“เรือลำนี้ค่อนข้างที่จะเด่นชัดจริงๆ รอจนเข้าสู่กลุ่มพลังของสำนักกระดูกโลหิตแล้ว ก็เก็บมันไว้ เมื่อถึงเมืองเซวี่ยเฮ่อแล้ว เจ้าก็สามารถแยกตัวออกไปได้ชั่วคราว ไปตรวจสอบเบาะแสของกายเดิมเจ้า ถึงเวลานั้นข้าจะมอบหุ่นเชิดระดับผสานอินทรีย์ให้เจ้าไปสองตัวเผื่อไว้ป้องกันตน ขอเพียงแค่ไม่พบเข้ากับผู้ที่อยู่ในขั้นมหายานแล้ว ก็เพียงพอที่จะปกป้องไม่ให้เจ้าเกิดอะไรขึ้น” หลังจากที่หานลี่คิดอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้าแล้วเอ่ยออกมา
“ขอบคุณสำหรับของขวัญจากท่านผู้อาวุโส ข้าจะต้องตามหาเบาะแสที่เกี่ยวข้องให้พบโดยเร็ว” เซวี่ยพั่วได้ยินเข้าก็รู้สึกยินดี
“ข้ากับนักพรตเองก็นับว่ามีชะตาที่เหมือนกัน เรื่องเล็กเช่นนี้ไม่นับเป็นอะไร” หานลี่โบกมือออกไปแล้วเอ่ยออกมาอย่างไม่ใส่ใจ
…
หลังจากนั้นมากกว่าหนึ่งเดือน หานลี่และคนอื่นๆ ในที่สุดก็ได้เข้ามายังพื้นที่ควบคุมของสำนักกระดูกโลหิต
หลังจากที่พวกเขาเก็บเรือเหาะวิญญาณน้ำหมึกเอาไว้แล้ว ก็เปลี่ยนเป็นรถบินสีดำไม่สะดุดตาในทันที ด้านหน้านั้นใช้หุ่นเชิดหมาป่าบินได้หลายตัวคอยดึงลากเอาไว้ แล้วเดินทางต่อไปด้านหน้า
เส้นทางต่อไปด้านหน้านั้น ราบรื่นมาตลอดทาง
ผ่านไปอีกสองเดือนหลังจากนั้น หานลี่และคนที่เดินทางร่วมกันในที่สุดก็ปรากฏตัวเบื้องหน้าเมืองโลหิตแดงขนาดใหญ่
เมืองแห่งนี้ไม่เพียงแต่สร้างขึ้นมาอย่างพิเศษแล้ว รอบด้านของเมืองไม่เพียงแต่มีทะเลสาบสีฟ้าอ่อนแล้ว กำแพงเมืองที่อยู่ด้านหน้าของหานลี่และคนอื่นๆ ยังยื่นยาวออกมา กลายเป็นเหมือนเมืองเล็กๆ นอกเมืองใหญ่ที่มีไว้เสริมกำลังอย่างไรอย่างนั้น
บนกำแพงเมืองนั้น มีทหารยามที่สวมชุดเกราะสีโลหิตเดินลาดตระเวนไปมาอยู่อย่างไม่ค่อยตั้งใจนัก
ใกล้ๆ กันกับประตูเมือง ชนต่างเผ่าของแดนนภาสีเลือดต่างๆ พากับหลบหนีแสงที่สาดส่องลงมา และเมื่อมอบหินวิญญาณให้ทหารยามประจำประตูเมืองแล้ว ถึงได้เดินเข้าไปด้านใน
“ผู้อาวุโสหาน เมืองเซวี่ยเฮ่อเป็นหนึ่งในเมืองสำคัญของสำนักกระดูกโลหิตแล้ว เมืองแห่งนี้มีของวิเศษที่มีประโยชน์ต่อผู้ฝึกฝนระดับกลางสูงอยู่หลายชนิด ดังนั้นแล้วผู้ที่ประจำการอยู่ในสำนักกระดูกโลหิตตลอดปีต่างก็ไม่ใช่ผู้ที่มีพลังอ่อนแอ นอกจากนั้นแล้วยังมีมหายานผู้เฒ่าที่ซ่อนตัวอยู่ภายในเมืองนี้ตลอดปีอีกด้วย คนทั่วไปแล้วต่างก็ไม่กล้าก่อเรื่องขึ้นในเมืองแห่งนี้ นับว่าเป็นสถานที่ที่ค่อนข้างจะสงบสุขทีเดียว แต่ทว่าค่าใช้จ่ายในเมืองนี้เองก็แพงกว่าเมืองทั่วไปมากนัก หากว่าอยากจะอาศัยอยู่ในเมืองนี้นานๆ แล้ว ยังต้องจ่ายด้วยหินวิญญาณจำนวนหนึ่ง” บนรถบินได้นั้น เซวี่ยพั่วเอ่ยแนะนำเมืองขนาดใหญ่ตรงหน้านี้ให้หานลี่ฟังด้วยความเคารพ
