสูร แบ่งออกเป็นสองสามกลุ่มลาดตระเวนไปมาอยู่ในบริเวณนี้
อสูรประหลาดของแดนซิวหลัว คาดไม่ถึงว่าจะสวามิภักดิ์ให้กับแมงมุมซิวหลัว
หานลี่กำลังตกตะลึง แล้วอดที่จะส่งเสียงจุ๊ๆ ชื่นชมไม่หยุดในใจ
ยามที่ราชาวิญญาณและพวกกำลังอธิบายถึงแมงมุมซิวหลัว ก็ไม่เคยเอ่ยถึงอสูรประหลาดชนิดอื่นเลย
ดูแล้วหากไม่ใช่เพราะราชาวิญญาณและพวกดูถูกสติปัญญาของแมงมุมซิวหลัวในตอนแรก ก็คงเป็นเพราะสัตว์ประหลาดในแดนซิวหลัวเกิดการกลายพันธุ์ มิเช่นนั้นทุกอย่างตรงหน้าก็แปลกประหลาดเกินไปหน่อยแล้ว
เมื่อเชื่อมโยงกับแมงมุมซิวหลัวที่แปลงกายก่อนหน้านี้ ระดับหลอมสูญก็อาจจะกลายร่างเป็นมนุษย์ กว่าครึ่งแล้วอย่างหลังนั้นมีโอกาสเป็นไปได้มาก
หานลี่ขบคิดอย่างเงียบๆ ในใจอดที่จะระมัดระวังตัวต่อแมงมุมซิวหลัวมากขึ้นไม่ได้ แต่ก็ยังคงติดตามสตรีวัยดรุณีอยู่ไกลๆ ไม่มีเจตนาจะหยุดพักเลยสักนิด
เวลาหนึ่งมื้ออาหารเต็มๆ หานลี่ห้อตะบึงไปเป็นล้านลี้ ในที่สุดก็มองเห็นเมืองศิลาสีเขียวอยู่ท่ามกลางยอดเขาต่างๆ
เมืองแห่งนี้ล้วนสร้างขึ้นจากศิลาสีเขียวขนาดยักษ์ กำแพงเมืองสูงถึงสองสามร้อยจั้ง แต่อาณาเขตกลับมีแค่ยี่สิบสามสิบลี้ มองจากไกลๆ เหมือนกับป้อมปราการ
แต่สิ่งที่น่าแปลกก็คือบนกำแพงเมืองสูงใหญ่เหล่านี้ นอกจากรูปปั้นสัตว์ประหลาดสีเขียวหลากหลายชนิดแล้ว กลับโล่งกว้างเป็นพิเศษ คาดไม่ถึงว่าจะไม่มีเงาร่างคนบนนั้น
สิ่งที่แปลกยิ่งกว่าก็คือรอบๆ เมืองศิลาแห่งนี้ คาดไม่ถึงว่าจะไม่มีประตูเลยสักนิด ล้วนถูกกำแพงเมืองสูงใหญ่ล้อมเอาไว้จนแม้แต่สายธารก็ผ่านไปไม่ได้
แววตาของหานลี่เปล่งแสงสีฟ้าสว่างาบ ไม่ได้ใช้พลังของจิตสัมผัสแต่ใช้เนตรวิญญาณคู่นั้นมองทุกอย่างที่อยู่ด้านนอก
แต่เมื่อดวงตาของเขาฉายแสงสีฟ้า คิดจะใช้สายตามองทะลุผ่านกำแพงดูข้างในเมือง ในดวงตากลับมียันต์สีขาวจำนวนนับไม่ถ้วนทะลักออกมา หลังจากดอกบัวสีขาวปรากฏขึ้น คาดไม่ถึงว่าจะกำบังสายตาเอาไว้
“เขตอาคมดอกบัวขาว! นี่มันเรื่องอันใดกัน!”
