“ดี ในเมื่อนักพรตไม่มีความคิดเห็นใดแล้ว เช่นนั้นเจ้าก็ไปพักผ่อนเถอะ หวังว่าการเดินทางครั้งนี้คงจะราบรื่นนะ” หานลี่โบกมือให้กับหญิงสาวคนนั้น ถอนหายใจเบาๆ พร้อมเอ่ยออกมา
แน่นอนว่าเซวี่ยพั่วย่อมไม่กล้าที่จะขัดขืนจึงได้ถอยออกมาจากห้องโถง
หานลี่กลับนั่งครุ่นคิดอยู่บนเก้าอี้เงียบๆ ไม่เอ่ยอะไรออกมาอีก
…
หลังจากนั้นไม่กี่วัน เรือปีศาจลำขนาดยักษ์ก็ปรากฏขึ้นเหนือทะเลสาบมรกต แล้วตกลงบนเกาะที่ดูเหมือนว่าจะรกร้างผิดปกติ และเพียงครึ่งวันต่อมา เรือลำขนาดใหญ่ยักษ์ก็ลอยตัวขึ้นไปในอากาศอีกครั้ง แล้วลอยไปตามเส้นทางที่กำหนดเอาไว้
…
หนึ่งเดือนต่อมา เหนือภูเขาที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในแผ่นดินใหญ่นภาสีเลือด ชนต่างเผ่าในแดนนภาสีเลือดนับสิบ แบ่งออกเป็นสองฝ่ายเพื่อก่อการใหญ่
ฝ่ายหนึ่งมีผิวกายสีแดงเพลิง ตรงแก้มเห็นเป็นเกล็ดจางๆ อีกฝ่ายหนึ่งมีคิ้วหนาตาโต ตามร่างกายเต็มไปด้วยไอวิญญาณชั่วร้ายพัวพันอยู่
ด้านล่างของทั้งสองฝ่ายนั้น เป็นป่าทึบดูพิศวงผิดปกติ พืชหลากหลายชนิดมีกลิ่นอายแปลกๆ ของยาเสริมวิญญาณกำจายออกมาลอยละล่องไปตามสายลม
ทั้งสองด้านของพืชยาเสริมวิญญาณเหล่านี้ มีชายชราสวมชุดคลุมสีโลหิตและชายชราชุดคลุมสีเทานั่งไขว่ห้างอยู่
รูปลักษณ์ของทั้งสองนั้นดูคล้ายคลึงกับทั้งสองฝ่ายที่ต่อสู้กันอยู่กลางอากาศ เพียงแต่ว่าพลังยุทธ์นั้นดูเหมือนว่าจะสูงส่งกว่ากลุ่มคนที่ต่อสู้อยู่กลางอากาศเหล่านั้นยิ่งนัก ต่างฝ่ายต่างนำเอาตะกร้าดอกไม้และอาวุธวิเศษจานกลมออกมาสู้กันกลางอากาศบนยาเสริมวิญญาณ และดูเหมือนว่าต่างก็จะยืนหยัดต่อไปไม่ได้แล้ว
เห็นได้ชัดว่าทั้งสองคนนี้ก็คือผู้นำของทั้งสองฝ่ายนั่นเอง และเหมือนว่าพวกเขากำลังต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงยาเสริมวิญญาณที่หายากเหล่านี้
จู่ๆ ก็เกิดเสียงคำรามดังขึ้นตรงขอบฟ้าที่ไกลๆ ออกไป เรือสีดำขนาดใหญ่ยักษ์ราวกับภูเขาปรากฏขึ้นภายในพริบตา และพุ่งตรงไปยังป่าทึบนั้นรวดเร็วอย่างน่าอัศจรรย์
ก่อนที่เรือขนาดใหญ่ยักษ์ยังไม่ทันได้ลอยมาอยู่ต่อหน้าของทุกคนนั้น แรงอันทรงพลังน่าประหลาดใจผู้คนก็พัดเข้ามาก่อน
