เห็นได้ชัดว่ามหาเมธีผู้นั้นไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงแค่รุ่นน้องที่อยู่ระดับหลอมสูญเท่านั้น
เมื่อเซวี่ยพั่วได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย จึงหันไปมองหานลี่อย่างอดไม่ได้
“ไม่เป็นไร ในเมื่อเป็นงานประมูล ผู้ที่เสนอราคาสูงเท่านั้นที่จะได้รับของไป หากเจ้าต้องการมันจริงๆ ล่ะก็ สหายเซวี่ยพั่วก็ไม่จำเป็นต้องกังวลอะไร แค่เสนอราคาต่อไปเท่านั้น” หานลี่พูดด้วยสีหน้าแบบเดิม
“ขอบคุณท่านอาวุโสมากเจ้าค่ะ เมื่อได้ยินเช่นนี้ ข้าน้อยค่อยสบายใจหน่อย” เซวี่ยพั่วถอนหายใจแล้วตอบกลับอย่างตื่นเต้น
จากนั้นนางก็ขยับแผ่นกลมๆ ในมืออีกครั้ง และตะโกนออกไปอีกครั้งว่า “ห้าสิบห้าล้าน”
เสนอราคาเพิ่มขึ้นทีเดียวสามล้าน จึงทำให้ผู้ร่วมประมูลทุกคนต่างตกใจ
บรรพชนมหาเมธีผู้นั้นเงียบเสียงลงไปแล้ว กระทั่งหูอวี้ซวงนับถอยหลังครบสามรอบแล้ว ในที่สุดไขกระดูกทองคำก็ได้เจ้าของเรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็ไม่มีเสียงอะไรมาจากจากห้องกลางอากาศอีก
ไม่รู้ว่าบรรพชนมหาเมธีท่านอื่นจะรู้สึกว่าของชิ้นนี้แพงเกินไปหรือไม่ แต่ถึงอย่างนั้นเซวี่ยพั่วก็ยังรู้สึกดีใจอย่างมาก หลังจากนั้นก็รอคนของกลุ่มการค้าพันธมิตรมาส่งสินค้าและจ่ายศิลาวิญญาณ
“คิดไม่ถึงว่าพี่สาวเซวี่ยจะร่ำรวยขนาดนี้ ควักศิลาวิญญาณก้อนใหญ่ออกมาจ่ายได้โดยไม่กะพริบตาเลย” หลังจากที่พนักงานของกลุ่มการค้าพันธมิตรออกไป จูกั่วเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็มองขวดสีม่วงเล็กๆ ในมือของเซวี่ยพั่วพร้อมพูดขึ้นด้วยความอิจฉา
ด้วยอายุและระดับการฝึกฝนเช่นนั้น เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีศิลาวิญญาณมากมายขนาดนั้น
“น้องสาวกั่วเอ๋อร์พูดล้อเล่นแล้ว ศิลาวิญญาณเหล่านี้เป็นผลของการเก็บสะสมมาหลายปี ข้าเองก็คิดไม่ถึงว่าจะได้เจอกับไขกระดูกทองคำที่หายากตั้งแต่แรกแบบนี้ ไม่เช่นนั้นข้าต้องรออีกนานแน่นอนกว่าจะลงมือ แต่ว่าซื้อของวิเศษชิ้นนี้แล้ว ของวิเศษชิ้นต่อไปข้าก็หมดหวังแล้ว” เซวี่ยถอนหายใจแล้วพูดออกมา แสงสว่างกลางฝ่ามือก็สว่างขึ้น และเก็บขวดโอสถลงไปในมิติส่วนตัว
