คาดไม่ถึงว่าจะเป็นชายหนุ่มสองคนที่รูปลักษณ์ไม่เหมือนกัน
คนหนึ่งสวมชุดเกราะสีเงิน เรือนผมสีขาว แต่หน้าตาหล่อเหลา
อีกคนหนึ่งสวมชุดคลุมสีเหลือง รูปร่างผอมบางและแคระแกร็น กลับมีหูแหลมๆ และโหนกแก้มของลิง
ทั้งสองล้วนแผ่พลังแรงกดระดับผสานอินทรีย์ขั้นกลางออกมา หลังจากปรากฏตัวออกมา ก็คารวะฮูหยินชุดสีเขียวและชายชราทันที
ชายหนุ่มชุดสีเงินหนึ่งในนั้นพลันเอ่ยอย่างนอบน้อม
“คารวะท่านอาวุโสทั้งสอง ไม่ทราบว่าเรียกชนรุ่นหลังมา มีรับสั่งอันใดหรือ?”
“ทั้งสองไม่ต้องมากพิธี เรื่องที่เกิดขึ้นด้านนอกเมืองเมื่อครู่ พวกเจ้าน่าจะรู้แล้วสินะ” ฮูหยินชุดเขียวเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ
“ชนรุ่นหลังเห็นมานิดหน่อย ไม่ทราบว่าผู้ที่บุกเข้ามาเป็นศัตรูของฝั่งใด ดูเหมือนจะไม่ใช่คนธรรมดา” ชายหนุ่มชุดสีเงินใจหายวาบพลางตอบกลับอย่างจริงจัง
“ประวัติความเป็นมาของอีกฝ่าย แม้ว่าข้าและพี่อี้จะคาดเดาได้บ้าง แต่ก็ต้องตรวจสอบถึงจะยืนยันได้ ดังนั้นที่เรียกพวกเจ้ามา ก็เพราะจะให้พวกเจ้าไปจัดการดูสักตั้ง” ฮูหยินชุดเขียวเอ่ยอย่างแช่มช้า
ชายหนุ่มชุดสีเงินและชายหนุ่มร่างกายผ่ายผอมคาดเดาในใจเอาไว้แล้ว หลังจากได้ยินคำนี้ก็ยังคงอดที่จะหน้าเปลี่ยนสีไม่ได้
“เรื่องนี้…อิทธิฤทธิ์ของอีกฝ่ายไม่ด้อยไปกว่าระดับมหายานอย่างใต้เท้าทั้งสอง จากตำแหน่งพลังของชนรุ่นหลัง แม้ว่าจะมีใจอยากทำเรื่องนี้ เกรงว่าก็ยังคงถูกอีกฝ่ายสัมผัสได้ และอาจจะสร้างความผิดพลาดให้กับใต้เท้าทั้งสองได้ขอรับ” ชายหนุ่มชุดสีเงินรู้สึกไม่ปลอดภัย แต่ก็ทำได้เพียงตอบกลับอย่างใจดีสู้เสือ
“หึ เจ้าสองคนหวาดกลัวหรือ! วางใจ การตรวจสอบของข้าไม่ได้หมายความว่าให้พวกเจ้าไปหาเรื่องผู้แข็งแกร่งผู้นั้น แต่ให้พวกเจ้าใช้อิทธิฤทธิ์การอำพรางตัวไปดูว่ายามนี้ในแดนซิวหลัวนอกจากคนผู้นี้แล้วยังมีคนแปลกหน้าคนอื่นหรือไม่ จากฝีมือของพวกเจ้า เรื่องแค่นี้น่าจะทำได้สินะ” ฮูหยินชุดเขียวมีสีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย แล้วเอ่ยอย่างหมดความอดทน
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนั้น หากเป็นเช่นนั้นล่ะก็ ย่อมไม่มีปัญหา ชนรุ่นหลังจะไปจัดการ” ชายหนุ่มร่างกายผ่ายผอมมีสีหน้าไม่สบายใจเช่นกัน เมื่อได้ยินคำพูดของฮูหยินชุดเขียว ก็รีบค้อมตัวลงตอบราวกับได้รับนิรโทษกรรมอย่างไรอย่างนั้น
