ไม่ใช่แค่รัศมีลำแสงสีเงิน แม้แต่บรรยากาศรอบๆ ก็ถูกเส้นสีเขียวสายนั้นสับออก และมีลำแสงสีดำสนิททะลักออกมา
เมื่อลำแสงสีเงินหม่นแสงลง ในที่สุดฉากในรัศมีลำแสงก็ปรากฏขึ้น
เห็นเพียงกลางอากาศมีเส้นสีเขียวอยู่ตรงใจกลาง กลายเป็นส่วนที่แตกต่างกันสองส่วนสีดำและขาว
ส่วนที่อยู่บนเส้นสีเขียวเหมือนกับก่อนหน้าอย่างไรอย่างนั้น แต่ถูกม่านลำแสงห้าสีที่ดูราวกับหยกแวววาวคุ้มครองเอาไว้กว่าครึ่ง
ภายใต้เส้นสีเขียวมีรอยแยกสีดำปรากฏขึ้น พลังแห่งกาลเวลาแผ่ออกมาจากด้านใน คลี่ขยายไปทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้านอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าจะกลืนกินทุกอย่างก็ไม่ปาน
สถานการณ์ที่น่าตกตะลึงเช่นนี้ทำให้คนอื่นๆ ในวงการต่อสู้อดที่จะเคลื่อนไหวเชื่องช้าลงไม่ได้ ทยอยกันใช้จิตสัมผัสกวาดมาทางหานลี่อย่างรวดเร็ว
รอจนเห็นทุกอย่างแล้ว เหล่าแมงมุมซิวหลัวพลันตกตะลึง กลับเป็นม่อเจี่ยนหลีและพวกกลับดีใจขึ้นมาเล็กน้อย
ชายชราแซ่อี้ที่กลายเป็นคนประหลาดหัววิหค แม้ว่าจะไม่ถูกการโจมตีจนต้องม้วยมรณา แต่กายท่อนล่างกลับหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย เหลือเพียงร่างท่อนบนที่อยู่ในม่านลำแสงห้าสีกลางอากาศ และกำลังกระตุ้นโล่ห้าสีแวววับด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อ
ม่านลำแสงที่ดูเหมือนกำแพงผลึกก็คือสิ่งที่ก่อตัวขึ้นจากอักขระยันต์ห้าสีที่ทะลักออกมาจากโล่ใบนั้น
พลังแห่งกฎเกณฑ์สีดำแผ่จากด้านล่างขึ้นไปด้านบน เมื่อสัมผัสกับม่านลำแสงนี้ ชั่วขณะนั้นพลันเปลี่ยนเป็นเชื่องช้าลง
“สมบัติสวรรค์ทมิฬ คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะมีของสวรรค์ทมิฬ หากไม่ใช่พลังแห่งกฎเกณฑ์ของสมบัติชิ้นนี้ เจ้าจะทลายอิทธิฤทธิ์กาลเวลาของตาเฒ่าได้อย่างไร” ชายชราแซ่อี้จ้องเขม็งไปที่กระบี่ไม้สีดำเขียวในมือของวานรยักษ์ เสียงร้องตะโกนโวยวายดังขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยว
แม้ว่าสมบัติสวรรค์ทมิฬจะเป็นสมบัติล้ำค่า ผู้แข็งแกร่งระดับมหายานก็อาจจะมีอยู่บ้างเล็กน้อย
แต่สำหรับระดับมหายานแปดในสิบส่วนแล้ว ก็ยังพยายามทั้งชีวิตก็ยังไม่อาจได้สมบัติสวรรค์ทมิฬมาได้
ระดับมหายานจากแดนต่างๆ ส่วนใหญ่มีของลอกเลียนแบบสักชิ้นสองชิ้นหรือว่าสมบัติสวรรค์ทมิฬคุ้มครองร่างก็นับว่าไม่เลวแล้ว
แม้ว่าชายชราแซ่อี้จะนับว่ามีพลังยุทธ์ดีที่สุดในบรรดาระดับมหายานทั่วไป แต่ในด้านนี้กลับไม่มีโอกาสนัก และไม่ได้สมบัติสวรรค์ทมิฬที่แท้จริงมาอยู่ในมือ
ทว่าถูกกระบี่วิญญาณประหารสวรรค์ทมิฬสับลงไปสองครั้งอย่างต่อเนื่องแล้วยังคงรักษาชีวิตเอาไว้ได้ ก็เห็นได้ชัดว่าพละกำลังของเขาไม่ธรรมดาแล้ว
“เหตุใดต้องพูดพล่ามไร้สาระ หากไม่ใช่เพราะกระบี่ผลึกห้าเล่มในมือของนายท่าน ก็ไม่อาจกระตุ้นพลังแห่งกาลเวลาได้เช่นกัน!” วานรยักษ์สับกระบี่ครั้งที่สองออกมา ร่างกายก็หดเล็กลงอีกครั้งจนมีขนาดความสูงสิบจั้งเศษ และหัวเราะอย่างเย็นชาออกมา พลางสาวเท้าก้าวมาด้านหน้า
เสียง “ปัง” ดังสนั่นขึ้น!
