เมื่อลำแสงวิญญาณจากเรือยักษ์สีดำสว่างวาบขึ้น ลำแสงสีขาวก็ส่องลงมาด้านล่าง ไม่กี่วินาทีต่อมา ด้านบนของชายชราจากต่างเผ่าผมสีขาวหงอก เห็นเด็กสาวอายุประมาณสิบห้าสิบหก หน้าตางดงาม
“สหายท่านนี้ ที่นี่คือเทือกเขาชื่อหรงใช่หรือไม่” เด็กสาวคนนั้นถามชายชราด้วยความอ่อนโยน พร้อมกวาดสายตามองไปรอบๆ
ระดับของชายชราคนนี้อยู่ระดับสร้างปราณขั้นต้นเท่านั้น และบังเอิญว่าเป็นระดับสูงสุดของคนในที่นี่แล้ว
“เรียนท่านอาวุโส ที่นี่คือเทือกเขาชื่อหรงขอรับ” ชายชราคนนี้ไม่มีทางรับรู้ได้ถึงระดับฝึกตนของเด็กหญิงคนนี้ และคิดว่าฝีมือของนางน่าจะยากที่เขาจะคาดเดา จึงตอบด้วยเสียงสั่นๆ
“มาถูกที่แล้วจริงๆ ในเมื่อที่นี่คือเทือกเขาชื่อหรง สหายรู้หรือไม่ว่า ยอดเขาเฮยเจียวอยู่ที่ใด” สาวน้อยคนนั้นรู้สึกดีใจอย่างมาก และรีบถามต่อโดยทันที
“ผู้อาวุโสจะไปที่ยอดเขาเฮยเจียวหรือ? ที่นั่นเป็นศูนย์กลางของเทือกเขาชื่อหรง ด้านในอันตรายอย่างมาก และเป็นเขตหวงห้าม” ชายต่างเผ่าตอบอย่างตกใจ
“เขตหวงห้าม? เช่นนั้นก็ถูกต้องแล้ว ท่านไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของพวกข้า แค่บอกทางไปก็พอ” สาวน้อยคนนั้นหัวเราะเสียงใส
“ขอรับ หากท่านผู้อาวุโสและพวกพ้องต้องการไปที่ยอดเขาเฮยเจียวก็แค่มุ่งตรงไปทางทิศตะวันตกก็พอขอรับ บริเวณนั้นจะเป็นใจกลางของเทือกเขาแห่งนี้ จากนั้นท่านจะเห็นยอดเขาสามลูกที่เป็นตัวอักษรที่นั่นก็คือยอดเขาเฮยเจียวขอรับ” ชายต่างเผ่าคนนั้นตกใจอย่างมาก
“ดีมาก ข้าจะให้ศิลาวิญญาณก้อนนี้เป็นรางวัลก็แล้วกัน” สาวน้อยพยักหน้า พร้อมโยนศิลาวิญญาณคุณภาพดีให้เขาสองสามก้อน จากนั้นก็กลายร่างเป็นลูกบอลแสงแล้วกลับขึ้นไปบนเรือยักษ์สีดำอีกครั้ง
หลังจากเวลาผ่านไป เรือลำยักษ์สีดำลำนั้นก็บินเข้าไปในส่วนลึกของเทือกเขา พร้อมเสียงดังลั่น
ชายชราต่างเผ่าที่ยืนถือศิลาวิญญาณคุณภาพดีอยู่ในมือ ก็มีสีหน้าตกใจอย่างมาก
หินคุณภาพสูงเหล่านี้สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงไม่นับว่าเป็นอะไรได้ แต่สำหรับคนระดับสร้างปราณแล้วถือว่าได้ลาภก้อนใหญ่
แต่ชายชราคนนั้นก็สัมผัสได้ถึงสายตาอิจฉาริษยามาจากคนรอบข้าง หัวใจก็เต้นแรงขึ้น เขารีบเก็บศิลาวิญญาณในมือและรีบจากไปจากที่นี่อย่างรวดเร็ว
เมื่อชายชราคนนั้นบินออกมาได้ไม่นาน ผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ระดับไม่ต่างจากเขาก็ทยอยออกจากที่แห่งนั้นอย่างเงียบๆ