“ระหว่างทางมานี้ ข้าเองก็พอได้พบกับลูกศิษย์ของสำนักกระดูกโลหิตมาบ้าง พลังยุทธ์นั้นไม่ต้องเอ่ยถึงแล้ว บนกายของลูกศิษย์แต่ละคนของสำนักนี้ ต่างก็มีพลังอันร้ายกาจเปล่งออกมา วิธีการฝึกวรยุทธ์เองก็ดูจะเกินกำลังกว่าปกติทั่วไป ไม่น่าแปลกที่ชื่อเสียงของสำนักนี้จึงได้จัดว่าสำนักหลักๆ ในแดนนภาสีเลือดแห่งนี้ และยังสามารถสร้างเมืองขนาดใหญ่โตเช่นนี้ออกมาได้โดยง่ายอีก อีกทั้งเมืองเซวี่ยเฮ่อนี้เองยังตั้งอยู่ท่ามกลางภูเขาขนาดใหญ่หลายแห่ง นับว่าว่าเป็นเส้นทางการสัญจรหลักๆ คาดว่าภายในเมืองแห่งนี้คงจะมีคนต่างถิ่นอยู่ไม่น้อย” หานลี่ใช้จิตสัมผัสมองดูไปรอบๆ บริเวณของเมืองเซวี่ยเฮ่อโดยประมาณมาแต่ต้นแล้ว จึงได้เอ่ยออกมาอย่างที่คิดเอาไว้
“ผู้อาวุโสปราดเปรื่องยิ่งนัก หากว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากนัก เมืองแห่งนี้ก็คงจะมีผู้ฝึกฝนจากต่างถิ่นเป็นหลัก แต่ว่าอย่างไรแล้วกิจการโดยมากแล้วจะเป็นของสำนักกระดูกโลหิตเสียส่วนใหญ่ ถ้าหากว่าผู้มีความสามารถอื่นต้องการที่เปิดกิจการในเมืองแห่งนี้แล้ว ล้วนแต่มีกลุ่มพลังอันยิ่งใหญ่สนับสนุนอยู่เบื้องหลังด้วยกันทั้งสิ้น เมืองแห่งนี้มักจะมีผู้ที่มีตัวตนอันแปลกประหลาดปรากฏขึ้นเสมอ พวกเขาหลบซ่อนตัวอยู่ในเมืองนี้ตลอดทั้งปี” เซวี่ยพั่วเอ่ยตอบกลับมาหลังจากที่ครุ่นคิดถึงเรื่องนี้
“เมืองนี้ช่างสมกับที่ถูกเรียกว่าผสมผสานกันระหว่างมังกรและงูจริงๆ สำนักกระดูกโลหิตไม่สนใจที่จะสอบถามถึงที่มาของเขาเหล่านี้ที่มาหลบซ่อนอยู่นั้นหรือ?” หานลี่ถามออกมาด้วยรอยยิ้ม
“เมืองเซวี่ยเฮ่อนับว่าเป็นเมืองใหญ่ในแดนนภาสีเลือดที่ค่อนข้างจะเป็นอิสระ เว้นเสียแต่ว่าจะมีผู้ใดก่อเรื่องใหญ่โตขึ้นในเมือง ส่งผลกระทบต่อผู้อื่น ไม่เช่นนั้นแล้วสำนักกระดูกโลหิตที่นอกจากจะเก็บรวบรวมหินวิญญาณตามเวลาแล้ว จะไม่มีทางที่สนใจเรื่องอื่นอีก อาจจะเป็นเพราะสาเหตุนี้ จึงทำให้เมืองนี้เจริญรุ่งเรืองได้เช่นนี้มาหลายปีแล้ว นอกจากนี้แล้ว ภายในเมืองยังมีสนามประลองขนาดใหญ่อยู่หลายแห่ง เหล่าผู้ที่มีความคับแค้นหรืออยากจะแก้แค้น ก็สามารถตรงมาที่แห่งนี้เพื่อประลองกันหรือตัดสินเป็นตายกันได้” เซวี่ยพั่วเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มขมขื่น
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี้เอง ข้าพอจะเข้าใจแล้วว่าเมืองเซวี่ยพั่วเป็นเช่นไรแล้ว นักพรตเซวี่ย เจ้ายังอยากจะเข้าเมืองไปพร้อมกันหรือไม่?” หลังจากที่หานลี่พยักหน้าอย่างครุ่นคิดแล้ว ก็เอ่ยถามกลับออกมาในทันที
