“ข้าน้อยเคยอาศัยอยู่ที่แผ่นดินใหญ่นภาสีเลือดมาในช่วงเวลาหนึ่ง มีความเข้าใจเรื่องเคล็ดวิชามารของแผ่นดินใหญ่นี้นิดหน่อย” เซวี่ยพั่วพูดขึ้น
“ไม่ต้องพูดถึงเคล็ดวิชาปีศาจโลหิต นั่นเป็นวิชาที่พบเห็นได้บ่อยมากในแผ่นดินใหญ่นภาสีเลือด จอมยุทธ์ของนภาสีเลือดสิบคน สี่ถึงห้าคนจะต้องเคยฝึกวิชานี้แน่นอน ถือว่าวิชานี้เป็นที่นิยมมากในสำนักต่างๆ แม้ว่าท่านอาวุโสหานจะพูดว่ามันคือวิชาลึกลับที่ได้รับการสืบทอดมา แต่มันก็ยังมีอยู่ในนภาสีเลือด และยังมีผู้คนจำนวนมากแอบฝึกมันอย่างลับๆ แน่นอน แต่อย่างไรก็ตามผู้ฝึกตนกับพรรคโลหิตก็เหมือนน้ำกับไฟ ร่องรอยของพวกเขาล้วนเป็นความลับ คนอื่นๆ ยากจะตามเจอ ตอนนั้นข้าน้อยโชคดีมากที่ได้เจอกับผู้ที่อ้างว่าตนเองว่าเป็นผู้ฝึกวิชาลับกำลังต่อสู้กับผู้อื่นอยู่ สุดท้ายฝ่ายนั้นได้จัดการคู่ต่อสู้ได้อย่างง่ายดาย เขาใช้เพียงหุ่นเชิดไม้ไม่กี่ชิ้นเท่านั้น ช่างเป็นวิชาที่แปลกตาจริงๆ”
“วิถีแห่งคาถา มรดกบรรพกาลแบบนี้ก็เกิดขึ้นบ่อยครั้งในแผ่นดินใหญ่เฟิงหยวนของพวกเรา แต่มันจะถูกทำลายทันทีจากการร่วมมือของผู้มีอิทธิพลในแผ่นดินใหญ่ของเรา คิดไม่ถึงว่าแผ่นดินใหญ่นภาสีเลือดจะรักษามรดกเอาไว้ได้ เหมือนว่าหากจะไปที่ที่แผ่นดินใหญ่นภาสีเลือดจะต้องระวังให้มากขึ้นแล้ว จริงสิ เจ้าไปล่วงเกินตระกูลอะไรไว้หรือ” หลังจากที่หานลี่พยักหน้า เขาก็ถามต่ออีกประโยค
“ตระกูลที่ข้าน้อยล่วงเกินคือผู้อาวุโสหนึ่งในสำนักกระดูกโลหิต แต่ผู้อาวุโสวางใจเถอะ ในตอนนั้นคนที่ข้าล่วงเกินมีเพียงอาวุโสคนหนึ่งในสำนักกระดูกโลหิตเท่านั้น ผ่านมาหลายปีเช่นนี้ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะตามล่าข้าอยู่ แต่หากข้าเปลี่ยนรูปลักษณ์เล็กน้อย คงจะทำให้ลดความยุ่งยากไปได้ทีเดียว” เซวี่ยพั่วพูดอย่างลังเล
“มันไม่มีประโยชน์หรอกหากจะเปลี่ยนรูปลักษณ์ของเจ้า แม้แผ่นดินใหญ่นภาสีเลือดจะไม่ได้กว้างใหญ่เท่ากับแผ่นดินใหญ่เฟิงหยวนและฟ้าคำราม แต่มันก็ไม่ได้เล็กถึงขนาดจะสามารถเจอกับศัตรูได้อย่างง่ายดาย หากดันเจอขึ้นมาแล้วล่ะก็ ในเมื่อเจ้าไปกับข้า ข้าจะช่วยเจ้ากำจัดเขาเอง” หานลี่พูดอย่างไม่ใส่ใจ
“เช่นนั้นข้าน้อยต้องขอบคุณท่านอาวุโสก่อน” น้ำเสียงของเซวี่ยพั่วเต็มไปด้วยความยินดี และวางใจลงในที่สุด
ในตอนที่เซวี่ยพั่วกำลังพูดคุยกับหานลี่อยู่นั้น ในห้องลึกลับ หญิงสาวชุดม่วงกำลังรายงานสถานการณ์ทุกอย่างให้กับหมิงจุนผมแดง
“หมายความว่าฝ่ายนั้นรับสาวงามสิบสองคนไปแล้ว และไม่เอาของขวัญชิ้นอื่น” ชายชราพูดด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง
“เจ้าค่ะ”
หญิงชุดม่วงกล่าวตอบตามความจริง