คนที่อยู่ระดับต่ำกว่าระดับฝึกปราณคนอื่น เมื่อเห็นดังนั้น ก็มีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรมาก พวกเขาต่างก้มหน้าหาของวิเศษธาตุไฟกันต่อไป…แน่นอนว่าเรือศักดิ์สิทธิ์มารสีดำลำนี้เป็นของหานลี่ และตัวของหานลี่เองก็กำลังยืนอยู่ที่หัวเรือ เขากำลังทอดสายตามองไปทางใจกลางของเทือกเขาแห่งนี้
ด้านข้างของเขามีเซวี่ยพั่ว จูกั่วเอ๋อร์และคนอื่นๆ ยืนอยู่เช่นกัน
“การประมูลของกลุ่มพันธมิตรการค้าเฮ่อเหลียนในครั้งนี้ คาดไม่ถึงว่าจะจัดในที่แบบนี้ ช่างทำให้ข้าประหลาดใจจริงๆ แต่ชายต่างเผ่าพวกนั้นเหมือนว่าจะไม่รู้เรื่องพวกนี้” จู่ๆ หานลี่ก็พูดขึ้น
“ผู้อาวุโสหาน คนที่รู้เรื่องประมูลในครั้งนี้จะเป็นคนที่มีระดับหลอมสูญขึ้นไป เดิมทีพวกต่างเผ่าเหล่านั้นไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้เรื่องนี้ แต่ว่าหากนับจากเวลาแล้ว งานประมูลเริ่มขึ้นในอีกหนึ่งถึงสองเดือนข้างหน้า เชื่อว่าจะต้องมีคนเข้ามาที่นี่เพิ่มมากขึ้น ไม่แน่ว่าผู้อาวุโสอาจจะได้รับโชคพิเศษจากในงานประมวลก็ได้” เซวี่ยพั่วก้าวเท้าขึ้นมาด้านหน้า แล้วกล่าวด้วยความเคารพ
“โชคพิเศษงั้นหรือ ข้าก็หวังแบบนั้นนะ แต่ด้วยระดับของข้า ข้าคิดว่าน่าจะมีของน้อยชิ้นมากที่จะเข้าตาข้า แต่ถ้ามีมหาเมธีคนอื่นร่วมลงประมูลด้วยก็ไม่แน่” หานลี่พยักหน้า แล้วพูดเรื่อยเปื่อย
“ท่านอาวุโสโปรดวางใจ ด้วยประสบการณ์ที่ข้าน้อยเคยร่วมงานประมูลมา คนที่อยู่ระดับมหาเมธีเช่นเดียวกับท่านจะต้องมาร่วมงานนี้ไม่น้อยอย่างแน่นอน นอกจากงานประมูลที่ผู้อาวุโสเข้าร่วมแล้ว ส่วนใหญ่จะเป็นการแลกเปลี่ยนวิชากันเป็นการส่วนตัว ในงานประมูลผู้อาวุโสอาจจะไม่ได้ของติดมือ แต่ข้าเชื่อว่าในงานนี้ท่านต้องได้ประโยชน์แน่นอน” เซวี่ยพั่วเสียงเบาแล้วกล่าวตอบ
“แลกเปลี่ยนวิชา น่าสนใจมากทีเดียว” หานลี่กล่าวด้วยความสนใจ
ครึ่งชั่วยามต่อมา ด้านหน้าก็ปรากฏเทือกเขาสามลูกให้เห็น
ยอดของเทือกเขาที่สามเป็นตัวอักษรพิน กองหินตรงกลางเป็นสีแดงดำ กลิ่นกำมะถันฉุนจมูกโชยออกมาพร้อมกับลมร้อน
ทันทีที่เรือยักษ์สีดำเข้าใกล้ยอดเขาลูกนั้นในระยะร้อยลี้ ก็ถูกผู้คุ้มกันชาวอินทรีย์ยักษ์ที่เป็นชนต่างเผ่า เข้ามาขวางทางไว้ก่อน
ผู้คุ้มกันเหล่านี้สวมชุดเกราะสีดำ ด้านหลังห้อยคันธนูและมีด ใบหน้าของพวกเขาสวมเกราะเหล็กปิดบังใบหน้า แต่ทุกคนล้วนรูปร่างสูงใหญ่ เกือบจะใหญ่กว่ามนุษย์สองช่วงหัว
ทุกส่วนในร่างกายของเขาล้วนเป็นสีดำ รูปร่างใหญ่โตผิดปกติ เวลาบินก็รวดเร็วดั่งพายุหมุน
