“ว่าอย่างไรนะ หลังจากนี้เจ็ดวันคุณปู่ของข้าต้องเผชิญกับทัณฑ์สวรรค์แล้ว เหตุใดจึงมาถึงเร็วเยี่ยงนี้ ไม่ใช่ว่ายังเหลือเวลาอีกหรืออย่างไร” อิ๋นเย่ว์ตะโกนเสียงดังด้วยความฉุนเฉียวปนตกใจไปทางผู้บำเพ็ญเพียรของเมืองเทียนย่วนคนหนึ่งที่อยู่ด้านหน้า
เวลานี้ พวกเขาได้อยู่ที่ตำหนักส่งตัวในเมืองเทียนย่วนแล้ว ที่ยืนอยู่ด้านหน้าคือชายชราเมืองเทียนย่วนผู้หนึ่งที่ทำหน้าที่อยู่ที่นี่
หานลี่และคนอื่นๆ เพิ่งได้รับข่าวสารที่น่าตกใจเป็นอย่างมากจากปากของชายชราระดับผสานอินทรีย์เมื่อครู่
“ดูเหมือนว่าจะมีข้อผิดพลาดบางประการเกิดขึ้นตอนที่เซียนหลิงหลงและผู้อาวุโสเอ๋าเซี่ยวปิดด่านอยู่ ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องเผชิญกับทัณฑ์สวรรค์เร็วขึ้นกว่าเดิม อีกทั้งยังไม่มีทางที่จะยืดระยะเวลาออกไปได้แม้แต่วันเดียว ดีที่เกาะศักดิ์สิทธิ์ยังต้องการใช้ของวิเศษและศาสตรายุทธ์บางอย่างของเมืองข้าเป็นพิเศษ มิฉะนั้นเมืองของข้าก็ไม่สามารถรับรู้ข่าวนี้ได้” ชายชราเผ่าปีศาจที่พูดพลางยิ้มให้แก่อิ๋นเย่ว์
ทว่าแววตาที่มองไปยังมั่วเจี่ยนหลีและหานลี่ ย่อมให้เกียรติและสุขุมเป็นอย่างมาก
“ภายในเจ็ดวัน ต่อให้ใช้เขตอาคมส่งตัวเดินทางอย่างเต็มกำลัง เกินครึ่งก็ยังไม่ทัน โดยพื้นฐานแล้วไม่มีทางที่จะส่งมอบยันต์เหลยเซียวให้แก่เขาได้ภายในเจ็ดวัน แต่หากพี่เอ๋าสามารถอดทนต่อทัณฑ์สวรรค์ต่อไปได้อีกหลายวันล่ะก็ ไม่แน่ว่าพวกเราอาจจะยังมีโอกาส” หลังจากสีหน้าของมั่วเจี่ยนหลีเปลี่ยนไปเล็กน้อยจึงกล่าวออกมาเช่นนี้
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้จะรอช้าอยู่ รีบกลับไปที่เกาะวิเศษเถิด ภาวนาให้ไปถึงทันเวลา…รีบส่งพวกเราไปยังเมืองใหญ่ที่ใกล้กับเกาะศักดิ์สิทธิ์มากที่สุด!” หานลี่มีสีหน้ามืดครึ้ม หันไปออกคำสั่งแก่ปีศาจเฒ่าอย่างไม่ลังเล
“ขอรับ ข้าน้อยจะรีบไปจัดการ” ชายชราเผ่าปีศาจผู้นี้ได้ยินบางสิ่งบางอย่างจากบทสนทนาของหานลี่และพรรคพวก หลังจากหวาดกลัวในใจก็รีบโค้งตัวตอบรับคำสั่ง
เขาสั่งผู้พิทักษ์บางคนในตำหนักให้เริ่มกำจัดเขตต้องห้ามของเขตอาคมส่งตัวโดยทันที แล้วรีบจัดการวางหินวิญญาณอย่างรวดเร็ว
หลังจากจัดการสถานที่ทั้งหมดเรียบร้อย อิ๋นเย่ว์ก็พุ่งหายเข้าไปในเขตอาคมโดยทันที
หานลี่และคนอื่นๆ ก็ทำตามนาง
แสงวิญญาณวูบ!
