เสียง “ปัง” ดังขึ้น
มือเรียวตบออกไปได้ครึ่งหนึ่ง นิ้วทั้งห้าพลันกางออก ฉับพลันนั้นพลันเปลี่ยนทิศทางตะปบไปที่หน้าผากของทารกวิญญาณของชายชรา
“บังอาจ”
ชายชรากลับมีปฏิกิริยาตอบสนองรวดเร็ว หลังจากร้องตะโกนออกมาด้วยเสียงอันดัง ทารกวิญญาณก็เลือนราง คาดไม่ถึงว่าจะเปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายไปกลางอากาศในบริเวณรอบ
แต่หญิงสาวสวมกระโปรงสีโลหิตพลันหัวเราะน้อยๆ ออกมา มือเรียวที่ตะปบออกมาเลือนราง คาดไม่ถึงว่าจะจมหายไปกลางอากาศเช่นกัน แล้วดึงกลับอย่างแรง
เสียง “พรึ่บ” ดังขึ้น มือเรียวดึงกลับมาจากกลางอากาศ หว่างนิ้วทั้งห้ามีเส้นไหมสีโลหิตเปล่งแสงสว่างวาบไม่หยุด หนึ่งในนั้นคว้าคนตัวเล็กที่ถูกรัดแน่นเอาไว้
นั่นก็คือทารกวิญญาณของชายชราแซ่อี้ที่เพิ่งเคลื่อนย้ายกายหนีไปเมื่อครู่ ทว่ามีเส้นไหมโลหิตจำนวนมากรัดอยู่รอบกายจึงไม่อาจขยับตัวได้ ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าตกตะลึง ปากพลันร้องกรี๊ดออกมาด้วยความตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยว
“กฎเกณฑ์แห่งห้วงเวลา นี่คือพลังแห่งห้วงเวลาที่แท้จริง เจ้าหลอมรวมพลังแห่งกฎเกณฑ์ทั้งสองชนิดเข้าด้วยกันแล้ว
“ท่านอาจารย์ลุงอี้ หลานฝึกมาถึงขั้นนี้ได้ตั้งแต่ร้อยปีก่อนแล้ว แค่มีข้อจำกัดด้านพลังยุทธ์ จึงไม่อาจเรียนรู้ระดับขั้นที่เพิ่มขึ้นได้ ทว่ายามนี้มีทารกวิญญาณของท่านอาจารย์อา ยามนี้หลานย่อมมั่นใจ”หญิงสาวสวมชุดกระโปรงสีโลหิตหัวเราะคิกคักขณะเอ่ย อีกมือหนึ่งพลันพลิกฝ่ามือ มีธงสีโลหิตเพิ่มขึ้นมาด้ามหนึ่ง
“ธงดูดวิญญาณ เจ้าคิดจะใช้วิชาหลอมวิญญาณกับตาเฒ่า! สหายหลัว รีบหยุดบุตรสาวของเจ้า หรือว่านางบ้าไปแล้ว! หากข้าไม่อยู่ จากนี้พวกเจ้าจะหลอมพลังแห่งห้วงเวลาจากแกนผลึกเผ่ามัจฉาว่างเปล่าอีกได้ วิธีการนี้มีแค่ข้าคนเดียวที่รู้ หากไม่มีตาเฒ่า แค่หายนะตรงหน้า พวกเจ้าก็ไม่อาจข้ามผ่านไปได้แล้ว” ทารกวิญญาณของชายชราเห็นธงสีแดงโลหิต ก็หน้าเปลี่ยนสีเป็นหวาดกลัว พลางร้องเสียงแหลมไปทางฮูหยินที่กำลังต่อสู้อยู่อีกด้าน
มารดาเผ่าแมงมุมซิวหลัวเองก็สังเกตสถานการณ์ด้านนี้ตั้งนานแล้ว ในใจจึงอดที่จะตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยวไม่ได้ เมื่อได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือของชายชรา ทันใดนั้นก็ไม่สนใจคู่ต่อสู้ตรงหน้าร่างแปลงทั้งสามถอยร่นไปก้าวหนึ่งพร้อมกัน ร่างกายพลันเลือนรางแล้วรวมตัวกันจากสามเป็นหนึ่งกลับคืนรูปร่างของ