“แต่ว่าข้าว่าพี่สาวซื้อมันตอนนี้ถือว่าเป็นเรื่องดีแล้ว แม้ว่ารายการการประมูลชิ้นต่อไปจะต้องหายากมากกว่าไขกระดูกทองคำชิ้นนี้ แต่ไม่สามารถซื้อได้ด้วยศิลาวิญญาณจำนวนเท่านี้แน่นอน ตอนนี้งานเพิ่งเริ่มขึ้น ดูเหมือนหลายๆ คนก็กำลังรอคอยโอกาส ตอนนั้นพี่สาวคงไม่ได้ไขกระดูกทองคำมาง่ายๆ เช่นนี้แน่” หลังจากจูกั่วเอ๋อร์คิดไปคิดมา พร้อมพูดออกมายิ้มๆ
“โชคดีมากที่ท่านผู้อาวุโสหานอยู่ที่นี่ หากเป็นข้าตัวคนเดียวคงไม่กล้าแย่งของชิ้นนี้มาจากมหาเมธีท่านอื่นแน่นอน หากท่านมหาเมธีไม่เข้าร่วมการประมูลครั้งนี้ แต่คนอื่นๆ คงจะไม่ปล่อยไขกระดูกทองคำง่ายๆ แน่นอน” เซวี่ยพั่วหันไปมองหานลี่ด้วยสายตาเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง
“ข้านึกว่าเจ้าจะต้องยืมศิลาวิญญาณข้า ตอนนี้สามารถซื้อของวิเศษได้ด้วยตนเอง นับว่าดียิ่ง” หานลี่พูดอย่างไม่ใส่ใจ
ในตอนนั้น สายตาของเขาก็หันไปมองที่ศูนย์กลางของงานประมูลอีกครั้ง
เริ่มต้นการประมูลด้วยไขกระดูกทองคำที่หายากเช่นนี้ ก็ทำให้หานลี่รู้สึกสนใจเล็กน้อย จึงอดรอคอยสินค้าประมูลชิ้นต่อไปไม่ได้
บนเวที หูอวี้ซวงหยิบกล่องไม้กล่องต่อไปขึ้นมาเปิด ลักษณะของกล่องนั้นมีขนาดยาวมาก
ทันทีที่เปิดกล่องไม้สีดำที่อยู่กลางฝ่ามือของหญิงสาวผู้นั้น ก็มีเสียงดังลอดออกมา
พร้อมแสงสีเขียวที่ส่องประกายออกมา ผ่านไปชั่วครู่ แสงสีเขียวนั้นก็กลายเป็นมังกรสีเขียวตัวหนึ่ง ยาวสิบกว่าจั้ง มันกางกรงเล็บพุ่งทะยานขึ้นท้องฟ้า เหมือนต้องการจะหนีอย่างไรอย่างนั้น
“หึ ลงไป”
จู่ๆ ก็มีเสียงเย็นๆ ดังออกมาจากเมฆห้าสีกลางอากาศ จากนั้นก็ตามด้วยเสียง “เปรี้ยงๆ” จากนั้นก็ตามด้วยแสงสีทองหลายสาย พริบตาต่อมา มันก็พุ่งตรงไปโจมตีมังกรสีเขียวตัวนั้นอย่างแม่นยำ
มังกรกรีดร้องดังลั่น ร่างทั้งร่างมันสั่นกึกๆ จากนั้นก็ตกลงไปบนพื้นด้านล่าง
ในตอนนั้นเองผู้หญิงที่ยืนอยู่กลางเวทีด้านล่างร่ายคาถาขึ้นในช่วงเวลาที่พอเหมาะ และชี้นิ้วไปที่มังกรตัวนั้น
ร่างกายของมังกรตัวนั้นหดบิดเบี้ยว แสงสว่างสว่างวาบ กลับสู่รูปร่างกระบี่สีเขียวเล่มหนึ่ง แล้วค่อยๆ ตกลงมา
หูอวี้ซวงที่ยืนร่ายคาถาก็กระโดดขึ้นไปคว้ากระบี่เล่มนั้นลงมา พร้อมลูบกระบี่เล่มนั้นเบาๆ