ชนต่างเผ่าในแดนนภาสีเลือดทั้งสองฝ่ายที่กำลังต่อสู้กันอยู่บนท้องฟ้าซึ่งมีพลังยุทธ์อยู่เพียงแค่ขั้นของปราณก่อกำเนิดเท่านั้น และเมื่อถูกพลังอันมหาศาลนี้บีบบังคับเข้า ต่างก็พากันหยุดมือแล้วถอยกลับด้วยความหวาดกลัว
ผู้นำทั้งสองฝ่ายที่มีพลังยุทธ์ขั้นหลอมสูญในป่าทึบด้านล่างนั้น สีหน้าก็ดูเปลี่ยนไปเช่นกัน รีบร้อนมองไปยังเรือลำใหญ่ยักษ์ด้วยความตื่นตระหนก
สุดท้ายแล้วเรือสีดำลำใหญ่นั้นก็ค่อยๆ ลงจอด เกิดเป็นพายุขนาดใหญ่พัดผ่านป่าทึบไป
ชนต่างเผ่าทั้งสองฝ่ายรู้สึกราวกับว่าหลังจากที่พายุขนาดใหญ่นี้พัดผ่านไปต่อหน้าต่อตาของพวกเขาแล้ว ร่างกายก็หมุนอย่างบ้าคลั่งจากที่เดิมราวกับว่าเป็นลูกข่างโดยไม่ได้ตั้งใจ
ตามมาด้วยเสียงดัง “ปัง ปัง”! ดังออกมา ร่างกายของพวกเขาค่อยๆ ลอยถลาไปยังด้านหลังนับสิบจั้ง ถึงได้หยัดกายลุกขึ้นยืนอย่างมั่นคงอีกครั้งอย่างไม่เต็มใจ
ป่าทึบทางด้านนั้นราวกับว่ามีสัตว์อสูรขนาดยักษ์วิ่งผ่านเข้ามา เกิดเป็นคูน้ำขนาดใหญ่กว้างนับสิบจั้ง ต้นไม้ทั้งสองข้างพากันราบเป็นหน้ากอง
สีหน้าของคนทั้งสองฝ่าย เปลี่ยนไปดูหวาดกลัวจนถึงขีดสุด
ในตอนนี้ เรือสีดำขนาดใหญ่อยู่ห่างออกไปจากพื้นดินกว่าสิบลี้ และหลังจากที่สั่นไหวขึ้นอีกครั้งแล้ว ก็กลายเป็นสายลมสีดำแล้วจางหายไป
ผู้นำของชนต่างเผ่าทั้งสองที่อยู่ใกล้กับยาเสริมวิญญาณ ถึงแม้ว่าจะบังเอิญอยู่ใกล้กับสองข้างคูน้ำ แต่ก็ถูกพลังมหาศาลที่ทำให้ผู้อื่นหายใจไม่ออก บีบบังคับจนทำให้พากันล้มคว่ำลงไป
หลังจากที่ทั้งสองพากันหยัดกายลุกขึ้นมาได้อีกครั้งแล้ว ใบหน้าก็เปลี่ยนไปซีดขาวไร้สีเลือด มองไปยังเรือขนาดใหญ่ที่อยู่ห่างออกไป ตื่นตระหนกราวกับว่าเห็นผีในตอนกลางวันอย่างไรอย่างนั้น
“เป็นบรรพชนมหายาน! มีเพียงแค่เรือเหาะของผู้อาวุโสมหายานเท่านั้น ถึงได้มีพลังวิเศษเช่นนี้” ชายชราชุดคลุมสีโลหิตเอ่ยพึมพำออกมา “ไม่รู้ว่าเป็นบรรพชนท่านใดที่ผ่านที่แห่งนี้ไป… อ่า แย่แล้ว ยาเสริมวิญญาณของพวกเรา” หลังจากที่ชายชราชุดเทาเอ่ยออกมาสองสามประโยคราวกับจิตวิญญาณยังคงไม่มั่นคง จากนั้นก็เหมือนว่าคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ในทันที กระโดดขึ้นแล้วรีบมองลงไปยังกลางคูน้ำ สุดท้ายก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