หานลี่ร้องอุทานออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง รีบชักเนตรวิญญาณกลับมา ใบหน้ามีสีหน้าตกตะลึงปรากฏขึ้นอีกครั้ง
เขตอาคมต้องห้ามประหลาดที่เห็นเมื่อครู่ คือเขตอาคมเฉพาะที่มีชื่อเสียงในแดนวิญญาณ แม้แต่จิตสัมผัสระดับมหายานก็ยังถูกกั้นเอาไว้ด้านนอก แมงมุมซิวหลัวเหล่านี้จะวางได้อย่างไร
ยามที่ความตกตะลึงในใจของหานลี่ยังไม่สลายหายไป จิตสัมผัสก็กระโดดออกมาจากทะเลจิตสัมผัส ทันใดนั้นก็มีสีหน้าเคร่งขรึม
แทบจะในเวลาเดียวกัน ภายในเมืองศิลาที่ดูเงียบสงบ พลันมีเสียง “เปรี้ยง” ดังขึ้นกลางวันแสกๆ เงาลวงตาแมงมุมสีโลหิตขนาดเท่าภูเขาปรากฏขึ้น
บนเทวรูปแมงมุม ดวงตาฉายแววเย็นชาสองดวงแค่กลอกไปมาเล็กน้อย ตรงขอบเทือกเขามีจิตสัมผัสที่น่ากลัวปรากฏขึ้น ชั่วขณะนั้นพลันลดระดับลงมาระหว่างฟ้าดิน และพริบตานั้นก็กวาดผ่านในรัศมีวงกลมหมื่นลี้
น่าเสียดายพลังจิตสัมผัสนี้แม้ว่าจะแข็งแกร่ง แต่ยามที่กวาดผ่านร่างล่องหนของหานลี่ ก็ยังไม่พบความผิดปกติ ทำได้เพียงกลับเข้าไปในเทวรูปยักษ์โดยไม่ได้อันใดกลับไป
แต่หลังจากไม่พบความผิดปกติ เทวรูปแมงมมุมกลับเผยความโกรธเกรี้ยวมาลางๆ เสียงแค่นเสียงอย่างเย็นชาจนแทงกระดูกดังขึ้น เสียงแหบพร่าของสตรีนางหนึ่งดังออกมาจากเมืองศิลา
“เป็นสหายคนไหน ที่มาเมืองแมงมุมสวรรค์ของข้า! ไม่ว่าสหายจะทิ้งจิตสัมผัสไว้ที่ร่างของชนรุ่นหลังของข้าเพราะเหตุใด ยามนี้มาเป็นแขกแล้ว ข้าก็ต้องต้อนรับสหายให้เข้ามาพูดคุยกันในเมือง”
เสียงเดียวกันดังก้องไปมาสองสามรอบ กว่าครึ่งของเทือกเขาย่อมได้ยินอย่างชัดเจน
นอกจากอสูรประหลาดหลากหลายชนิดที่สวามิภักดิ์ต่อแมงมุมซิวหลัว ทันใดนั้นร่างกายก็สั่นเทาแล้วหมอบลงบนพื้นทันที รอบๆ เมืองศิลากลับเงียบสงัด ไหนเลยจะมีเงาร่างคนปรากฏขึ้น
“เยี่ยม เยี่ยมมาก ดูแล้วสหายคงมีเคล็ดวิชาอำพรางกายสูงส่งนัก เลยตัดสินใจจะทำเช่นนี้กับข้า ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าก็จะคอยรอต้อนรับสหายอยู่ในเมือง” เสียงของสตรีเปลี่ยนเป็นแหลมสูง ดูเหมือนจะโมโหโกรธามาก จากนั้นกลางอากาศพลันมีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น เทวรูปแมงมุมยักษ์สลายหายไป
ในเมืองกลับไปเงียบสงัดอีกครั้ง
ยามนี้หานลี่ยืนอยู่นอกรัศมีสองสามร้อยลี้ มองไปทางเมืองศิลา และหรี่ตาทั้งสองข้างลง ฉับพลันนั้นมุมปากก็ขยับ พลังจิตสัมผัสที่แข็งแกร่งแผ่ออกมาทันที พลางกดไปที่เมืองศิลาอย่างไม่ปิดบังใดๆ อีก
เมืองศิลามีลำแสงสีขาวสว่างวาบทันที เงาลวงตาดอกบัวยักษ์สีขาวปรากฏขึ้น และโจมตีจิตสัมผัสที่แข็งแกร่งของหานลี่
เสียง “ปัง” ดังสนั่นขึ้น ระเบิดออกกลางท้องฟ้าอย่างต่อเนื่อง
พลังของจิตสัมผัสกดลงมาที่ดอกบัวสีขาว คาดไม่ถึงว่าจะบิดเบี้ยวทันที และส่งเสียงอึกทึกระเบิดออกมา
หานลี่ปล่อยจิตสัมผัสออกมามากกว่าเจ็ดส่วน แทบจะเทียบเท่ากับจิตสัมผัสทั้งหมด แม้ว่าระดับมหายานธรรมดาๆ สามสี่คนรวมพลังจิตสัมผัสทั้งหมดก็ยังได้แค่ระดับนี้
แม้ว่าเขตอาคมต้องห้ามดอกบัวขาวจะมีชื่อเสียงในแดนวิญญาณ แต่จะต้านทานพลังจิตสัมผัสที่แข็งแกร่งขนาดนั้นได้อย่างไร
จากจิตสัมผัสที่แข็งแกร่งของเขา หากจะตกอยู่ในเมืองศิลา นอกจากระดับมหายานขึ้นไปที่อยู่ใกล้เคียง เกรงว่าสิ่งมีชีวิตอื่นก็คงจิตวิญาณถูกกดจนระเบิดและทยอยกันเพลี้ยงพล้ำไปทันที
“บังอาจ!”