บรรยากาศรอบด้านมีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น เงาร่างวานรยักษ์ร่นระยะทางร้อยจั้งมาปรากฏตัวเหนือชายชราแซ่อี้
พลังปราณฟ้าดินม้วนวนอีกครั้ง กระบี่ยาวสีดำเขียวในมือวานรยักษ์สั่นเทา คาดไม่ถึงว่าจะสับกระบี่ครั้งที่สามลงมาอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
กระบี่ลำแสงสีเงินสายหนึ่ง ร่อนลงมาราวกับจันทราไสวเหนือฟ้า ระลอกคลื่นแห่งกฎเกณฑ์อันเย็นเยียบทะลักออกมาอีกครั้ง
ชายชราแซ่อี้ที่อยู่ด้านล่างเห็นเช่นนี้ ใบหน้าพลันซีดขาวอย่างหาที่เปรียบมิได้ ทำอย่างไรก็ไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะมีพลังกระตุ้นสมบัติอาคมสวรรค์ทมิฬครั้งที่แล้วอีก
ต้องเข้าใจว่าทุกครั้งที่กระตุ้นพลังเต็มอัตราของสมบัติระดับสมบัติสวรรค์ทมิฬไม่เพียงจะต้องสูญเสียพลังปราณแท้ในจำนวนที่น่าตกตะลึง ภาระอันยิ่งใหญ่ของกายเนื้อก็อยู่ในขั้นที่ยากจะเหลือเชื่อ
ผู้แข็งแกร่งระดับมหายานที่กายเนื้ออ่อนแอน้อย แม้กระทั่งกระตุ้นพลังเต็มอัตราครั้งหนึ่งก็อาจจะร่างกายแตกสลายได้
มิเช่นนั้นตอนแรกที่หานลี่อยู่ในระดับผสานอินทรีย์ แม้ว่าจะหลอมร่างนิพพานจนถึงขั้นที่สองแล้ว ก็ทำได้เพียงฝืนใช้อานุภาพของกระบี่ประหารสวรรค์ทมิฬได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
แม้ว่าการสับครั้งที่สามของหานลี่จะน่าเหลือเชื่อ ชายชราแซ่อี้ที่อยู่ด้านล่างย่อมไม่มีทางยืนนิ่งรอความตายได้
หลังจากที่ใบหน้าของเขามีสีหน้าโหดเหี้ยมฉายแวบผ่าน ฉับพลันนั้นนิ้วก็ชี้ไปที่โล่แวววาวตรงหน้า แล้วอ้าปากออกอีกครั้ง พ่นโลหิตบริสุทธิ์สีเขียวมรกตออกมาสองสามกลุ่มแล้วจมหายเข้าไปข้างใน พลางหันหน้าไปเอ่ยเสียงเหี้ยม
“สหายหลัว รีบเรียกสหายอิงออกมา ข้าไม่อาจรั้งคนตรงหน้าได้อีกต่อไปแล้ว”
คำพูดนี้ย่อมพูดกับมารดาเผ่าแมงมุมซิวหลัวผู้นั้น
ยามนี้ด้านหน้าของฮูหยินผู้นั้นมีเข็มบางๆ สีเขียวสองสามร้อยเล่มปรากฏขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็สุดจะรู้ได้ กำลังกลายเป็นลำแสงแหลมๆ ที่เจิดจ้าจำนวนนับไม่ถ้วนโจมตีไปหาเซี่ยหรานและพวกทั้งสองจนไม่อาจแยกแยะได้ ยามนั้นต่างมีท่าทีต่างฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน
เมื่อครู่มารดาเผ่าแมงมุมซิวหลัวผู้นี้ได้แบ่งจิตสัมผัสส่วนหนึ่งไปจับตามองสถานการณ์ของชายชรา ยามนี้ได้ยินเสียงร้องกระหืดกระหอบทันใดนั้นก็หน้าเปลี่ยนสี หลังจากที่กลอกตาไปมาอย่างรวดเร็ว ถึงได้กัดฟัน นิ้วทั้งห้าในแขนเสื้อกำแน่น บีบแผ่นไม้สีแดงสดจนแหลกละเอียด
อีกด้านหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปม่อเจี่ยนหลีและลูกรักอีกสองตัวกระตุ้นสมบัติแตกต่างกัน ล่อให้แมงมุมซิวหลัวโตเต็มวัยสี่ตัวเดี๋ยวสู้เดี๋ยวถอย จนมาอยู่ตรงขอบห่างออกไปยี่สิบสามสิบลี้
ดูจากท่าทางที่เหงื่อโทรมกายของเขา เห็นได้ชัดว่าไม่อาจประคับประคองได้อีกนานนัก
แทบจะในเวลาเดียวกันเมืองศิลาด้านล่าง ในห้องลับที่มีเขตอาคมต้องห้ามทับซ้อนกันหลายชั้นอย่างแน่นหนา เงาร่างสีดำสองมือถือกระบองผลึกอยู่พลันร้องอุทานว่า “เอ่” ออกมาเบาๆ ลืมตาทั้งสองข้างขึ้นช้าๆ รูม่านตามีลำแสงสีโลหิตเปล่งแสงสว่างวาบ
ตรงประตูด้านนอกห้องลับ ลูกบอลทรงกลมสีแดงโลหิตเส้นผ่าศูนย์กลางสองสามจั้งสิบกว่าลูกวางอยู่ทั้งซ้ายและขวา
เสียงเสียดสีกันดังขึ้น!
ผิวของลูกบอลทรงกลมสีโลหิตมีลำแสงสีขาวปรากฏขึ้น รอยสีขาวปรากฏขึ้นเป็นสายๆ กลิ่นอายน่ากลัวแผ่ออกมา ด้านในมีสัตว์ประหลาดอันใดสักอย่างวิ่งออกมาจากด้านใน
…
โล่ผลึกเปล่งแสงสว่างวาบ กลายเป็นกระบี่ผลึกห้าเล่มสับลงมาจากกลางอากาศ พลังแห่งกฎเกณฑ์ที่ค่อนข้างอ่อนแอรองจันทราสีเงินเอาไว้
แทบจะในเวลาเดียวกันม่านลำแสงห้าสีด้านล่างก็สลายหายไปอีกครั้ง
แผ่นหลังของชายชราแซ่อี้กลับมีเสียง “พรึ่บ” ดังขึ้น ปีกขนนกห้าสีปรากฏขึ้น แล้วกระพือปีกออกไปอย่างแรงโดยไม่ลังเลเลยสักนิด
กายที่เหลืออยู่ครึ่งหนึ่งของชายชราพลันเคลื่อนไหว กลายเป็นเงาลวงตาสายหนึ่งพุ่งหนีไปที่เมืองศิลา
แววตาของหานลี่ฉายแววเย็นเยียบ กระบี่สีดำเขียวที่อยู่ในมือของร่างที่กลายเป็นวานรยักษ์พลันสั่นเทา จากนั้นจันทราสีเงินพลันพลิ้วไหว พลังแรงกดอันน่ากลัวที่แผ่ออกมาเพิ่มขึ้นสองสามเท่า กดพลังแห่งกฎเกณฑ์ที่แผ่ออกมาจางๆ จากกระบี่ผลึกห้าเล่มเอาไว้
กระบี่ผลึกห้ามเล่มส่งเสียงโอดครวญในทันใด สี่เล่มกลายเป็นลำแสงวิญญาณระเบิดออกทันที มีเพียงเล่มหนึ่งที่หม่นแสงลงแล้วร่อนลงจากกลางอากาศ จมหายเข้าไปในผืนทรายอย่างไร้ร่องรอย
เสียงอึกทึกดังสนั่นขึ้น!