หานลี่และพรรคพวกหายไปในเขตอาคมส่งตัวโดยไร้ร่องรอยในทันที
เก้าวันถัดมา ขอบฟ้าที่อยู่ใกล้กับเกาะศักดิ์สิทธิ์ของทั้งสองเผ่า เกิดเสียงแหวกอากาศดังขึ้น เรือยักษ์สีดำราวกับน้ำหมึกปรากฏออกมา ส่งเสียง “ครืน” แล้วมุ่งตรงมาที่เกาะศักดิ์สิทธิ์อย่างรวดเร็ว
ผู้คุ้มกันของงเกาะศักดิ์สิทธิ์จำนวนหนึ่งที่ลาดตระเวนอยู่ทางนี้เห็นแล้วรีบวิ่งไปโดยทันที
ทว่า เมื่อคนเหล่านี้เห็นชัดเจนว่ามีจารึกโบราณอยู่ด้านหน้าเรือยักษ์ พวกเขาทั้งหมดก็หยุดด้วยความตกใจและคำนับเรือยักษ์ด้วยความเคารพ
“ตอนนี้เอ๋าเซี่ยวกำลังเผชิญทัณฑ์สวรรค์อยู่บนเกาะศักดิ์สิทธิ์หรือไม่!” ก่อนที่เรือยักษ์จะบินมาถึงหน้าคนเหล่านี้ เสียงตะโกนดังออกมาจากข้างใน
จากนั้นร่างที่อยู่ข้างหน้าบนเรือลำยักษ์ก็สั่นไหว และชายชราก็ปรากฏตัวขึ้นในพริบตา
ที่แท้คือมั่วเจี่ยนหลีนั่นเอง
“คารวะท่านผู้อาวุโสมั่ว! ใต้เท้าเอ๋าเซี่ยวตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่เกาะศักดิ์สิทธิ์ แต่กำลังเผชิญกับทัณฑ์สวรรค์อยู่ที่หุบเขาเมฆาสีชาดที่ห่างจากเกาะศักดิ์สิทธิ์ไปกว่าแสนลี้” ผู้คุ้มกันระดับผสานอินทรีย์คนหนึ่งรีบก้าวขึ้นมาด้านหน้าและตอบคำถาม
“หุบเขาเมฆาสีชาด!” มั่วเจี่ยนหลีพึมพำกับตนเองด้วยความตกใจ
ในเวลาเดียวกัน เรือขนาดยักษ์สีดำก็สั่นสะท้านทันที แล่นผ่านกลุ่มผู้คุ้มกันด้วยความเร็วที่เหลือเชื่อ และพุ่งไปอีกทางหนึ่งอย่างรวดเร็ว
เมื่อเหล่าผู้คุ้มกันของเกาะศักดิ์สิทธิ์เห็นเช่นนี้ ก็มองหน้ากันด้วยความตกใจ
ครึ่งชั่วยามต่อมา เรือยักษ์สีดำยังคงแล่นอยู่บนท้องฟ้าที่มีความสูงกว่าหมื่นจั้งอย่างรวดเร็ว
แต่ที่ด้านหน้าของเรือยักษ์ในตอนนี้ นอกจากมั่วเจี่ยนหลีแล้ว หานลี่ อิ๋นเย่ว์และคนอื่นๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นที่นั่น
ทุกคนมองไปยังด้านหน้าด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึมอย่างหาที่เปรียบมิได้ ใบหน้าของอิ๋นเย่ว์ก็ยิ่งมีสีหน้าความกังวลมากขึ้นไปอีก
ในการเดินทางไปยังเผ่าวิญญาณในครั้งนี้หานลี่ได้รับยันต์เหลยเซียวมาสองแผ่น ตอนที่กลับมาพบนาง เขาก็เต็มใจที่จะมองยันต์หนึ่งแผ่นให้แก่ผู้อาวุโสเอ๋าเซี่ยว เพื่อมอบโอกาสที่จะสามารถพิชิตทัณฑ์สวรรค์ได้มากขึ้น
แน่นอนว่าทำให้นางดีใจมาก
แต่ไม่คิดเลยว่าเมื่อกลับมาถึงเผ่า จะได้รับข่าวที่ว่าผู้อาวุโสเอ๋าเซี่ยวจะต้องเผชิญหน้ากับทัณฑ์สวรรค์ก่อนกำหนด สิ่งนี้ย่อมทำให้อิ๋นเย่ว์ไม่สบายใจเป็นอย่างมาก
เสียง “ปัง” ดังขึ้น!