ฮูหยินดังเดิม หลังจากปล่อยสมบัติคุ้มกันออกมาสองสามชิ้น ถึงได้ใช้น้ำเสียงโกรธจัดถ่ายทอดเสียงมาทางหญิงสาวสวมกระโปรงสีโลหิต
“อิงเอ๋อร์ เจ้ากำลังทำอันใด ยามนี้คือเวลาอันใด คาดไม่ถึงว่าจะยังกล้าทำเรื่องทำร้ายตัวเองเช่นนี้ รีบปล่อยสหายอี้ไป ใช้พลังแห่งห้วงเวลาฟื้นฟูกายเนื้อของเขา ต่อกรกับศัตรูตรงหน้าก่อนถึงจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด”
ใต้เท้าพระมารดาไม่ต้องกังวล วิธีการหลอมพลังแห่งห้วงเวลา ลูกได้รับการบอกเล่าโดยตรงจากศิษย์ของเขามานานแล้ว ศัตรูที่แข็งแกร่งตรงหน้าไม่จำเป็นต้องหวาดกลัว ลูกมีวิธีจัดการ” หญิงสาวใช้น้ำเสียงราบเรียบตอบกลับไป จากนั้นก็ไม่สนใจถ่ายทอดเสียงด้วยความตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยวของฮูหยิน กลับฉีกยิ้มให้กับทารกวิญญาณของชายชราที่ถูกเส้นไหมสีโลหิตรัดเอาไว้ นิ้วหนึ่งชี้ออกไป
ปลายนิ้วของเขามีลำแสงสีโลหิตเปล่งแสงสว่างวาบ พลังของเขตอาคมแปลกประหลาดพลันกระเพื่อมออกมา
ทารกวิญญาณของชายชรารู้สึกตัวชาหนึบ นอกจากสีหน้าโกรธแค้นแล้ว ก็เปล่งเสียงอันใดไม่ออก
หานลี่ที่อยู่ด้านนอกเมืองศิลาได้ยินคำว่า ‘พลังแห่งห้วงเวลา’ ก็รู้สึกตกตะลึง เผยสีหน้าตื่นตกใจออกมา แต่เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวต่อมาของหญิงสาว กลับหัวเราะอย่างเย็นชา หลังจากเก็บทารกวิญญาณไปแล้ว ก็ยกมือขึ้นกวักเรียกร่างทองพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์กลับจะถือโอกาสนี้ทำการโจมตีเขตอาคมของเมืองศิลา
แต่ในยามนั้นหญิงสาวกลับกวาดตามองเขาแวบหนึ่ง ริมฝีปากขยับเล็กน้อย แต่กลับไม่มีเสียงใดดังออกมา
ในเวลาเดียวกันข้างหูของหานลี่พลันมีเสียงระลอกคลื่นดังขึ้น หญิงสาวสวมกระโปรงสีโลหิตถ่ายทอดเสียงอันไพเราะออกมา
หานลี่ได้ฟังแล้วก็หน้าเปลี่ยนสี สายตาเปลี่ยนไป มือหนึ่งร่ายอาคม ผิวมีลำแสงสีทองไหลวนโคจรอยู่ ชั่วพริบตานั้นก็เปลี่ยนจากร่างวานรยักษ์กลับมาเป็นคน
ส่วนร่างทองพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์ที่กระโจนมาหาเขาก็เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไปรวมร่างเข้ากับเขา
หญิงสาวที่อยู่บนเมืองศิลาเห็นเช่นนี้ ก็ฉีกยิ้มหวานหยดย้อยให้หานลี่ โยนธงอาคมสีแดงโลหิตอีกมือหนึ่งออกไปตรงหน้าอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