ชายหนุ่มชุดสีเงินมีสีหน้าแปลกประหลาดใจเล็กๆ แต่หลังจากครุ่นคิด ในที่สุดก็ตอบรับอย่างนอบน้อม
“เยี่ยมมาก พวกเจ้าไปจัดการเถิด แดนนี้ไม่นับว่ากว้างใหญ่นัก ครั้งนี้มีคนนอกเข้ามาเท่าไหร่ ข้าต้องรู้ให้แน่ชัดภายในสองสามวัน” ฮูหยินชุดเขียวเผยสีหน้าพึงพอใจออกมาขณะ พลางพยักหน้าขณะเอ่ย
“ขอรับ ชนรุ่นหลังจะพยายามเต็มที่”
ครั้งนี้ชายหนุ่มชุดสีเงินและพวกทั้งสองต่างตอบรับพร้อมกันด้วยน้ำเสียงที่แตกต่างกัน จากนั้นก็ถอยออกไปจากตำหนัก
เมื่อทั้งสองออกจากตำหนัก ก็มองสบตากันแวบหนึ่ง ผลคือล้วนมองเห็นรอยยิ้มขมขื่นจากใบหน้าของอีกฝ่าย
“ไปกันเถิด ในเมื่อพวกเราตอบรับเรื่องนี้ ก็มีเพียงต้องแยกกันเคลื่อนไหวและพยายามให้เต็มที่แล้ว หากคนผู้นั้นมาคนเดียวก็ช่างเถิด หากมีสหายร่วมวิถี คิดดูแล้วคงไม่ใช่ผู้อ่อนแอ พี่ว่าน ต้องระวังตัวให้มาก” ชายหนุ่มชุดสีเงินคารวะอีกฝ่าย แล้วเอ่ยอย่างเคร่งขรึมเล็กน้อย
“ขอบพระคุณคำแนะนำของพี่อู้อิ่ง ทว่าข้าสามารถควบคุมร่างแยกหมื่นร่างได้ ต่อให้พบกับสิ่งมีชีวิตระดับมหายานจริง ก็มั่นใจว่าหนีรอดได้ กลับเป็นพี่อู้อิ่งแม้ว่าเคล็ดวิชาอำพรางจะลึกลับ แต่หากพบกับผู้ที่ควบคุมได้ กลับอันตรายมาก” ชายหนุ่มร่างกายผ่ายผอมหัวเราะแล้วประสานมือคารวะพลางเอ่ยเตือนเช่นกัน
ชายหนุ่มชุดสีเงินหัวเราะหึๆ ออกมา มือหนึ่งร่ายอาคมโดยไม่ปริปาก ชั่วขณะนั้นผิวพลันมีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น กลายเป็นพายุหมุนวนไปกลางอากาศ
ส่วนชายหนุ่มร่างกายผ่ายผอมก็เบะปาก ร่างกายมีเสียง “ปัง” ดังขึ้น คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นลำแสงสีเหลืองสลายหายไป
ดวงลำแสงสีเหลืองเหล่านี้ ด้านในของทุกดวงล้วนมีผึ้งยักษ์สีเหลืองขนาดเท่าหัวแม่มืออยู่
เสียง “พรึ่บๆ” ดังขึ้น ฝูงผึ้งที่มีผึ้งยักษ์ตัวใหญ่ที่สุดเป็นผู้นำต่างพุ่งไปเช่นกัน และบินตรงไปกลางอากาศยังจุดที่อยู่ไกลออกไป
ในตำหนักฮูหยินชุดสีเขียวและชายชราแซ่อี้กลับกำลังปรึกษากันเรื่องอื่น