“ชนรุ่นหลังคงจะไม่เข้าไปแล้ว! ตามที่กายเดิมทิ้งเบาะแสเอาไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว นางคงจะเข้าไปยังเทือกเขาวั่นเย่ว์ที่อยู่ด้านข้างแล้ว ข้าวางแผนว่าจะตรงไปยังเทือกเขาแห่งนี้เพื่อตามหาเบาะแสอื่น” เซวี่ยพั่วโค้งกายลงเล็กน้อย แล้วเอ่ยออกมาอย่างเคร่งขรึม
“ในเมื่อเจ้ามีแผนการเช่นนี้แล้ว เช่นนั้นก็เริ่มลงมือไปคนเดียวก่อน ช่วงระยะเวลานี้ ข้าเองก็จะตามหาแท่นบูชาโบราณอีกแห่งที่อยู่ใกล้ๆ กับเมืองนี้ ยันต์ถ่ายทอดเสียงแผ่นนี้ เจ้ารับมันเอาไว้ หากว่าพบอะไรเข้าหรือว่ามีปัญหาอะไร แค่จุดไฟลงบนยันต์แผ่นนี้ ข้าอยู่ทางนี้ก็สัมผัสได้ แล้วจะออกไปตามหาเจ้าในทันที” หานลี่พลิกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้น ทันใดนั้นแผ่นยันต์สีทองอ่อนก็ปรากฏขึ้น จากนั้นจึงโยนออกไป
“ขอบคุณท่านผู้อาวุโสเป็นอย่างมาก หากว่ามียันต์นี้อยู่ด้วยแล้ว ชนรุ่นหลังก็สบายใจขึ้น” ดวงตาทั้งคู่ของเซวี่ยพั่วเปล่งประกายออกมา แล้วรีบร้อนรับยันต์แผ่นนั้นเอาไว้ แล้วเอ่ยขอบคุณออกมา
ตามมาด้วยหญิงสาวคนนี้โค้งคำนับให้แก่หานลี่ แล้วจึงแปลงกายกลายเป็นลำแสงสายหนึ่งบินหายออกไปจากรถบิน
หานลี่อยู่บนรถบินนั้นตลอดจ้องมองจนลำแสงนั้นสลายหายไปจนมองไม่เห็นแล้ว จึงได้ใช้เท้าข้างหนึ่งแตะลงไปเบาๆ เพื่อกระตุ้นให้รถบินพุ่งทยานไปยังเมืองขนาดใหญ่นั้น
ตรงหน้าประตูเมือง มีชนต่างเผ่าของแดนนภาสีเลือดอยู่แล้วเจ็ดถึงแปดคน กำลังเข้าแถวกันมอบหินวิญญาณเพื่อเข้าไปภายในเมือง
แต่อย่างไรแล้วในช่วงเวลานี้นั้น เหล่าทหารยามต่างก็ถามคำถามง่ายๆ ออกมา เช่น ที่มาของคนเหล่านี้ วางแผนจะทำอะไรภายในเมืองเซวี่ยเฮ่อ ต้องการพักอยู่นานเท่าไหร่
ผู้คนจากแดนนภาสีเลือดที่ต้องการจะเข้าเมืองต่างก็พากันตอบออกไปตามตรง แต่ว่าที่เอ่ยออกมานั้นจะจริงหรือเท็จ มีเพียงแค่สวรรค์เท่านั้นที่รู้
แต่ทหารยามสำนักกระดูกโลหิตกลับไม่ได้สนใจในเรื่องนี้ นำข้อมูลเหล่านี้บันทึกลงไปคร่าวๆ จากนั้นก็นำป้ายเหล็กแจกให้กับทุกคน แล้วปล่อยพวกเขาเข้าไป
รอจนเมื่อถึงคราวของหานลี่ บรรพชนฮวาสือก็ก้าวเข้าไปด้านหน้าอย่างสงบ เมื่อเปล่งรัศมีของผู้ที่อยู่ในขั้นของผสานอินทรีย์บนกายออกมาแล้ว ก็ยกมือขึ้นแล้วนำเอาหินวิญญาณระดับกลางโยนออกไป ขณะเดียวกันก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“สามคน หินวิญญาณที่เหลือไม่ต้องทอน”