“น่าสนใจ เหมือนว่าคนผู้นี้จะตีสนิทไม่ง่าย แต่เขาก็ไม่ได้ตั้งใจจะปฏิเสธความสัมพันธ์ของกลุ่มพันธมิตรของเรา เฟยอวิ๋น หากสหายหานต้องการสิ่งใดต้องหาให้เขาให้ได้ หากไม่จำเป็นก็ไม่ต้องรายงานให้ข้าฟัง” ชายชราหัวเราะเบาๆ
“ท่านหัวหน้า ข้าน้อยขอบังอาจถามได้หรือไม่ว่าทำไม่ต้องตีสนิทกับผู้อาวุโสท่านนี้ ต่อให้คนผู้นี้เป็นมหาเมธี และมีพลังมาก แต่เมื่อเทียบกับผู้บำเพ็ญเพียรมหาเมธีคนอื่นๆ แล้ว ท่านก็ไม่เคยรับรองพวกเขาขนาดนี้มาก่อน” แม่นางเฟยอวิ๋นรู้สึกสงสัยเล็กน้อย
“หากเป็นระดับมหาเมธีธรรมดา แน่นอนว่าข้าไม่ให้การต้อนรับระดับนี้หรอก แต่คนคนนี้น่ะหรือ หึๆ เจ้าเคยอ่านข้อมูลของสหายหานผู้นี้แล้วหรือยัง” หมิงจุนหัวเราะขึ้นจากนั้นก็ถามกลับ
“ข้าน้อยเคยอ่านแล้ว แต่บันทึกที่เกี่ยวกับผู้อาวุโสหานนั้นช่างคลุมเครือยิ่งนัก นอกจากเรื่องที่เขาสามารถขึ้นสู่ระดับมหาเมธีได้ในระดับเวลาสั้นๆ และเรื่องที่เข้าแดนมารแล้ว นอกนั้นก็ไม่มีเรื่องอื่นอีก” หลังจากเฟยอวิ๋นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ตอบกลับด้วยความเคารพ
“นั่นเพราะว่าสหายหานเติบโตได้เร็วเกินไป ข้อมูลที่กลุ่มพันธมิตรของเราได้มาจึงน้อยมาก เรื่องสำคัญบางสิ่งอาจจะได้รับเพิ่มเติมในอนาคต เอาล่ะ เจ้าไม่ต้องคิดเยอะ หากเมื่อใดที่แดนวิญญาณจัดลำดับผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด เป็นไปได้อย่างมากว่าสหายคนนี้อยู่ในลำดับต้นแน่นอน” หมิงจุนพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“อะไรกัน ผู้อาวุโสหาน แข็งแกร่งขนาดนั้นเชียวหรือ” สีหน้าของแม่หน้าเฟยอวิ๋นเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
“หึ ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น เจ้าคิดว่าข้าว่างมารับรองเขาโดยไม่มีเหตุผลงั้นหรือ” สายตาของชายชราผมแดงหันหลังมามองนางอย่างรวดเร็ว
เมื่อหญิงสาวชุดม่วงได้ยินเช่นนั้นก็ตกตะลึงไป รีบก้มหัวแล้วพูดต่อว่า “ไม่กล้าเจ้าค่ะ”
เมื่อชายชราผมแดงเห็นดังนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรมาก และโบกมือเพื่อสั่งให้หญิงสาวคนนั้นถอยออกไป
หลังจากที่หมิงจุนครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ เขาก็สะบัดแขนเสื้อไปยังกำแพงหินก้อนหนึ่ง
ชั่วพริบตาเดียวที่กำแพงหินหลังนั้นก็เกิดเสียงดังขึ้น หมอกสีขาวจางหายไป ปรากฏเป็นเงาร่างของคนผู้หนึ่งขึ้นมา
“หมิงจุน เจ้านั่นเอง เจ้าไม่ได้เตรียมงานประมูลอยู่ที่เฟิงหยวนหรือ ทำไมจู่ๆ ถึงติดต่อข้ามาเสียได้” เมื่อร่างนั้นมองมา เขาก็รู้สึกตกใจเล็กน้อย และถามออกมาด้วยเสียงเล็กแหลม