“ท่านผู้อาวุโสทั้งหลาย ด้านหน้าเป็นเขตหวงห้ามของกลุ่มพันธมิตรของเรา หากไม่มีเทียบเชิญล่ะก็ ข้าคงให้พวกท่านผ่านเข้าไปไม่ได้” แม้ว่าผู้คุ้มกันกลุ่มจะเข้าไปขวางทาง แต่เมื่อเห็นรูปร่างของเรือยักษ์ และหุ่นเชิดที่สวมชุดเกราะจำนวนมากที่อยู่บนเรือ เขาจึงรู้ได้ว่าคนบนเรือต้องเป็นคนใหญ่คนโตแน่นอน จึงต้องให้ความเคารพ และแจ้งด้วยเสียงเบา เขาไม่กล้าที่จะทำตัวดูถูกอีกฝ่าย
“เทียบเชิญ ใช่ของชิ้นนี้หรือไม่?” หลังจากหานลี่พูดกับเซวี่ยพั่วเสียงต่ำจากทิศหัวเรือ
เซวี่ยพั่วยกข้อมือขาวๆ ของตนเองขึ้น แสงสีขาวก็ปรากฏออกมา
หัวหน้าผู้คุ้มกันหยิบเทียบเชิญสีขาวมาไว้ในมือ จากนั้นก็ก้มดูอย่างละเอียด มันคือป้ายไม้สีขาว ด้านหนึ่งสลักอักขระวิญญาณที่ไม่ทราบชื่ออยู่ รูปร่างดูสวยงามมาก อีกด้านมีอักษรที่แปลว่าพันธมิตร สีเงินอ่อนสลักอยู่
“ที่แท้ก็เป็นท่านผู้มีเกียรตินั่นเอง แน่นอนว่าท่านสามารถเข้าเขตหวงห้ามได้ขอรับ ข้าจะให้คนนำทางท่านอาวุโสไปด้วยตนเอง” หลังจากที่ผู้คุ้มกันตรวจสอบป้ายไม้ในมือเสร็จ เขาก็รีบคืนเทียบเชิญและกล่าวต้อนรับอย่างไม่ต้องใช้เวลาคิด
ผู้คุ้มกันเหล่านี้ไม่มีความตั้งใจที่จะตรวจค้นเรือของหานลี่อยู่แล้ว
เซวี่ยพั่วพยักหน้าแล้วหยิบเทียบเชิญกลับมา พร้อมบินกลับมาที่เรือยักษ์
ผู้คุ้มกันกลุ่มนี้ให้เจ้าหน้าที่คนหนึ่งไว้เพื่อนำทางพวกเขา ส่วนคนอื่นๆ ก็กระจายไปตามจุดต่างๆ เพื่อลาดตระเวนต่อ
ผู้คุ้มกันคนนั้นบินนำทางไปที่ยอดเขาทั้งสามลูกนั้น
ระหว่างทางก็ยังเจอกับกลุ่มลาดตระเวนกลุ่มอื่นอีก แต่เมื่อเห็นว่ามีอินทรีย์นำขบวนอยู่แล้ว ก็เลยไม่เข้ามาขวางอะไร
ในตอนที่เรือยักษ์กำลังบินข้ามยอดเขาลูกหนึ่งอยู่นั้น ด้านหน้าของเขาก็ปรากฏระลอกคลื่นแปลกๆ เกิดขึ้น ยอดเขาด้านหน้าดูเลือนราง จากนั้นก็มีประตูแสงสีขาวขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมา ประตูบานนั้นมีขนาดสูงเกือบพันจั้ง
บริเวณใกล้ประตูแสงนั้นก็ปรากฏอาคารทรงโบราณนับร้อยกว่าหลังคาเรือนขนาดแตกต่างกัน บ้างก็มีทรงกลม บ้างก็มีทรงสี่เหลี่ยม และมีผู้คุ้มกันอินทรีย์ยักษ์จำนวนมากบินไปบินมาอีกด้วย
เมื่อเรือยักษ์สีดำลำนั้นเข้าใกล้ก็สามารถดึงดูดความสนใจจากผู้คุ้มกันจำนวนมาก
ในตอนนั้นเอง หลังจากที่เรือยักษ์ส่งเสียงครืนๆ ระยะห่างจากประตูแสงแห่งนั้นก็ลดลงเรื่อยๆ
หานลี่ขมวดคิ้วขึ้นเบาๆ ใช้จิตสัมผัสกวาดมองรอบๆ ทันใดนั้นเขาก็สัมผัสได้ถึงระลอกคลื่นที่มีความแปลกประหลาด เขาก็พอเข้าใจแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ตอนนั้นเองอินทรีย์ยักษ์ตัวนั้นที่คอยนำทางก็หยุดลงที่ด้านข้างข้างเรือ และกล่าวอธิบายกับทุกคนบนเรือยักษ์ว่า