“เพื่อความปลอดภัย ตาเฒ่ายังรู้สึกว่าควรส่งคนไปเอาเผ่ามัจฉาว่างเปล่ากลับมาในเมืองให้หมด ขอแค่ควบคุมเผ่านี้อยู่ในมือ ต่อให้เกิดอันใดขึ้น ก็ไม่ต้องกังวลมากนัก” ชายชราแซ่อี้เอ่ยกับฮูหยินด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“หากเผ่านั้นอยู่ในการควบคุมของเราง่ายๆ ข้าคงทำไปนานแล้ว ไหนเลยต้องรอให้ถึงวันนี้ สหายเจ้าไม่ใช่ไม่รู้ ประการแรกเผ่านี้จะมีอายุยืนยาวเฉพาะอยู่ในเขตแดนเพลิงสวรรค์เท่านั้น และไม่อาจไปจากที่นั่นได้ง่ายๆ ประการที่สองเผ่านี้เคยสาบานเอาไว้ หากพวกเราใช้วิธีการใดไล่พวกเขาไป พวกเขาย่อมกระตุ้นพลัง
ชีพจรโลหิตทำให้ทั้งเผ่าสูญพันธุ์ ไม่มีทางประนีประนอมแน่” ฮูหยินชุดเขียวตอบกลับอย่างแช่มช้า
“นี่เป็นเรื่องที่น่าเจ็บปวดจริงๆ ทว่าตาเฒ่าเพิ่งฝึกฝนอิทธิฤทธิ์ใหม่ หากสหายรับความสูญเสียได้ ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีวิธีแก้ไขเรื่องนี้” ชายชราแซ่อี้ขมวดคิ้วแล้วเอ่ยขึ้น
“อ๋อ ความสูญเสียที่สหายหมายถึงคือ…” ฮูหยินชุดเขียวได้ยินพลันหน้าเปลี่ยนสี
“แน่นอนว่าย่อมเป็นการสูญเสียสมาชิกของเผ่ามัจฉาว่างเปล่า” ชายชราเอ่ยอย่างไม่ต้องขบคิด
“ไม่ได้ เผ่ามัจฉาว่างเปล่ามีสมาชิกอยู่น้อยอยู่แล้ว ข้าเสียแรงไปมากถึงได้เพิ่มประชากรของพวกมันจนมาถึงขั้นนี้ หากลดลงไปจำนวนมากล่ะก็ แผนการของพวกเราจะสำเร็จเมื่อไหร่กัน อีกอย่างในแดนนี้นอกจากเจ้ากับข้าแล้ว จะมีกี่คนที่รู้ความลับของเผ่ามัจฉาว่างเปล่า พวกเขาน่าจะไม่ดึงดูดความสนใจของภายนอกมากนัก หากพวกเราทำเช่นนี้ เกรงว่ากลับจะกลายเป็นว่าที่ตรงนี้ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง*” ฮูหยินชุดเขียวเอ่ยปากปฏิเสธ
“อ่าย นั่นมันก็ใช่ ตอนนั้นหากไม่ใช่ว่าตาเฒ่าเข้ามาในแดนนี้ด้วยความบังเอิญ และพบว่าเผ่ามัจฉาว่างเปล่าและเผ่าของเจ้าพร้อมกัน จะรู้ได้อย่างไรว่าความลับโบราณจะมีประโยชน์เข้าสักวัน ในเมื่อสหายหลัวไม่กล้าเสี่ยงอันตราย เช่นนั้นก็ช่างเถิด ทว่าเพื่อความปลอดภัย ต้องส่งคนไปลาดตระเวนแถวบ่อเพลิงสวรรค์สักหน่อย หากมีอันใดที่ไม่ถูกต้องเกิดขึ้น ก็ต้องลองเสี่ยงสำแดงอัสนีดู” ชายชราแซ่อี้ครุ่นคิดถึงได้ตัดสินใจเอ่ยขึ้น
“นั่นมันก็ได้ ต่อให้สหายไม่พูด ข้าเองก็คิดเช่นนั้น” ครั้งนี้ฮูหยินชุดเขียวเอ่ยเห็นด้วย
ดังนั้นเวลาต่อจากนี้มารดาเผ่าของแมงมุมซิวหลัวและชายชราก็เริ่มปรึกษาวิธีส่งคนออกไปอย่างละเอียด…
อีกด้านหานลี่ใช้ปีกวายุอัสนีบินหนีออกมาจากเทือกเขาในรวดเดียว
หลังจากเสียงเปรี้ยงดังขึ้น!