แสงสีเขียวที่ส่องออกมาจากตัวกระบี่ก็หายไป เสียงมังกรคำรามก็เงียบลง
สายตาของหานลี่เปล่งประกายแสงสีเขียวออกมา ทำให้เขามองเห็นของชิ้นนั้นได้อย่างชัดเจน
เห็นได้ชัดว่ากระบี่เล่มนี้เป็นของในบรรพกาล ยาวไม่เกินหนึ่งชือ (หนึ่งฟุต) ตัวกระบี่สั้นมาก ความยาวแค่ครึ่งหนึ่งของกระบี่ทั่วไป
ตัวอักษรวิญญาณปรากฏขึ้นอยู่เต็มราวกับเกล็ดปลา ด้ามจับมีหัวมังกรสีเขียว ในปากมังกรกัดคริสตัลเม็ดหนึ่งอยู่
“กระบี่มังกรชงเย่ว์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสามกระบี่จิตวิญญาณของท่านผู้เฒ่าชงเย่ว์ของแผ่นดินใหญ่เฟิงหยวน เมื่อหนึ่งแสนปีที่แล้ว ในขณะที่หลอมมันไม่เพียงใช้เลือดจิตวิญญาณของมังกรเขียวหลายสิบสาย หลังจากขึ้นรูป ผู้เฒ่าชงเย่ว์ก็ทุ่มเทแรงกายใช้เวลาหลอมมากกว่าร้อยปี พร้อมดึงปราณจันทรามาใส่ในกระบี่เล่มนี้อย่างท่วมท้น อย่างที่ทุกคนรู้ปราณกระบี่และพลังแข็งแกร่งมาก หากสหายท่านใดสนใจ สามารถขึ้นมาตรวจสอบได้โดยตรง” สาวงามผู้นั้นยืนอยู่ตรงหน้าของกระบี่มังกรเขียวเล่มนั้น อธิบายด้วยน้ำเสียงยิ้มแย้ม
ทันทีที่นางพูดจบ คนที่อยู่ในงานประลองก็ยืนขึ้นมา พร้อมต่อแถวขึ้นมาดูกระบี่เล่มนั้น คนพวกนั้นล้วนพยักหน้า ภายในชั่วเวลาสั้นๆ ก็มีคนต่อแถวเกือบสามสิบคนแล้ว
หลังจากคนสุดท้ายเข้าไปดูเสร็จแล้ว หูอวี้ซวงก็ยกกระบี่ขึ้นสูง พร้อมพูดอย่างไม่ลังเลว่า
“กระบี่มังกรเขียวชงเย่ว์ราคาประมูลเริ่มต้นอยู่ที่เจ็ดล้านศิลาวิญญาณเจ้าค่ะ ใช้ศิลาคุณภาพสูงเท่านั้นเจ้าค่ะ”
ราคาเริ่มต้นของของวิเศษเล่มนี้ ราคาต่ำกว่าไขกระดูกทองคำอย่างเห็นได้ชัด
แต่มันมีคนต้องการของวิเศษชิ้นนี้มากกว่าไขกระดูกนัก
สิ้นเสียงผู้หญิงของคนนั้น ก็มีคนตะโกนขึ้นว่า “เจ็ดล้านห้าแสน”
“แปดล้าน”
“เก้าล้าน”
ม่านแสงกลางอากาศได้ฉายภาพของกระบี่เล่มนั้นขึ้นมานานแล้ว การเสนอราคาก็พุ่งขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว จนไม่สามารถแสดงราคาบนจอม่านแสงได้ชั่วคราว
แต่ว่าเมื่อราคามาอยู่ที่ยี่สิบหกล้าน ผู้ประมูลด้านล่างก็เงียบเสียงลง ไม่มีใครเสนอราคาเพิ่มขึ้นอีกแล้ว
เห็นได้ชัดว่านี่คือราคาสูงสุดของราคาประมูล และไม่คุ้มที่จะต่อราคาครั้งต่อไป