“ปี้อิ่งหากข้าจำไม่ผิดล่ะก็ เจ้ากำลังวางแผนอะไรสักอย่างอยู่นี่นา หรือว่าเจ้าขาดลูกมือ” ชายชราผมแดงถามกลับเสียงเรียบ
“ถ้าใช่แล้วอย่างไร หรือว่าเจ้าจะเปลี่ยนใจ ยอมมาช่วยข้าด้วยตนเองหรือ” เงาร่างคนผู้นั้นพูดอย่างรำคาญ
“เจ้าก็รู้ไม่ใช่หรือว่าข้าเคยสาบานว่าชั่วชีวิตนี้ข้าจะไม่ไปเหยียบแผ่นดินใหญ่นภาสีเลือด แล้วจะให้ข้าเปลี่ยนใจได้อย่างไร” ชายชราผมแดงกล่าวด้วยเสียงนิ่งเรียบ
“ในเมื่อเจ้าไม่ยินดีจะมาช่วยข้า แล้วพูดถึงเรื่องนี้ทำไม” เหมือนว่าเงาร่างนั้นจะเริ่มหมดความอดทน
“แม้ว่าข้าจะไปช่วยเจ้าไม่ได้ แต่ข้ามีคนที่เหมาะสมให้เจ้าแล้ว ซึ่งน่าจะช่วยเจ้าได้มากทีเดียว” ท่าทางของชายชราผู้นี้ดูไม่รีบไม่ร้อน
“คนที่เหมาะสม…นี่เจ้าเปิดเผยเรื่องของพวกเราให้คนอื่นรู้อย่างนั้นหรือ” เงาร่างนั้นเลือนรางขึ้น น้ำเสียงก็เย็นเยียบมากขึ้น
“จะเป็นแบบนั้นได้อย่างไร เจ้าวางแผนเรื่องที่สำคัญอย่างมากอยู่ แล้วข้าจะเปิดเผยให้คนภายนอกได้อย่างไร หรือว่าเจ้าเห็นว่าข้าเป็นคนปากไม่มีหูรูด” ชายชราผมแดงปฏิเสธหนักแน่น
“ไม่ได้พูดก็ดี แล้วคนที่เข้าตาเจ้าเป็นใคร มาจากไหน เจ้าก็น่าจะรู้นะว่า ระดับมหาเมธีทั่วไป มักจะไม่มีประโยชน์กับข้าในเรื่องนี้ และหากคนรู้เรื่องนี้เยอะเกินไป ความลับมันจะรั่วไหลได้” เงาร่างนั้นถอนหายใจออกมา เสียงถอนหายใจเขาเต็มไปด้วยความโล่งอก
“หึๆ เจ้ายังจะมาโทษข้าอยู่อีก คนที่ข้าหามาเป็นผู้ช่วยของเจ้าก็คือผู้นี้” ชายชราผมแดงหัวเราะหึๆ จากนั้นก็ใช้มือข้างหนึ่งร่ายคาถาขึ้นมา
เสียง “ฟู่” ดังขึ้น
ม่านแสงชั้นหนึ่งก็ปรากฏขึ้น หลังจากรัศมีลำแสงค่อยๆ หายไป เกิดเป็นภาพมายาของคนผู้หนึ่ง
คนผู้นั้นสวมชุดคลุมสีเขียว ใบหน้าอ่อนเยาว์ คนผู้นั้นก็คือหานลี่นั่นเอง
“หึ คนผู้นี้คือใครกัน ข้าไม่คุ้นหน้าเลย หรือว่าจะเป็นมหาเมธีเกิดใหม่ที่อยู่ในแผ่นดินของเจ้าหรือ” น้ำเสียงของเขาแฝงไปด้วยความประหลาดใจ
“สหายปี้อิ่งคาดเดาได้ถูกต้อง สหายหานท่านนี้เพิ่งเป็นมหาเมธีได้ไม่นาน แต่ฝีมือของเขานั้นยากจะหยั่งถึง เขาต้องเป็นผู้ช่วยที่ทรงพลังมากแน่นอน” ชายชราผมแดงกล่าวโดยไม่ลังเล
“อ่า ยากนะที่จะได้เห็นหมิงจุนพูดเช่นนี้ แปลว่าคนผู้นี้น่าจะมีฝีมืออยู่เหมือนกัน ที่เจ้ารู้จักฝีมือของเขาขนาดนี้ แปลว่าเขาได้ทำวีรกรรมสักอย่างมาแล้วใช่หรือไม่” หลังจากที่ชายชราคนนั้นเงียบไปนาน เขาก็ถามขึ้นมาอย่างใจเย็น
“วีรกรรมของสหายผู้นี้นับว่าไม่เยอะ แต่แค่เรื่องเดียวก็สามารถทำให้แดนวิญญาณจดจำชื่อของเขาแล้ว สหายปี้อิ่งเจ้ารู้เรื่องคนที่ฆ่าหนอนเพลี้ยตัวแม่ในแดนมารหรือไม่” ชายผมแดงพูดด้วยแววตาเปล่งประกาย