ทันใดนั้นราวกับมีเสียงอู้อี้ดังอยู่ในส่วนลึกของร่างกายอิ๋นเย่ว์ ราวกับว่ามีบางอย่างแตกออกภายในร่างกายของนาง
สีหน้าของอิ๋นเย่ว์มีบางสิ่งพัดผ่าน ครู่หนึ่งก็แปรเปลี่ยนเป็นซีดเผือกไร้สีเลือด
“อิ๋นเอ๋อร์ เกิดอะไรขึ้น” หานลี่รับรู้ได้ถึงความผิดปกติของอิ๋นเย่ว์ ภายในเบื้องลึกจิตใจอดไม่ได้ที่จะสังหรณ์ใจไม่ดีเพิ่มขึ้น
ตาของอิ๋นเย่ว์แดงเล็กน้อย ไม่ได้ตอบคำถามของหานลี่ แต่กลับพ่นแผ่นป้ายหยกผลึกใสออกมาจากปาก
แผ่นป้ายนี้มีขนาดไม่เกินฝ่ามือ แต่บนพื้นผิวมีแผ่นหลังของผู้ชายคนหนึ่งที่เหมือนจริงมากๆ ประทับอยู่
หลังจากหานลี่กวาดตามอง ก็ค้นพบได้ในทันทีว่าแผ่นหลังของผู้ชายคนนี้ดูคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด ที่แท้เป็นภาพเสมือนของผู้อาวุโสเอ๋าเซี่ยว
ในเวลานี้ แผ่นหลังที่อยู่บนป้ายหยกพลันประดับไปด้วยรอยร้าวหนาแน่นในทุกที่ และเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
หลังจากผ่านไปไม่กี่อึดใจ ป้ายหยกทั้งแผ่นก็แตกสลายเป็นผุยผงกระจายออกจากนิ้วมือ
อิ๋นเย่ว์มองสิ่งที่เกิดขึ้นนี้อย่างโง่งม ไม่ขยับตัวแม้แต่น้อย
มาถึงตอนนี้ หานลี่ที่ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หลังจากที่ถอนหายใจออกมา ก็มายืนอยู่ข้างกายอย่างเงียบๆ ไม่พูดไม่จา
แต่มั่วเจี่ยนหลีที่เห็นดังนี้ หลังจากหางตากระตุก เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าโดยไม่เอ่ยสิ่งใดออกมาเช่นกัน
จูกั่วเอ๋อร์และบรรพชนฮวาฉื่อมองหน้ากันเล็กน้อย ไม่กล้าแม้จะหายใจออกมาแรงๆ
เรือยักษ์สีดำยังคงแล่นไปด้านหน้าด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม ด้านหน้ามีแสงวิญญาณวูบหนึ่ง พลันมีลำแสงหลายสิบเส้นพุ่งเข้ามา
หานลี่ขมวดคิ้วเมื่อเห็นดังนี้ ก็ยกเท้าแตะบนเรือยักษ์เบาๆ
หลังจากเสียงดังสนั่น เรือเหาะก็หยุดอยู่กลางอากาศในทันที
เวลานี้ หลังจากที่ลำแสงด้านหน้าพวกนั้นกะพริบ ต่างก็มาปรากฏขึ้นที่ใกล้ๆ เรือยักษ์ หลังจากแสงมารวมตัวกัน ก็กลายเป็นเงาร่างปรากฏขึ้น
ที่แท้คือชายชราจากเกาะศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้น!
“เรียนผู้อาวุโสหาน ผู้อาวุโสมั่ว!”