เสียง “ปัง” ดังขึ้น โยนธงด้ามเล็กออกไปแล้วกลายเป็นลำแสงสีโลหิตพวยพุ่งขึ้นไปกลางอากาศ
หญิงสาวพลันบริกรรมคาถา สัตว์ประหลาดหัวหมาป่าที่ร่างกายไม่สมบูรณ์เหล่านั้นพลันทยอยกันระเบิดออก กลายเป็นหมอกโลหิตกระโจนมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในธง
ครู่ต่อมาธงโลหิตก็ขยายใหญ่ขึ้นจนมีขนาดสองสามจั้ง ผิวมีไอโลหิตหมุนวนโคจร มีหน้าผีนิรนามที่โหดเหี้ยมแฝงอยู่
บนหัวของใบหน้าผีเต็มไปด้วยเขาหงิกงอประหลาดๆ ใบหน้าแบ่งออกเป็นสองส่วนจากตรงกลาง ฝั่งหนึ่งเป็นใบหน้าของบุรุษหน้าตาอัปลักษณ์ อีกส่วนหนึ่งเป็นใบหน้าของหญิงสาวสวยหยาดเยิ้มไม่เป็นสองรองใคร ส่งเสียงหัวเราะประหลาดๆ ออกมา แล้วพลันอ้าปากออกพ่นรัศมีลำแสงสีแดงโลหิตออกมา หลังจากกะพริบวาบก็ม้วนทารกวิญญาณของหญิงสาวเข้าไปข้างใน
ทารกวิญญาณของชายชราเห็นหน้าผีบนธงปรากฏขึ้น สีหน้าก็ไร้สีโลหิต สายตาที่มองไปยังหญิงสาวก็เปลี่ยนเป็นขมขื่น
แต่รอจนรัศมีโลหิตเปล่งแสงสว่างวาบ ทารกวิญญาณก็ค้อนปะหลักประเหลือกแล้วหมดสติไป ถูกดูดเข้าไปในปากของหน้าผี แล้วไม่มีสุ้มเสียงใดๆ อีก
หญิงสาวสวมชุดกระโปรงโลหิตร่ายอาคมทั้งสองมืออย่างต่อเนื่อง แล้วชี้ไปที่ธงโลหิต
ชั่วขณะนั้นหน้าผีที่ปรากฏบนรัศมีโลหิตพลันเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป ในเวลาเดียวกันก็หมุนคว้าง แล้วกลับมามีขนาดเท่าเดิมพลางบินกลับมา หลังจากเลือนรางไปก็ถูกหญิงสาวดูดเข้าไปในปาก
“ในที่สุดก็ประสบความสำเร็จ! ใต้เท้ามารดา ไม่ต้องสู้กับพวกเขาแล้ว กลับมาเถิด จากนี้พวกเราก็ปรึกษากับสหายเหล่านั้นได้แล้ว” หญิงสาวสวมชุดกระโปรงสีโลหิตเก็บอาคม เผยสีหน้าพึงพอใจขณะพยักหน้าให้หานลี่ แล้วเอ่ยกับฮูหยินพร้อมกับหัวเราะน้อยๆ ออกมา
“คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะกล้าทำเช่นนี้ ก็ช่างเถิด เช่นนั้นข้าจะดูว่าเจ้าจะชักจูงคนนอกเหล่านั้นอย่างไร” มารดาเผ่าแมงมุมซิวหลัวเห็นหญิงสาวดูดทารกวิญญาณของชายชราเข้าไปในธงโลหิตจริงๆ ก็หน้าเปลี่ยนสี สีหน้าโกรธเคืองหายวับไป และยิ่งไปกว่านั้นยังกลายเป็นลำแสงหลีกหนี ทันใดนั้นก็ละทิ้งคู่ต่อสู้พลางบินไปทางเมืองศิลา
เซี่ยหราน เฮยหลินย่อมไม่ยอมปล่อยฮูหยินไป ทันใดนั้นก็ร้องตะโกนออกมาพร้อมกัน หมายจะกระตุ้นสมบัติไล่ตามไป
แต่ในยามนั้นเสียงของหานลี่กลับถ่ายทอดมาอย่างราบเรียบ