“เรื่องของหนอนเพลี้ยตัวแม่เป็นเรื่องดังมาก สหายจำนวนหนึ่งของนภาสีเลือดก็เดินทางไปแดนมารเพราะเรื่องนี้เช่นกัน เหมือนว่าสุดท้ายแล้วหนอนเพลี้ยตัวแม่จะถูกกลุ่มของเป่าฮวาฆ่าได้ หรือว่าสหายท่านนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น” เมื่อได้ยินชายชราผมแดงพูดเช่นนั้นเขาก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
“ในเมื่อสหายปี้อิ่งเดาได้แล้ว เช่นนั้นข้าก็จะไม่พูดให้มากความ เท่าที่ข้ารู้ สหายหานผู้นี้เป็นกำลังหลักในการฆ่าหนอนเพลี้ยตัวนี้ เป่าฮวาและคนอื่นๆ น่าจะเป็นแค่ตัวช่วยเท่านั้น” ชายผมแดงพูดอย่างเคร่งขรึม
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ สหายผู้นี้น่าจะแข็งแกร่งมาก หรือว่าเขาจะอยู่ในลำดับต้นๆ ของแดนวิญญาณ” เมื่อเงาร่างนั้นได้ยิน ก็ตกใจอย่างมาก
“หึๆ เรื่องที่เขามีพลังระดับนั้นหรือไม่ ข้าก็พูดไม่ได้ แต่อิทธิฤทธิ์ของเขานั้นยากจะคาดเดาแน่นอน และอีกฝ่ายกำลังเตรียมตัวเข้าร่วมงานประมูลของข้าด้วย ความจริงแล้วจุดประสงค์ของเขาน่าจะใช้เขตอาคมส่งตัวเพื่อไปแผ่นดินใหญ่แห่งอื่น ไม่แน่ว่าหลังจากที่เขาไปถึงแผ่นดินใหญ่นภาสีเลือดแล้ว พวกเจ้าน่าจะเกลี้ยกล่อมเขาได้ อย่างไรก็ต้องขึ้นอยู่กับความสามารถของเจ้าแล้ว ข้าเพียงมาบอกข้อมูลเท่านั้น” ชายผมแดงหัวเราะเบาๆ
“ได้ หากเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ก็ถือว่าข้าติดหนี้บุญคุณเจ้า หากว่าไม่มีอะไรแล้ว ก็เท่านี้แล้วกัน แม้ว่ากำแพงโทรจิตทวารทั้งเจ็ดจะสุดยอดมาก แต่การใช้พลังสื่อสารข้ามแผ่นดินใหญ่ก็นับว่าเปลืองพลังปราณไม่น้อย หากใช้บ่อยๆ เกรงว่าปราณของข้าจะหมดลง” สิ้นเสียงของเงาร่างนั้น เหมือนเขายกมือขึ้นมาร่ายคาถา
และมีเสียงดัง “ตู้ม”
ภาพบนกำแพงก็พร่าเลือน กลายเป็นลำแสงวิญญาณแล้วหายไป
เมื่อชายผมแดงเห็นเช่นนั้น เขาก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร แต่กลับปิดตาลงพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ
วันเวลาผ่านไปเรื่อยๆ งานเปิดการประมูลก็ใกล้เข้ามาทุกที
ในตอนนั้นเอง หานลี่ฝึกฝนอยู่ที่บ้านของตัวเองไม่ได้ออกไปไหนเลย เซวี่ยพั่ว จูกั่วเอ๋อร์ และคนอื่นอื่นก็ใช้โอกาสนี้ ออกไปเดินดูร้านค้าตามตรอกซอกซอยอยู่หลายครั้ง พร้อมซื้อของมากมายที่ไม่ค่อยพบในโลกด้านนอก
แต่อย่างหานลี่เขาไม่เคยสนใจของเหล่านี้ จึงไม่ได้ออกไปจับจ่ายใช้สอยในกลุ่มการค้าพันธมิตร เขารองานประมูลด้วยใจที่สงบนิ่ง
หลังจากหนึ่งเดือนผ่านไป หานลี่ที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ ในที่สุดเขาก็ได้รับยันต์สื่อสารจากแม่นางชุดม่วง เขายืนขึ้นพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ และออกจากห้องลับอย่างเร่งรีบ