สายฟ้าที่พันรัดรอบกายของหานลี่พลันปรากฏขึ้นกลางอากาศ อยู่ห่างจากเทือกเขาไปแสนลี้แล้ว
เขาหันหน้าไปกวาดตามองเทือกเขาแวบหนึ่ง ชั่วพริบตานั้นก็กวาดจิตสัมผัสออกไป พบว่าไม่มีผู้ใดไล่ตามมา มุมปากก็กระตุกรอยยิ้มเย็นชา
เขาคิดเอาไว้นานแล้ว หลังจากที่อีกฝ่ายได้สัมผัสกับจิตสัมผัสที่แข็งแกร่งของเขา ก่อนที่จะรู้โฉมหน้าที่แท้จริงของเขา คงไม่กล้าไล่ตามมาง่ายๆ
เช่นนั้นการแหวกหญ้าให้งูตื่นของเขาก่อนหน้านี้ ประการแรกคือจะยืนยันตำแหน่งรังของแมงมุมซิวหลัวและพละกำลังคร่าวๆ ประการที่สองคือมัดการเคลื่อนไหวกว่าครึ่งของอีกฝ่าย
ขณะที่รู้ว่ามีศัตรูตัวฉกาจจับตามองอยู่ด้านนอก มารดาเผ่าของแมงมุมซิวหลัวและระดับมหายานที่แข็งแกร่งอีกคนหนึ่งคงกำลังกังวลว่าจะจมลง จึงไม่กล้าออกจากรังง่ายๆ
ทว่าหากอีกฝ่ายกล้าตามมาเขาก็จะอ้อมตลบโจมตีด้านหลังอีกฝ่ายอย่างไม่เกรงใจ
หากอยู่ห่างจากจุดที่มั่นของอีกฝ่ายและไม่มีผู้ช่วย แม้ว่าจะเผชิญหน้าหนึ่งต่อสอง เขาย่อมมีโอกาสชนะไม่น้อย
และระหว่างที่เขาหนีออกจากเทือกเขา ก็ทิ้งทางหนีทีไล่เอาไว้โดยที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ หากอีกฝ่ายออกจากรังจริงๆ ก็จะรู้ได้ในทันที
ยามนี้อีกฝ่ายไม่ได้ไล่ตามมา ทางหนีทีไล่นี้จึงทำได้เพียงใช้เป็นเครื่องมือจับตามองเท่านั้น เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเกิดความคิดเคลื่อนย้ายหรือว่าอำพรางตัว
แต่จะว่าไปแล้วพละกำลังความแข็งแกร่งของเผ่าแมงมุมซิวหลัวนั้นเหนือกว่าที่เขาคาดเอาไว้
หากจะต่อกรกับอีกฝ่ายภายใต้สถานการณ์ที่อยู่เพียงลำพัง ก็ได้ไม่คุ้มเสีย หานลี่ย่อมไม่คิดจะเสี่ยง จึงตัดสินใจกลับไปรวมกับม่อเจี่ยนหลีก่อนแล้วค่อยว่ากัน
ในขณะที่ทั้งสี่คนร่วมมือกัน ก็น่าจะเพียงพอที่จะต่อกรกับเผ่าแมงมุมซิวหลัวได้
หานลี่ขบคิดอย่างเงียบๆ ไม่ได้รั้งรออันใดอีก กลายเป็นลำแสงหลีกหนี พุ่งไปอีกทางหนึ่ง
…
สองวันต่อมาเหนือทะเลสาบหานลี่ลอยอยู่กลางอากาศ กำลังมองอสูรเต่ายักษ์นิรนามตัวหนึ่งและงูเหลือมสีดำสองหัวที่กำลังรบราฆ่าฟันกันอยู่ในน้ำ