พืชยาเสริมวิญญาณเหล่านั้นกลับยังคงปลอดภัยไม่มีปัญหาใดอยู่กลางคูน้ำ ราวกับว่าพลังมหาศาลเมื่อครู่นี้ตั้งใจที่จะหลีกเลี่ยงออกจากพื้นที่เล็กๆ นี้เอาไว้
เพียงแต่ว่าเพียงแค่ครู่เดียว ชายชราชุดคลุมสีโลหิตและชายชุดสีเทาต่างก็มองสบตากันแล้ว สีหน้าก็เปลี่ยนไปอีกครั้งแล้วนำเอาสมบัติวิเศษเมื่อครู่นี้ออกมาต่อสู้กันอีกครั้ง
สำหรับบริวารของทั้งสองคนที่อยู่กลางอากาศเหนือป่าทึบนั้น เมื่อเห็นว่าเรือขนาดใหญ่ยักษ์ที่มีพลังมหาศาลนี้ไม่ได้สนใจพวกเขาแม้แต่น้อย หลังจากที่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก็ส่งเสียงร้องตะโกนออกมาก่อนที่จะต่อสู้กันอีกครั้ง
…
สามเดือนต่อมา เหนือเขตต้องห้ามของสำนักขนาดกลางแห่งหนึ่ง เรือสีดำสนิทขนาดยักษ์ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าอย่างเงียบๆ เวลาเดียวกันก็มีหุ่นเชิดระดับสูงต่างๆ มากกว่านับพัน ครอบครองพื้นที่กว่าครึ่งอย่างหนาแน่นอยู่บนท้องฟ้า
ด้านล่างของหุ่นเชิดเหล่านี้ เป็นคนจากแดนนภาสีเลือดที่สวมใส่เสื้อผ้าแบบเดียวกันเกือบหมื่นคน ไม่ว่าจะมีพลังยุทธ์สูงหรือต่ำ ต่างก็พากันยืนอยู่บนพื้นดินอย่างระแวดระวังภัย ไม่กล้าแม้แต่จะเคลื่อนไหวไปมาตามแต่ใจชอบ
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยามเต็ม พื้นที่ต้องห้ามก็เกิดความเคลื่อนไหวขึ้น สายรุ้งสีฟ้าสายหนึ่งทะลุผ่านพื้นที่ต้องห้ามนั้นขึ้นมาอย่างกะทันหัน ไม่กี่ชั่วพริบตา ร่างของคนสองคนก็ปรากฏขึ้นบนเรือขนาดยักษ์นั้น
เป็นหานลี่และจูกั่วเอ๋อร์
“ผู้อาวุโส มีเบาะแสหรือไม่” เซวี่ยพั่วที่รออยู่ที่นั่นอยู่ก่อนแล้ว รีบร้อนก้าวเข้าไปแล้วเอ่ยถามออกมา
“ไม่มี แท่นบูชาโบราณนี้ก็ไม่ใช่แท่นที่พวกเรากำลังตามหาอยู่แท่นนั้น ไปกันเถอะ เดินทางกันต่อ” หานลี่เอ่ยสั่งออกมาราบเรียบ
“”ขอรับ”
หลังจากที่บรรพชนฮวาสือส่งเสียงตอบรับแล้ว ก็ได้หยิบเอาอาวุธวิเศษที่มีลักษณะเหมือนกับป้ายคำลั่งออกมาในทันที แล้วกวัดแกว่งอยู่ด้านนอกของเรือขนาดยักษ์ ขณะนั้นหุ่นเชิดทั่วท้องฟ้าทั้งหมดต่างก็พากันบินกลับมายังเรือขนาดยักษ์นี้ทันที
วินาทีถัดมา เรือมารขนาดยักษ์นี้ก็มีอักษรรูนสีดำนับไม่ถ้วนกลิ้งออกมาจากพื้นผิว ส่งเสียงดังคำรามแล้วจากไป
เหลือเพียงแค่นักพรตจากสำนักนั้นเอาไว้