ส่วนระดับมหาเมธีที่อยู่ในห้องกลางอากาศเหล่านั้น ยิ่งไม่มองของวิเศษชิ้นนี้ในสายตาเลย และไม่มีความคิดที่จะลงมือเลยแม้แต่น้อย
กระบี่มังกรเขียวชงเย่ว์ ราคาประมูลสุดท้ายอยู่ที่ยี่สิบหกล้าน
หลังจากที่หูอวี้ซวงเปิดกล่องที่สามแล้ว สิ่งที่นางนำออกมาแร่สีโลหิต มันคือเหล็กกล้าโลหิต จากแผ่นดินใหญ่นภาสีเลือด
เหล็กกล้าโลหิตเป็นส่วนผสมที่ใช้หลอมอาวุธวิเศษ และมันก็ถูกประมูลออกไปอย่างง่ายดายด้วยราคาสิบเจ็ดล้าน
งานประมูลครั้งนี้เริ่มต้นได้ไม่เลวเลย
ของวิเศษแปลกๆ ถูกลำเลียงออกมาเรื่อยๆ และด้วยการพรรณนาคุณสมบัติของหูอวี้ซวงก็ทำให้มันสามารถประมูลออกไปได้
ในบรรดาของเหล่านี้ สิ่งที่ทำให้เหล่ามหาเมธีสนใจได้มีไม่เยอะ ชั่วพริบตาเดียวของก็ถูกประมูลออกไปนับร้อยชิ้นแล้ว
ส่วนหานลี่เองก็ไม่ได้สนใจของเหล่านั้นเลย จึงไม่ได้ร่วมประมูลเลยสักครั้ง
เซวี่ยพั่วยิ่งไม่สนใจของประมูลพวกนั้น หลังจากนางประมูลของชิ้นแรกได้แล้วนั้น นางก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
ดูเหมือนกลุ่มการค้าพันธมิตรเฮ่อเหลียนนั้นจะรู้อยู่แล้วว่าสินค้าพวกนี้ไม่สามารถทำให้มหาเมธีที่อยู่ในห้องรับรองกลางอากาศประทับใจได้ ในที่สุดงานประมูลก็ดำเนินมาถึงครึ่งทางแล้ว ตอนนั้นเองเขาก็หยิบของวิเศษหายากกว่าไขกระดูกทองคำห้าถึงหกเท่าออกมา
ของวิเศษเหล่านี้ ล้วนเป็นของที่สามารถต้านทานทัณฑ์สวรรค์และชะลอการเกิดทัณฑ์สวรรค์ได้
ในครั้งนี้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับมหาเมธีล้วนนั่งไม่ติดเก้าอี้แล้ว จึงค่อยๆ ทยอยแย่งกันเสนอราคาเพื่อมันอย่างไม่เกรงใจ
ไม่ว่าจะเป็นของสิ่งใดก็สามารถขายได้ในราคาร้อยล้านศิลาวิญญาณอย่างง่ายดาย
แม้แต่ส่วนผสมที่ใช้หลอมของวิเศษที่สามารถต้านทานทัณฑ์สวรรค์ได้ ยังสามารถประมูลได้ในราคาสี่ร้อยล้านศิลาวิญญาณ
ผู้ร่วมประมูลที่อยู่ด้านล่างส่วนใหญ่อยู่ในระดับหลอมสูญ ในที่สุดพวกเขาก็ได้รู้ว่าอะไรที่เรียกว่ามหาเศรษฐี ถึงไม่ได้มองศิลาวิญญาณระดับสูงเป็นเงินเลยด้วยซ้ำ
เดิมทีหานลี่เองก็รู้สึกสนใจส่วนผสมหลอมของวิเศษพวกนั้นด้วยเช่นกัน แต่เมื่อราคาเกินสองร้อยล้าน เขาก็ยอมแพ้พร้อมรอยยิ้มทันที
เมื่อของห้าหกชิ้นเหล่านี้ออกมา ก็สามารถกระตุ้นความตื่นเต้นของมหาเมธีได้ดีทีเดียว