ตรงหน้าชายชราแซ่อี้ที่กลายเป็นเงาลวงตา มีสายฟ้าสีเงินเปล่งแสงสว่างวาบ วานรยักษ์สามเศียรหกกรมีประจุไฟฟ้าปรากฏขึ้นทั่วกาย แล้วต้านทานอยู่ด้านหน้าเมืองศิลา
วานรยักษ์ในยามนี้กระบี่ยาวสีดำเขียวในมือหายไปตั้งนานแล้ว และยิ่งไปกว่านั้นดวงตาและเขาสั้นๆ บนศีรษะก็หายไปอย่างแปลกประหลาด คาดไม่ถึงว่าจะถอนการแปลงกายนิพพานออก เหลือเอาไว้เพียงร่างทองพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์ธรรมดาๆ เท่านั้น
วานรยักษ์สีทองยังคงร้องคำรามต่ำๆ ด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก กำปั้นทั้งหกโจมตีไปที่ชายชราที่กลายเป็นเงาลวงตาทันที
ชั่วขณะนั้นลำแสงสีทองหกดวงที่อยู่กลางอากาศพลันเปล่งแสงสว่างวาบ และพุ่งออกไปพลางรวมตัวกันกลายเป็นระลอกคลื่นสีทอง หมุนคว้างแล้วพุ่งไปหาเงาลวงตาของชายชราพลางห่อหุ้มเอาไว้
ชายชราแซ่อี้เห็นเช่นนั้น สีหน้าหวาดกลัวพลันฉายแวบผ่านใบหน้า ปากก็กัดฟัน ปีกห้าสีที่แผ่นหลังเลือนรางแล้วแฉลบผ่านหัวไหล่ไป
แขนข้างหนึ่งลดระดับลงมาอย่างเงียบเชียบ และส่งเสียง “ปัง” ระเบิดตัวเองออก กลายเป็นเงาร่างสีโลหิตสายหนึ่งกระโจนไปในระลอกคลื่น
เสียงระเบิดดังสนั่นขึ้น ดังออกมาจากระลอกคลื่นสีทองอย่างต่อเนื่อง เงาร่างคนสีโลหิตถูกบีบออกเป็นผุยผง
แต่ระลอกคลื่นเองก็หยุดชะงักอยู่ชั่วครู่
หานลี่ที่กลายเป็นวานรยักษ์กลับหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
เพราะว่าต่อให้เงาร่างคนสีโลหิตกระโจนออกมา เงาลวงตาของชายชราก็เลือนรางสลายหายไปตามสายลม
วานรยักษ์หันกายมองไปยังกำแพงยักษ์ของเมืองศิลาที่มีม่านลำแสงปกคลุมอยู่สองสามชั้น
ผลคือเห็นบนกำแพงเมืองมีลำแสงสีโลหิตรวมตัวกัน ชายชราแซ่อี้ที่ร่างกายเสียหายปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบเชียบ ทว่าหัวนกยูงเดิมลับหายไป กลับมาเป็นใบหน้าของมนุษย์
แววตาของวานรยักษ์ฉายแววประหลาดใจ และยิ่งไปกว่านั้นริมฝีปากของหัวตรงหน้ากลับใช้เสียงที่แผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยินส่งมา
หากมีคนขยับเข้ามาใกล้แล้วตั้งใจฟัง ก็จะได้ยินคำว่า “วิชาสลายกรรม”
เคล็ดวิชาแปลกประหลาดที่ชายชราสลายเมื่อครู่คล้ายกับวิชาสลายกรรมที่เขาเคยฝึกฝนก่อนหน้า เชื่อว่าแม้จะไม่ใช่เคล็ดวิชาลับชนิดเดียวกัน แต่ก็น่าจะมีที่มาเดียวกัน
แต่ยามนี้เห็นได้ชัดว่าชายชราแซ่อี้ที่อยู่บนกำแพงสูญเสียพลังปราณไปจำนวนมาก หลังจากที่ถลึงตามองหานลี่สองแวบ ก็ไม่สนใจอันใดควักยาลูกกลอนออกมาจากอกเสื้อสองสามเม็ดแล้วกลืนลงไป จากนั้นยันต์วิเศษสองสามแผ่นก็บินออกมาจากแขนเสื้อ เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไปในร่าง