ภายในกลุ่มคนเหล่านี้ มีผู้ที่มีพลังยุทธ์อยู่ในขั้นของผสานอินทรีย์อยู่ไม่กี่คนเท่านั้น เมื่อเห็นว่าเรือมารขนาดยักษ์นี้เหาะลอยออกไปโดยที่ไม่ได้ย้อนกลับมา สีหน้าก็ดูเหมือนจะผ่อนคลายลง
แต่ในนั้นมีชายร่างใหญ่ที่มีเคราสีเขียวทั่วทั้งใบหน้า กลับเอ่ยกับทุกคนด้วยท่าทีที่ไม่ค่อยจะเต็มใจนัก
“ท่านผู้นำ ผู้อาวุโสทั้งหลาย พวกเราจะยอมให้อีกฝ่ายหนีหายไปเช่นนี้อย่างนั้นหรือ หากว่าเรื่องนี้แพร่ออกไปแล้ว ชื่อเสียงของสำนักหลีหั่วเราไม่ใช่ว่าจะถูกทำลายลงไปอย่างนั้นหรือ”
“ไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายไป แล้วจะทำอย่างไรได้? ไม่ต้องพูดถึงว่าผู้นำคนนั้นมีพลังยุทธ์ที่ไม่อาจหยั่งถึงได้ กว่าครึ่งแล้วคงจะเป็นบรรพชนมหายาน อาศัยเพียงแค่หุ่นเชิดเหล่านี้ก็สามารถทำลายสำนักของเราให้สลายไปได้หลายรอบแล้ว หรือว่าผู้อาวุโสยังคิดที่จะให้สำนักของเราล่มสลายไปอย่างนั้นหรือ?” ชายชราหลังค่อมอีกท่านหนึ่ง ใบหน้าบูดบึ้ง เอ่ยออกมาหลังจากที่สูดลมหายใจเข้าไปแล้ว
เมื่อคนอื่นได้ยินแล้ว ต่างก็พากันเห็นด้วย
“และถึงแม้ว่าต่อให้พรรคของเราจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฝ่ายตรงข้าม แต่ก็สามารถให้ซั่งจงออกหน้าได้ สำนักของเรามอบหินวิญญาณมากมายทุกปี ไม่ใช่ว่าก็เพื่ออาศัยความสามารถมาปกป้องสำนักของเราเมื่อพบเข้ากับเหตุการณ์เช่นนี้อย่างนั้นหรือ ขอเพียงแค่ซั่งจงออกหน้าก่อกวนฝ่ายตรงข้ามแล้ว หน้าตาของสำนักเราก็สามารถรักษาเอาไว้ได้กว่าครึ่งแล้ว” ชายร่างใหญ่ยังคงเอ่ยออกมาอย่างไม่เห็นด้วยนัก
“ซั่งจงเองก็เป็นเพียงแค่บรรพชนมหายานท่านหนึ่งก็เท่านั้น แล้วจะไปทำเรื่องก่อกวนผู้ที่อยู่ในขั้นมหายานนั้นได้อย่างไรกัน อีกทั้งฝ่ายตรงข้ามเพียงแค่บุกรุกเข้ามาในพื้นที่ต้องห้ามของสำนักเราเท่านั้น แต่ไม่ได้ทำร้ายลูกศิษย์คนใดเลย สำนักของเรานอกจากว่าเสียชื่อเสียงแล้ว แต่ก็ไม่มีอันตรายใดๆ ทั้งสิ้น ในสถานการณ์เช่นนี้ คนอย่างท่านซั่งจงคงจะไม่สนใจเรื่องนี้แน่” ชายชราค่อยเอ่ยเยาะเย้ยออกมา
“นี้ก็ไม่แน่ หากว่าสำนักของเรายินยอมจ่ายราคาที่แน่นอนแล้ว…” ชายร่างใหญ่เอ่ยพร้อมกลับกรอกตาไปมา
“ช่างมันเถอะ เรื่องนี้ก็ให้มันจบลงเพียงแค่เท่านี้ เพียงแค่หน้าตาเล็กๆ น้อยๆ ถึงกับจะไปล่วงเกินผู้ที่อยู่ในขั้นมหายาน ผู้อาวุโสฉู่ ท่านจะอยู่ในความสับสน หรือว่ามีแผนการอื่นกันแน่?” ชายวัยกลางคนอยู่ในชุดคลุมของผู้อยู่ในลัทธิขงจื๊อที่ไม่เคยเปิดปากมาก่อน จู่ๆ ก็ขัดคำของชายร่างใหญ่