แม้ว่าคุณภาพของสินค้าจะลดลงไป แต่มหาเมธีเหล่านั้นก็ยังเข้าร่วมประมูลอยู่ และประมูลไปได้ไม่น้อยเลย
หลังจากเวลาค่อยๆ ผ่านไป งานประมูลที่เปิดประมูลมาตลอดทั้งวัน ก็ได้จบลง
โชคดีที่ผู้ร่วมเข้าประมูลล้วนเป็นคนที่มีพลังปราณเหลือล้น จึงไม่รู้สึกเหนื่อยกับการประมูลทั้งวันนี่ แต่ในทางกลับกันพวกเขากลับรู้สึกกระปี้กระเปร่าและกระตือรือร้นอย่างมาก
“ข้าต้องให้สหายทั้งหลายรอคอยมานานแล้ว เอาล่ะ ข้าน้อยจะไม่กล่าวให้มากความ ต่อไปจะเป็นการประมูลของวิเศษสามชิ้นสุดท้ายของงานประมูลในครั้งนี้ ข้าเชื่อว่าพวกท่านทุกคนจะต้องชอบกับของวิเศษชิ้นนี้แน่นอน” หูอวี้ซวงกล่าวด้วยรอยยิ้มลึกลับ พร้อมตบมือเบาๆ สองครั้ง
พร้อมมีเสียงคำรามดังมาจากบนท้องฟ้า ทันใดนั้นเมฆห้าสีก็แหวกออกไปด้านข้าง ทันใดนั้นก็มีพระราชวังสีทองก็ปรากฏขึ้น
พร้อมเสียงร่ายคาถาดังมาจากพระราชวังแห่งนั้น ทันใดนั้นก็มีสาวงามสามนางปรากฏออกมาจากพระราชวัง พวกนางก็ถือถาดเงิน ไว้คนละใบ ด้านบนนั้นมีม่านแสงสีทองปกคลุมอยู่
สาวงามทั้งสามคนสวมชุดนางในลอยออกมาจากพระราชวังสีทอง ตามด้วยชายชราสี่คน พวกเขามีพลังที่แข็งแกร่งมาก พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นบรรพชนระดับมหาเมธี
หลังจากที่คนทั้งเจ็ดคนลอยมาถึงกลางเวทีแล้ว หูอวี้ซวงก็คำนับท่านผู้อาวุโสทั้งสี่
“คารวะท่านผู้เฒ่าทั้งสี่ ในตอนแรกผู้น้อยคิดว่าจะไปคารวะท่านผู้อาวุโสทั้งสี่ตั้งแต่มาถึงแผ่นดินใหญ่เฟิงหยวน แต่คิดไม่ถึงว่าผู้อาวุโสทั้งสี่จะปิดด่านฝึกพร้อมกัน หวังว่าท่านจะให้อภัยข้าน้อย”
“หึๆ เจ้าเป็นทายาทสายตรงที่มีอนาคตที่สุดของห้าตระกูลจิ้งจอกสินะ คุณสมบัติโดดเด่นจริงๆ คนทั่วไปไม่สามารถมาเทียบได้เลย เรื่องทำเนียมพวกนั้นข้าไม่สนใจหรอก เจ้าเองก็ไม่ต้องสนใจมาก ช่วงนี้พวกเราทั้งสี่คนจะปิดด่านฝึกพร้อมกัน หากไม่ใช่เพราะหมิงจุนอยากให้พวกเรามาทำให้งานประมูลครึกครื้นขึ้น ข้าเองก็คงไม่ออกมาจากด่านฝึกหรอก” ชายชรารูปร่างผอมผู้หนึ่งที่สวมชุดกระสอบอยู่ พูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม พร้อมโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