ผู้บำเพ็ญเพียรสองเผ่าเมื่อเห็นหานลี่และมั่วเจี่ยนหลีที่อยู่บนเรือยักษ์ ตอนแรกมีความยินดี ทว่าต่อมาก็โค้งตัวแสดงความเคารพต่อทั้งสองคนด้วยสีหน้าเศร้าโศก
“เอ๋าเซี่ยว…หรือว่าจะไม่สามารถข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์” มั่วเจี่ยนหลีถามออกมาด้วยสีหน้ามืดครึ้ม
“ตอบกลับผู้อาวุโส เมื่อครู่ตอนที่ใต้เท้าเอ๋าตกอยู่ภายใต้ทัณฑ์สวรรค์ มีเพียงของวิเศษแตกหักสองชิ้นและแก่นวิญญาณเท่านั้นที่หลงเหลืออยู่” ชายชราผู้หนึ่งตอบกลับด้วยท่าทีสุขุม
“แก่นวิญญาณของท่านปู่อยู่กับผู้ใด ส่งมาให้ข้าเถอะ” อิ๋นเย่ว์กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“ที่แท้นักพรตหลิงหลงก็อยู่ที่นี่ด้วย ตามคำสั่งเสียของผู้อาวุโสเอ๋าเซี่ยวแล้ว แก่นวิญญาณของท่านผู้เฒ่าก็ควรจะส่งมอบให้อยู่ในการครอบครองของเซียน” เมื่อชายชราเห็นอิ๋นเย่ว์ถามออกมา ก็ตอบด้วยสีหน้าจริงจัง
หลังจากที่เขาสะบัดแขนเสื้อ กล่องไม้สีเหลืองอ่อนก็ปรากฏออกมา ประคองไว้ในสองมือเหาะขึ้นไปยังเรือยักษ์แล้วส่งให้กับมือของอิ๋นเย่ว์
ร่างกายอิ๋นเย่ว์สั่นเทาเล็กน้อย แต่ก็กัดฟัน แล้วเปิดกล่องไม้นั้นออกมาท่ามกล่างฝูงชน
เพียงแค่เห็นแก่นผลึกสีขาวจางขนาดเท่ากำปั้นที่มีกลิ่นอายอันคุ้นเคยนอนอยู่ภายในกล่องไม้
ด้านข้างของแก่นผลึก ยังวางกระบี่เล่มเล็กที่หักครึ่งสีขาวอ่อนกับระฆังสีเหลืองครึ่งหนึ่ง
หลังจากอิ๋นเย่ว์ใช้นิ้วมือลูบไล้แก่นผลึกอย่างแผ่วเบา ก็หันไปพูดกับหานลี่อย่างสงบ
“ข้าต้องการเวลาส่วนตัวสักครู่ ในช่วงเวลานี้ อย่าให้ใครมารบกวนข้า”
สิ้นเสียงพูด อิ๋นเย่ว์ก็หันหลังเดินไปทางห้องโดยสารบนเรือโดยไม่สนใจผู้อื่น
หานลี่มองดูอิ๋นเย่ว์อย่างเงียบๆ ไม่ได้กล่าวรั้งเอาไว้ หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขาจึงหันมาออกคำสั่งแก่ชายชราแห่งเกาะศักดิ์สิทธิ์
“พวกเจ้าก็ขึ้นมาบนเรือศักดิ์สิทธิ์เถิด อธิบายให้ข้าและนักพรตมั่วฟังเกี่ยวกับกระบวนการที่นักพรตเอ๋าเซี่ยวได้เผชิญกับทัณฑ์สวรรค์ รายละเอียดอะไรก็ตามอย่าให้ตกหล่นแม้แต่น้อย”
“ขอรับ พวกข้าจะเล่าความจริงทั้งหมดให้ใต้เท้าทั้งสองฟังอย่างแน่นอน” ชายชรามีสีหน้ามั่นคงไม่ลังเลที่จะโค้งตัวตอบรับโดยแม้แต่น้อย
หานลี่พยักหน้า จึงให้ชายชราจากเกาะศักดิ์สิทธิ์พวกนี้เหาะขึ้นมาบนเรือยักษ์
…
ครึ่งปีต่อมา บนยอดเขาวิญญาณที่เล็กๆ แห่งหนึ่งบนเกาะศักดิ์สิทธิ์ หานลี่ยืนมือไพล่หลังทั้งสองข้างอยู่ใต้ตนสนวิญญาณต้นหนึ่ง มองหุบเขาเล็กๆ ไกลๆ แห่งหนึ่งที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกสีขาวจากที่สูงอย่างเงียบๆ ไม่รู้ว่ากำลังครุ่นคิดสิ่งใดอยู่