“ท่านผู้นำ ผู้แซ่ฉู่จะมีแผนการอะไรได้ เพียงแต่ไม่ยินยอมให้สำนักหลีหั่วของพวกเราเสียหน้าก็เท่านั้น ในเมื่อท่านผู้นำและเหล่าผู้อาวุโสต่างก็ไม่ได้สนใจในเรื่องนี้ แล้วข้าทำไมต้องไปวุ่นวายกับมันด้วย” ชายร่างใหญ่ส่งเสียงฮึมฮัมอธิบายออกมาสองประโยค แล้วก็ไม่เอ่ยอะไรออกมาอีก
“ผู้อาวุโสเฟ่ย ผู้อาวุโสฉยง ไปตรวจสอบพื้นที่ต้องห้ามดูว่าสมบัติวิเศษด้านในนั้นมีหายไปบ้างหรือไม่ แล้วก็ตรวจสอบดูว่ามีร่องรอยของผู้อาวุโสมหายานเมื่อครู่นี้ว่าตกลงแล้วเขาจะไปที่ใดกัน” ?” ชายวัยกลางคนอยู่ในชุดคลุมของผู้อยู่ในลัทธิขงจื๊อไม่ได้สนใจชายร่างใหญ่อีกต่อไป หันหลังกลับไปเอ่ยสั่งชายชราหลังค่อมและอีกคนหนึ่ง
“ขอรับ ข้าจะไปตรวจสอบเดี๋ยวนี้เลยขอรับ”
ชายชราหลังค่อมทั้งสองรู้สึกหนาวเหน็บขึ้นภายในใจ รีบร้อนก้าวไปเอ่ยตอบรับด้านหน้า
ตามมาด้วยทั้งสองคนจากไปด้วยกัน เพียงพริบตาก็หายเข้าไปในพื้นที่ต้องห้ามจนไม่เห็นแม้แต่เงา
ส่วนลูกศิษย์คนอื่นๆ นั้น ต่างทยอยกันกลับไปยังสำนักภายใต้คำสั่งของท่านผู้นำ
“แท่นบูชาโบราณ?”
หลังจากนั้นครึ่งวัน ภายในห้องลับของสำนักแห่งนี้ ชายวัยกลางคนอยู่ในชุดคลุมของผู้อยู่ในลัทธิขงจื๊อรู้สึกตกตะลึงขึ้นมา
“ไม่ผิดแล้ว ผู้อาวุโสท่านนั้นไปเพียงแค่ที่แห่งนั้นจริงๆ อีกทั้งยังทิ้งร่องรอยของการใช้คาถาเอาไว้ด้วย” ชายชราหลังค่อมเอ่ยตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มข่มขื่นออกมา
“แท่นบูชาโบราณในพื้นที่ต้องห้าม น่าจะถูกทิ้งร้างมาไม่รู้กี่ปีแล้ว พวกเขาจงใจไปยังพื้นที่ต้องห้ามของสำนักเราเพื่อที่จะร่ายคาถาใส่แท่นบูชา เพื่อจุดประสงค์อะไรกัน?” ชายวัยกลางคนอยู่ในชุดคลุมของผู้อยู่ในลัทธิขงจื๊อเอ่ยพึมพำออกมาสองประโยค ใบหน้ายากที่ซ่อนความสงสัยเอาไว้
“ผู้ใดจะรู้ได้ บางทีแท่นบูชาโบราณนั้นอาจจะเก็บซ่อนความลับบางอย่างเอาไว้ก็ได้?” หลังจากที่ผู้อาวุโสหลังค่อมคนนั้นลูบไล้คางแล้ว ก็เอ่ยออกมาอย่างคาดเดา