“สหายทั้งสองช้าก่อน มาฟังก่อนว่าสหายอิงจะพูดอย่างไร ค่อยลงมือก็ยังไม่สาย”
“พี่หานหมายความว่าอย่างไร” เซี่ยหรานได้ยินพลันใจหายวาบ การเคลื่อนไหวเชื่องช้า แล้วเอ่ยอย่างเคร่งขรึมสองสามส่วน
หลังจากเห็นอิทธิฤทธิ์อันน่าตกตะลึงที่หานลี่สำแดงออกมา ชนต่างเผ่าทั้งสองก็อดที่จะรู้สึกหวาดกลัวหานลี่ไม่ได้ แน่นอนว่าย่อมไม่กล้ามีท่าทีดูแคลนเหมือนก่อนหน้า
“ไม่มีอันใด แค่สหายอิงผู้นี้ดูเหมือนจะยอมมอบแกนผลึกให้พวกเรา หากเป็นเช่นนั้นจริง พวกเราย่อมไม่จำเป็นต้องต่อสู้กันต่ออีก” หานลี่กวาดตามองทั้งสองคนแวบหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างแผ่วเบา
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วย คงไม่ได้จงใจยืดเวลาให้กองหนุนมาช่วยหรอกกระมัง” เซี่ยหรานพลันตกตะลึง แล้วเอ่ยด้วยความตกตะลึง
“หากโกหกค่อยลงมือก็ได้แล้ว ต่อให้ถ่วงเวลา ใช้เวลาแค่นี้ก็จะมีประโยชน์อันใดมาก” หานลี่เอ่ยด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง
“อืม ในเมื่อสหายหานกล่าวเช่นนี้ เราสองคนก็จะไปฟัง ‘เซียนอิง’ ผู้นี้ว่าคิดจะทำอย่างไร” เซี่ยหรานและเฮยหลินถ่ายทอดเสียงปรึกษากันเล็กน้อย ในที่สุดก็พยักหน้าตอบรับ
พวกเขาย่อมยอมตอบรับง่ายๆ แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการประมือกับมารดาเผ่าแมงมุมซิวหลัวเมื่อครู่ และไม่ได้เป็นฝ่ายเหนือกว่าจริงๆ จึงไม่มั่นใจว่าจะสังหารแมงมุมซิวหลัวได้เท่าไรนัก
ดังนั้นทั้งสองจึงกลายเป็นลำแสงหลีกหนี แล้วบินมาทางหานลี่
ส่วนม่อเจี่ยนหลีและพวกอีกฝั่งหนึ่ง เป็นเพราะอยู่ห่างจากที่นี่ หานลี่ก็ไม่ได้คิดจะบอกข่าวกับเขาในทันใด
ถึงอย่างไรเสียเช่นนี้เวลาที่ล่าช้าไปก็จะมากไปหน่อย
ลำแสงหลีกหนีสิบกว่าสายในเมืองศิลาบินออกมา หลังจากกะพริบวาบก็ร่อนลงบนกำแพงเมือง คือระดับผสานอินทรีย์สิบกว่าคนของเผ่าแมงมุมซิวหลัว
เซี่ยหรานและพวกเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกผ่อนคลายลง
ไม่ว่าอย่างไรเผ่าแมงมุมซิวหลัวที่เดิมแอบอยู่ในเขตอาคมของเมืองศิลายอมปรากฏตัว นั่นหมายความว่าอีกฝ่ายคิดจะปรึกษาหารือกันจริงๆ
หลังจากที่มารดาเผ่าแมงมุมซิวหลัวเปล่งแสงสว่างวาบ ก็ปรากฏตัวข้างกายหญิงสาวสวมกระโปรงสีโลหิต ใช้สายตาแปลกประหลาดมองหญิงสาวชั่วครู่ แล้วถึงได้ถอนหายใจขณะเอ่ย