อสูรสองตัวนี้ตัวหนึ่งราวกับเกาะขนาดย่อม กระดองเต็มไปด้วยตะไคร่น้ำสีเขียว ความยาวประมาณร้อยจั้ง มีเกล็ดสีดำสนิทเต็มไปหมด
บนผิวน้ำห่างจากทั้งสองไม่ไกลนักมีหญ้าวารีสีเหลืองทองนิรนามลอยอยู่ต้นหนึ่ง ครึ่งหนึ่งจมอยู่ในน้ำ อีกครึ่งหนึ่งกลับโผล่พ้นน้ำออกมา ด้านบนมีผลวิเศษสีแดงเข้มสามผล แผ่กลิ่นหอมคละคลุ้งออกมา
ผืนน้ำที่รายล้อมต้นหญ้าสีเหลืองทองนี้มีซากอสูรมัจฉาน้อยใหญ่ที่ร่างกายไม่สมบูรณ์ลอยอยู่ มีมากถึงสามสิบสี่สิบตัว
กลิ่นคาวโลหิตอสูรคละคลุ้งลอยมา แทบจะทำให้ผืนน้ำบริเวณรอบกลายเป็นสีแดงสด
คาดไม่ถึงว่าอสูรเต่าตัวนั้นและงูเหลือมยักษ์สองหัวจะเป็นอสูรประหลาดที่เหลืออยู่ในละแวกนี้
หานลี่ไม่สนใจหญ้าวารีสีเหลืองทองและผลสีแดงเข้มสามผลเลยสักนิด กลับจ้องเขม็งไปที่อสูรประหลาดสองตัวด้านล่าง แล้วเผยสีหน้าสนอกสนใจออกมา
เมื่อเห็นเต่ายักษ์ตัวนั้นและงูเหลือมยักษ์สองหัวพันรัดกัน ผิวก็ระเบิดอักขระยันต์สีฟ้าเข้มออกมา หานลี่เผยรอยยิ้มที่หาได้ยากออกมาบนใบหน้า และเอ่ยพึมพำ
“อสูรตัวนี้มีโลหิตของจิตวิญญาณเที่ยงแท้อสูรเสวียนอู่โบราณ เช่นนั้นคาถาตื่นจากจำศีลของข้าก็เพิ่มขึ้นอีกขั้นแล้ว”
สิ้นเสียงหานลี่ก็ไม่ลังเลใดๆ อีก สะบัดแขนเสื้อไปด้านล่าง ชั่วขณะนั้นสายรุ้งยาวสีเขียวสายหนึ่งก็บินออกมา แค่กะพริบวาบก็มาอยู่เหนืออสูรทั้งสองแล้วร่อนลงมา
เห็นเพียงลำแสงสีเขียวพันรัดร่างของงูเหลือมยักษ์สองหัวเอาไว้ และสับมันเป็นชิ้นๆ มากกว่าเจ็ดแปดชิ้น
อสูรเต่าตัวนั้นเห็นเช่นนี้ก็ตกใจจนดำลงไปใต้ผิวน้ำทันที หมายจะหนีไปให้ไกล
แต่ในยามนี้สายรุ้งสีเขียวพลันหมุนวนเปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมเข้าไปในผิวน้ำ
ครู่ต่อมาหานลี่ก็ยกมือขึ้นกวักเรียกอย่างไม่ราบเรียบ
ชั่วขณะนั้นผิวน้ำพลันแยกออก อสูรเต่ายักษ์ถูกเชือกสีเขียวพันรัดร่างกายเอาไว้แล้วลอยออกมา…
*ที่ตรงนี้ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง เป็นคำเปรียบเปรยหมายถึง “อยากปกปิดซ่อนเร้น กลับกลายเป็นเปิดเผยให้โลกรู้”