พลันมีการสั่นไหวที่ด้านหลังของเขา เงาคนสีเหลืองจากปรากฏออกมาอย่างเงียบๆ หลังทำความเคารพต่อหานลี่ ก็ยืนกุมมืออยู่ด้านข้างด้วยความนอบน้อม
“เรื่องสร้างถ้ำพำนักใหม่เยว่เทียนเป็นอย่างไรบ้าง” หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง หานลี่จึงถามออกมาโดยไม่หันมามอง
เงาคนนี้ที่แท้คือไห่ต้าเซ่า หนึ่งในศิษย์ที่หานลี่สั่งสอนด้วยตัวเอง
“ตอบกลับท่านอาจารย์ ศิษย์ทำตามความต้องการของท่าน ได้ไปสำรวจยังพื้นที่ส่วนใหญ่ของทั้งสองเผ่าด้วยตนเอง ในที่สุดก็ค้นพบสถานที่ที่สอดคล้องกับความต้องการทั้งหมดแล้ว สามารถให้ศิษย์คนอื่นๆ ย้ายไปได้ตลอดเวลา” ไห่ต้าเซ่ากล่าวด้วยความเคารพ
“โอ้ ที่ตั้งของจวนแห่งใหม่เป็นสถานที่เช่นใด” สีหน้าของหานลี่เปลี่ยนไปเล็กน้อย ในที่สุดก็หันตัวกลับมา
“ตอบท่านอาจารย์ ถ้ำพำนักแห่งใหม่ตั้งอยู่บนหมู่เกาะแห่งหนึ่งกลางทะเลไร้ขอบเขต แม้ทะเลแห่งนี้จะอยู่ห่างไกลจากทั้งสองเผ่า ทว่าไอวิญญาณมีความบริสุทธิ์เป็นอย่างมาก อีกทั้งพื้นที่ทะเลส่วนใหญ่ก็ถูกปกคลุมด้วยพลังแม่เหล็กสองสัญลักษณ์โดยธรรมชาติ หากปรับเปลี่ยนเล็กน้อย ก็สามารถทำเป็นเขตต้องห้ามปกปักษ์อันแข็งแกร่งได้” ไห่ต้าเซ่าตอบตามความจริง
“ที่แท้ก็มีข้อดีมากมายขนาดนี้ เช่นนั้นเลือกที่นี่ก็แล้วกัน พวกเจ้ากลับไปเก็บของ อีกไม่กี่วันพวกเราจะเดินทางออกจากเกาะศักดิ์สิทธิ์” หานลี่พยักหน้า
“ขอรับ ท่านอาจารย์ แต่ว่าอาจารย์หญิงอิ๋นเย่ว์ไม่เป็นไรหรือ จนถึงตอนนี้นางยังไม่ออกจากด่านใช่หรือไม่” ไห่ต้าเซ่าถามออกมาหลังจากลังเลเล็กน้อย
“แม้ว่าอิ๋นเย่ว์ยังไม่ออกจากด่าน แต่ว่าข้ามีลางสังหรณ์ว่านางจะออกมาในอีกไม่กี่วัน” หานลี่หมุนตัวกลับไปมองยอดเขาอันไกลโพ้นอีกครั้ง พูดโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
“ที่แท้เป็นเช่นนี้ เช่นนั้นศิษย์ขอตัวไปดูแลเรื่องการย้ายไปยังถ้ำแห่งใหม่นะขอรับ” ไห่ต้าเซ่าย่อมเชื่อฟังคำพูดของหานลี่อย่างไม่มีข้อสงสัย หลังจากทำความเคารพอีกครั้ง ก็เหาะหายไปจากเขาลูกเล็ก
หานลี่ยังคงยืนอยู่ใต้ต้นสนวิญญาณอย่างสงบ จ้องมองไปยังที่ไกลๆ
หลังจากไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ หมอกในหุบเขาข้างหน้าก็ม้วนตัว และรุ้งสีขาวก็พุ่งออกมา หลังจากกะพริบไม่กี่ครั้ง มันก็ปรากฏขึ้นเหนือหานลี่
“พี่หาน ข้าไม่เป็นไรแล้ว พวกเราออกไปจากที่นี่ด้วยกันเถอะ” หญิงสาวสวยในชุดสีเงินนางหนึ่งพลันปรากฏตัวขึ้นมา พูดพลางยิ้มอย่างมีสเน่ห์ให้หานลี่
“ได้ ไปเถอะ ข้าค้นพบสถานที่ที่ไม่เลวแห่งหนึ่งไว้สร้างถ้ำพำนักแล้ว หลังจากนี้พวกเราจะอยู่ได้อย่างปลอดภัยอีกสักพัก” หานลี่ยิ้มเล็กน้อย พูดออกมาด้วยความอบอุ่น
“ถ้ำพำนักของเรางั้นหรือ ดีจริงๆ อยากจะเห็นด้วยตาตัวเองเร็วๆ เสียแล้ว!”
อิ๋นเย่ว์พูดด้วยแววตาเป็นประกาย…