“ในเมื่อสหายอี้ถูกจับไปแล้ว เจ้าก็คิดจะละมือกับคนนอกเหล่านั้น ข้าเองก็ไม่ขัดขวางเจ้า แต่เรื่องการหลอมรวมพลังห้วงเวลานั้น ต้องอธิบายให้ข้าฟังถึงจะได้”
“ใต้เท้าพระมารดาวางใจ เรื่องนี้ลูกต้องอธิบายให้ท่านฟังอยู่แล้ว” อิงเอ๋อร์ฉีกยิ้มให้กับฮูหยิน แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าผ่อนคลาย
“ในเมื่อเจ้ามั่นใจว่าจะต่อกรกับคนเหล่านี้ได้ เรื่องนี้ต้องมอบให้เจ้าจัดการแล้ว” เผ่าแมงมุมซิวหลัวลังเลเล็กน้อย แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าสลับซับซ้อน
เผ่าแมงมุมซิวหลัวอื่นๆ ได้ยินหญิงสาวและฮูหยินพูดคุยกันก็อดที่จะมองสบตากันไม่ได้
หญิงสาวสวมชุดกระโปรงโลหิตตอบรับพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ ผิวมีลำแสงสีโลหิตเปล่งแสงสว่างวาบแล้วพวยพุ่งขึ้นไปกลางอากาศ หลังจากเปล่งแสงสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าจะบินออกมาจากม่านลำแสงเมืองศิลา ปรากฏตัวอยู่ห่างจากหานลี่และพวกทั้งสามคนไม่ไกลนัก คาดไม่ถึงว่าจะดูเหมือนว่าจะไม่หวาดกลัวการร่วมมือกันของระดับมหายานสองคน
เซี่ยหรานและเฮยหลินมองสบตากันแวบหนึ่ง สีหน้าอดที่จะแปลกประหลาดใจไม่ได้
สายตาของหานลี่กลับอดที่จะเปล่งแสงสว่างวาบไม่ได้ และเอ่ยอย่างราบเรียบ
“สหายอาจหาญนัก แค่พลังยุทธ์ระดับผสานอินทรีย์ ก็กล้าเผชิญหน้ากับเราสามคนแล้ว”
“ในเมื่อน้องหญิงกล้ามาลำพัง ย่อมไม่หวาดกลัวการร่วมมือกันของสหายทั้งสาม หากบอกว่าข้าคนเดียวกล้าต่อกรกับสหายทั้งสามคน ย่อมไม่โอ้อวดปานนั้น แต่หากแค่รักษาชีวิตรอดไปได้ ข้าน้อยเชื่อว่าสหายคงทำอันใดข้าไม่ได้” หญิงสาวสวมชุดกระโปรงสีโลหิตกลอกตาสดใสไปมาแล้วเอ่ยพร้อมกับอมยิ้ม
“บังอาจนัก!” ใบหน้าของเฮยหลินมีสีหน้าโหดเหี้ยมฉายวาบผ่าน คาดไม่ถึงว่าจะกระตือรือร้นคิดจะลงมือ
“แม้ว่านางจะอาจหาญไม่น้อย แต่หากพวกเราลงมือ อัตราการสังหารนางได้ก็ไม่สูงนักจริงๆ ถึงอย่างไรเสียพลังของห้วงเวลานั้น การหลอมรวมเวลาและกฎเกณฑ์แห่งเวลาก็เป็นระดับชั้นยอดที่สุด แม้ว่านางจะพลังยุทธ์ด้อยกว่าพวกเรา แต่พื้นฐานแล้วก็ไม่มีทางพ่ายแพ้” หลังจากที่หานลี่ขมวดคิ้วกลับเอ่ยเช่นนี้ออกมา
“กฎเกณฑ์แห่งเวลา?”
“แมงมุมซิวหลัวนั้นทำได้เพียงกระตุ้นพลังของห้วงเวลาเพียงผิวเผินเท่านั้น นางจะควบคุมพลังแห่งห้วงเวลาได้อย่างไร แล้วยังหลอมรวมทั้งสองสิ้นเข้าด้วยกันได้ด้วย”
เซี่ยหรานและเฮยหลินได้ยินพลันหน้าถอดสี ทันใดนั้นก็เอ่ยปากเสียงหลง…