หลังจากเสียง “พรึ่บๆ” ดังขึ้น ท่ามกลางเสียงบริกรรมคาถาต่ำๆ ของชายชรา ส่วนเอวที่ไม่สมบูรณ์และแขนที่ขาดของเขาก็มีหมอกโลหิตทะลักออกมา คาดไม่ถึงว่าจะเริ่มซ่อมแซมกายเนื้อ
ภายใต้เส้นไหมสีโลหิตที่ตัดสลับไปมากันอย่างหนาแน่น แขนข้างหนึ่งและกายท่อนล่างของชายชราก็ปรากฏขึ้นลางๆ ท่ามกลางหมอกโลหิตดูแล้วอีกไม่นานก็จะฟื้นฟูกลับมาดังเดิม
แต่หานลี่จะทิ้งโอกาสนี้ไปได้อย่างไร หลังจากเปล่งเสียงร้องยาวๆ แขนทั้งสามก็พลิกฝ่ามือพร้อมกัน ชั่วขณะนั้นภูเขาขนาดย่อมหลากสีสันสีดำเขียวก็ปรากฏขึ้นในมือพร้อมกัน และโยนไปเหนือเมืองศิลาพร้อมกันอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
แขนอีกสามข้างตะปบออกไปกลางอากาศ ลำแสงสีเขียวปรากฏขึ้น กระบี่ยาวสีเขียวสามเล่มปรากฏออกมา พลิ้วไหวกลางอากาศแล้วขยายใหญ่จนมีขนาดสองสามจั้งพลางสับออกมาที่เมืองศิลาทันที
เสียง “พรึ่บๆ” ดังขึ้น กระบี่ลำแสงสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนทะลักออกมา กลายเป็นเงากระบี่พุ่งออกมา
หลังจากที่ภูเขาลูกเล็กสามลูกพลิ้วไหวก็มีขนาดสองสามร้อยจั้ง และร่อนลงมาหาเมืองศิลาอย่างรุนแรง
พริบตานั้นกลางอากาศก็มีเสียงอึกทึกดังขึ้น
ม่านลำแสงสองสามชั้นด้านนอกเมืองศิลามีลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นพร้อมกัน ระลอกคลื่นต้องห้ามปรากฏขึ้นเป็นชั้นๆ
แทบจะในเวลาเดียวกันตรงมุมที่ลึกลับในเขตอาคมของเมืองศิลา เผ่าแมงมุมซิวหลัวที่หายไปเมื่อครู่และอสูรประหลาดระดับสูงที่หายตัวไปเมื่อครู่พลันหน้าซีดเผือด อ้าปากออกพ่นโลหิตบริสุทธิ์ออกมา
ภายใต้การโจมตีที่รุนแรงนั้น แม้ว่าเขตอาคมต้องห้ามที่วางอยู่ในเมืองศิลาจะนับว่าไม่ธรรมดา แต่จะประคับประคองได้นานเท่าไหร่กัน
ภายใต้การโจมตีราวกับพายุฝนกระหน่ำของวานรยักษ์ ม่านลำแสงสลายหายไปทีละชั้นๆ อย่างรวดเร็ว ปานนั้นจึงเหลือเพียงชั้นสุดท้าย
ชายชราแซ่อี้ที่อยู่เหนือเมืองมองเห็นสถานการณ์ทั้งหมดนี้พลันหน้าซีดเผือดอย่างหาที่เปรียบมิได้
เขาคิดไม่ถึงเลยว่าหลังจากที่หานลี่ต่อสู้กับเขาครั้งหนึ่ง คาดไม่ถึงว่าจะยังมีพลังปราณแท้ที่แข็งแกร่งปานนี้มาทำลายเขตอาคมป้องกันของเมืองศิลา
แต่ในยามนี้ในเมืองศิลาพลันมีเสียงไพเราะเสนาะหูดังขึ้น
“ใต้เท้ามารดา ท่านอาจารย์ลุงอี้! เหตุใดอิงเอ๋อร์กักตัวแค่สองสามปี ก็ถูกเรียกให้ออกมาแล้ว”