“ช่างมันเถอะ ต่อให้จะมีความลับสำคัญอะไรอยู่ในนั้น แต่เมื่อบรรพชนมหายานออกหน้าแล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องที่สำนักของเราเข้าไปแทรกแซงได้ นอกเสียจากว่าหลังจากนี้พื้นที่ต้องห้ามจะต้องเพิ่มคนอีกเท่าหนึ่ง เรื่องนี้ก็ทำเป็นว่าไม่เคยรู้ก็แล้วกัน” หลังจากที่สีหน้าของชายวัยกลางคนอยู่ในชุดคลุมของผู้อยู่ในลัทธิขงจื๊อเปลี่ยนไปมาอยู่หลายครั้งแล้ว ในที่สุดก็ได้เอ่ยออกมาอย่างตัดสินใจแล้ว
“เข้าใจแล้วขอรับ พรุ่งนี้ข้าจะกำชับลงไปตามคำสั่งนี้” ชายชราหลังค่อมพยักหน้าตอบรับไม่ได้คัดค้านแม้แต่น้อย
…
ในเวลาเดียวกัน ในห้องโถงของเรือสีดำขนาดยักษ์ หานลี่นั่งอยู่ด้านบนสุดมองไปยังม่านแสงสีขาวที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า
ในม่านแสงนั้น แผนที่คมชัดขนาดใหญ่กำลังแสดงออกมาให้เห็นอย่างเงียบอยู่กลางอากาศ
บนแผนที่นั้น ไม่เพียงแต่ทำเครื่องหมายภูเขาและทะเลสาบเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว ยังมีลำแสงกลมสีฟ้ากะพริบจางๆ อยู่หลายแห่งทั่วทุกมุมของแผนที่ไม่หยุด
“ผู้อาวุโสหาน แท่นบูชาที่อยู่ใกล้ๆ นี้ ตรวจสอบไปแล้วถึงเจ็ดแปดส่วน แท่นบูชาถัดไปน่าจะใช้เวลาอีกครึ่งเดือน แต่ว่าเมื่อมาถึงยังที่แห่งนี้หรือต่อให้เข้าไปยังเขตพลังรอบๆ สำนักกระดูกโลหิตของสำนักเซวี่ยเต้าแล้ว” เซวี่ยพั่วยืนอยู่ด้านข้างของม่านแสง ชี้ไปยังจุดกลมสีฟ้าที่กะพริบอยู่ แล้วเอ่ยอธิบายออกมา
“สำนักกระดูกโลหิต คือกลุ่มพลังที่เจ้าล่วงเกินเข้านะหรือ ดูเหมือนว่า หลังจากที่เข้ามาในพื้นที่แห่งนี้แล้ว พวกเราคงจะต้องคอยยับยั้งชั่งใจเอาไว้ให้ดี ถึงแม้ว่าข้าจะไม่กลัวต่อผู้ที่อยู่ในขั้นของมหายานอื่น แต่การต่อสู้ที่ไม่จำเป็นหากว่าหลีกเลี่ยงจะเป็นการดีที่สุด” หานลี่ผงกหัวออกมาเบาๆ
“ผู้อาวุโส มหายานด้านในของสำนักกระดูกโลหิตนั้น เกรงว่าคงจะมีมากกว่าห้าถึงหกคน และเป็นกองกำลังหลักในแผ่นดินใหญ่นภาสีเลือดแห่งนี้ ถึงแม้ว่าจำนวนของมหายานจะเทียบกับกองกำลังอื่นไม่ได้ แต่ว่าวรยุทธ์ของสำนักเซวี่ยเต้านี้แปลกประหลาดต่างไปจากที่อื่น เหมือนกับว่ามหายานแต่ละท่านล้วนแต่ไม่ใช่มหายานทั่วไปของสำนักอื่นจะเทียบได้ หากว่าการเดินทางในครั้งนี้ หากไม่ใช่ว่าถูกสำนักนี้ดึงดูดความสนใจเอาไว้แล้ว เกรงว่าเรือศักดิ์สิทธิ์วิญญาณน้ำหมึกนี้คงจะไม่อาจแล่นต่อไปได้อีก” เซวี่ยพั่วเอ่ยออกมาอย่างเคร่งขรึม