“เมื่อผ่านประตูสวรรค์ทมิฬนี้ไป ก็ถือว่าได้เข้าไปในเขตหวงห้ามแล้ว แต่เบื้องบนมีคำสั่งไว้ว่า ภายในเขตหวงห้ามห้ามใช้ของวิเศษเดินทางทางอากาศทุกชนิด ดังนั้นเกรงว่าต้องขอให้ท่านผู้อาวุโสทั้งหลายเก็บเรือลำนี้ก่อน ถึงจะสามารถผ่านประตูสวรรค์ทมิฬแห่งนี้ได้ เช่นนั้นผู้น้อยขอส่งเพียงเท่านี้ หากไม่ได้รับคำสั่งจากทางการท่านไม่สามารถเดินทางต่อไปได้”
“เข้าใจแล้ว เจ้าไปเถอะ” เซวี่ยพั่วที่อยู่เรือตอบรับเสียงเบา
จากนั้นเรือยักษ์สีดำก็ส่งเสียงดังโครมคราม อักษรรูนจำนวนนับไม่ถ้วน รัศมีลำแสงนับหมื่นเส้นก็ปรากฏขึ้น จากนั้นเรือลำนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย
หลังจากลำแสงหายไป ก็เหลืองหานลี่และคนอื่นๆ ที่ยังอยู่ที่เดิม
ผู้คุ้มกันอินทรีย์ตัวนั้นก็รู้สึกตกใจอย่างมาก เขาคำนับให้หานลี่และคนอื่นๆ อีกครั้งแล้วค่อยออกจากพื้นที่นี้
หานลี่ เซวี่ยพั่ว จูกั่วเอ๋อร์ บรรพชนฮว่าสือและคนอื่นๆ ก็มุ่งตรงไปทางประตูแสงนั้น
ผู้คุ้มกันอินทรีย์ยักษ์ที่อยู่ใกล้ๆ ประตูก็ใช้สายตาอยากรู้อยากเห็นสำรวจหานลี่และคนอื่นๆ แต่ไม่มีใครกล้าไปขวางทางเขาสักคน
…”อะไรนะ ระดับมหาเมธีเข้าประตูสวรรค์ทมิฬมาอีกคนแล้วหรือ ดีมาก เข้าใจแล้ว ข้าจะส่งคนไปต้อนรับเขาเดี๋ยวนี้ พวกเขาทำงานของพวกเจ้าให้ดีต่อไป” ชายชราผมแดงคนหนึ่งพูดกับกำแพงหิน ตรงหน้าของชายคนนั้นเป็นภาพของผู้คุ้มกันสวมเกราะดำคนหนึ่ง
ห้องนี้เป็นห้องลับ นอกจากกำแพงหินสองสามก้อนแล้วก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นเลย
ผนังทั้งสี่ด้านของห้องเต็มไปด้วยอัญมณีหลากสีฝังอยู่มากมายจนเป็นแสงระยิบระยับ และยังมีหมอกสีเขียวจางๆ ลอยอยู่กลางอากาศ ทำให้ห้องโถงนี้ดูลึกลับอย่างมาก
หลังจากชายชราคนนั้นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็สะบัดแขนเสื้อ ลำแสงสีแดงก็สว่างวาบ ภาพของผู้คุ้มกันบนกำแพงหินก็หายไปแล้ว แต่กลับเป็นรูปเรือยักษ์สีดำปรากฏขึ้นมาแทน อีกทั้งยังเงาบนเรือที่ไม่ชัดเจน
ชายชราผมแดงหรี่ตามอง หลังจากมองเรือลำนั้นอยู่นาน เขาก็ขมวดคิ้วแน่นขึ้น ทันใดนั้นเขาก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมา เคล็ดวิชาหนึ่งก็ถูกซัดออกไปในกำแพงหิน
“ฟู่” หลังจากเสียงนั้นดังขึ้น เงาคนบนเรือยักษ์สีดำก็พุ่งออกไปด้วยความเร็วไม่น่าเชื่อ ต่อมาบนกำแพงหินก็ปรากฏภาพที่ชัดเจนขึ้น ขยายใหญ่ขึ้น มากกว่าเดิมสิบเท่า
ภาพที่เห็นคือใบหน้าของหานลี่ เซวี่ยพั่วและคนอื่นๆ
สายตาของชายชราผมแดงกวาดมองเซวี่ยพั่ว บรรพชนฮวาสือและคนอื่นๆ อย่างผ่านๆ และสุดท้ายสายตาก็จับจ้องที่หานลี่
“เอ๊ คนผู้นี้หน้าตาคุ้นๆ เหมือนว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน” ชายชราผมแดงพูดกับตัวเอง