เสียงแหบพร่าของสตรีผู้นั้นระเบิดความโกรธเกรี้ยวดังขึ้นในเมืองศิลาอีกครั้ง ในเวลาเดียวกันจิตสัมผัสของนางก็พวยพุ่งขึ้นมา และโจมตีเข้ากับจิตสัมผัสของหานลี่อย่างแรง
เสียงฟ้าร้องดังขึ้นกลางวันแสก พริบตานั้นกลางเมืองศิลาก็มีเสียงสั่นสะเทือนแสบแก้วหูดังขึ้น!
ระลอกคลื่นรุนแรงส่งมา ราวกับจะฉีกทั้งท้องฟ้าออกเป็นเสี่ยงๆ ก็ไม่ปาน
เสียงแหบพร่าของสตรีเองก็ไม่ใช่สิ่งที่ระดับมหายานทั่วๆ ไปจะเทียบเทียมได้ แต่จะเทียบกับหานลี่ที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาหลอมจิตสัมผัสเพิ่มพลังจิตสัมผัสมาได้อย่างไร ทว่าหลังจากโจมตีกันสองสามครั้งก็ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
“ปีศาจเฒ่า เจ้ายังไม่ลงมือ จะรออันใดอีก?” สตรีเสียงแหบพร่าเห็นเช่นนั้นย่อมตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยว แต่ทันใดนั้นก็ร้องด้วยเสียงแหลมสูง
หานลี่ได้ยินคำนี้ ทันใดนั้นม่านตาก็หดเล็กลง
แทบจะในเวลาเดียวกัน เสียงแค่นเสียงอย่างเย็นชาของบุรุษก็ดังออกมาจากเมืองศิลา จากนั้นพลังจิตสัมผัสที่ไม่คุ้นเคยอีกกลุ่มหนึ่งก็พวยพุ่งขึ้นมาจากมุมหนึ่งของเมือง คาดไม่ถึงว่าจะหลอมรวมกับพลังจิตสัมผัสของสตรี และต้านทานพลังแรงกดของหานลี่พร้อมกัน
“ไม่ใช่ระดับมหายานทั่วๆ ไป” หลังจากที่พลังจิตสัมผัสของหานลี่และพลังจิตสัมผัสของคนที่ปรากฏตัวขึ้นใหม่ปะทะกัน ในที่สุดใบหน้าก็เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา
ทว่าครู่ต่อมา เมื่อหานลี่พบว่าอีกฝ่ายออกแรงเต็มกำลังทั้งสองคน ก็ทำได้เพียงต้านทานตนได้เท่านั้น แววตาเย็นชาจึงฉายแวบผ่าน
เขาใช้มือหนึ่งร่ายอาคม พลังจิตสัมผัสที่แผ่ออกมาเพิ่มขึ้นสองเท่า ไปถึงเก้าส่วนแล้ว
กลางอากาศมีเสียงดังสนั่นของท้องฟ้าและผืนดินปริแตกดังขึ้น
เสียงแหบพร่าของสตรีและเสียงระดับมหายานแปลกหน้าอีกคนร้องอุทานออกมาด้วยความตกตะลึงดังออกมาจากเมืองศิลา
พลังจิตสัมผัสของทั้งสอง ถูกหานลี่ที่เพิ่มพลังจิตสัมผัสกดเอาไว้ แล้วค่อยๆ ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
“จะเป็นไปได้อย่างไร เหตุใดพลังจิตสัมผัสถึงแข็งแกร่งเช่นนี้ คนผู้นี้มีประวัติความเป็นมาอย่างไรกันแน่?” สตรีเสียงแหบพร่าและระดับมหายานอีกคนหนึ่ง อดที่จะคิดเช่นนั้นอย่างหวาดกลัวไม่ได้
หานลี่เห็นเช่นนั้นกลับมีสีหน้าไร้ความรู้สึก แต่แววตากลับเปล่งประกาย กลับอดที่จะเพิ่มพลังที่เหลืออยู่ไม่ได้ เพื่อจะทำให้ทั้งสองคนที่อยู่ในเมืองศิลาบาดเจ็บหนักทีเดียว
ถึงอย่างไรเสียการปะทะกันของจิตสัมผัสก็เป็นเรื่องที่อันตรายมาก แทบจะเป็นอันดับสองของการต่อสู้ตัดสินความเป็นตายของทารกวิญญาณ
แต่ครู่ต่อมาในเมืองศิลาพลันมีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น คาดไม่ถึงว่าจะมีจิตสัมผัสที่ใกล้เคียงกับระดับมหายานธรรมดาๆ พวยพุ่งขึ้นมา แล้วพุ่งเข้ามาหาหานลี่อย่างดุดัน
ยามนี้หานลี่อดที่จะหน้าเปลี่ยนสีไม่ได้…