ทหารยามชุดเกราะนับสิบนายตรงหน้าประตู พลังยุทธ์สูงสุดก็มีเพียงแค่ระดับก่อกำเนิดเท่านั้น หลังจากที่ถูกบรรพชนฮวาสือใช้พลังวิญญาณกดข่มเอาไว้ รู้สึกหายใจติดขัด ถูกบีบบังคับให้ก้าวถอยออกไปหลายก้าว ใบหน้าค่อยๆ เปลี่ยนเป็นท่าทางตกใจ
หัวหน้าทหารยามหลังจากที่ได้รับหินวิญญาณระดับกลางแล้ว ไหนเลยจะยังกล้าเอ่ยซักถามออกมาแม้แต่ครึ่งคำ รีบหยิบป้ายเหล็กสามแผ่นออกมามอบให้แก่พวกของหานลี่ทั้งสามคน จากนั้นก็ถอยออกไปยืนด้านข้างอย่างเคารพ
พวกของหานลี่ทั้งสามเดินเข้าเมืองไปด้วยท่าทางใหญ่โต
“พลังที่แข็งแกร่งเช่นนี้ คงจะเป็นผู้อาวุโสระดับผสานอินทรีย์อย่างไม่ต้องสงสัย แปลกจริงๆ รวมเข้ากับคนผู้นี้ด้วย เดือนนี้ผู้ที่อยู่ในระดับผสานอินทรีย์เข้าเมืองมาเกือบสามสิบคนแล้ว” หัวหน้าทหารยามรอจนพวกของหานลี่ทั้งสามคนเดินออกไปไกลแล้ว จึงได้ถอนลมหายใจยาวออกมา เช็ดเหงื่อเย็นบนหน้าผากแล้วเอ่ยออกมา
“ค่อนข้างแปลกจริงๆ และดูเหมือนว่าผู้ที่อยู่ในขั้นผสานอินทรีย์นี้มีแต่เข้าไปไม่ออกมา หรือว่าในเมืองช่วงนี้จะมีเหตุการณ์อะไรสำคัญอะไรเกิดขึ้น?” ด้านข้างมีผู้เอ่ยถามออกมาอย่างสงสัย
“ไม่มีทาง พวกเจ้าไม่รู้สึกหรือว่า ช่วงไม่กี่เดือนมานี้เบื้องบนของพวกเราเองก็มีคนหน้าใหม่เกิดขึ้นมากมาย คนเหล่านี้หยิ่งผยองยิ่งนัก ดูเหมือนว่าแต่ละคนจะมีภูมิหลังอยู่อย่างไรอย่างนั้น ไม่เหมือนกับลูกศิษย์ในสำนักเรา” และก็มีบางคนพึมพำเสียงต่ำออกมา
“พอแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้กันอีก ไม่ว่าในเมืองจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเราที่เป็นลูกศิษย์นอกสำนักระดับกลางระดับล่าง พวกเราเพียงแต่รักษาประตูเมืองเอาไว้ให้ดีก็พอแล้ว หรือว่าลืมกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดของสำนักเราไปเสียแล้ว” เมื่อหัวหน้าทหารยามได้ยินแล้วก็เอ่ยออกมาด้วยความเคร่งขรึมทันที
คนอื่นเมื่อได้ยินคำว่า “กฎเกณฑ์” ทั้งสองคำนี้แล้ว ต่างก็พากันตัวสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว รีบร้อนหุบปากลง แล้วก็ยืนตัวตรงอยู่ในตำแหน่งเดิมอีกครั้ง ไม่กล้าที่จะพูดคุยกันอีก
ในตอนนี้ หลังจากที่หานลี่และคนอื่นเข้ามาภายในเมืองเล็กนอกเมืองใหญ่แล้ว
นอกจากถนนสายยาว และแผงลอยมากมายทั้งสองข้างทางแล้ว ที่แห่งนี้ก็ไม่มีสิ่งปลูกสร้างอื่นใดอีก
ผู้คนมากมายที่เพิ่งจะเข้าเมืองมาเมื่อครู่นี้ต่างก็หยุดยืนอยู่ด้านหน้าของแผงลอยเหล่านี้ หรือไม่ก็หยิบเอาสินค้าบนแผงลอยขึ้นมาตรวจดูอย่างละเอียด หรือไม่ก็ตรงไปต่อรองราคากับเจ้าของแผงค้า
หานลี่ใช้จิตสัมผัสกวาดดูของเหล่านี้บนแผงลอย มองจนชัดเจนว่าของที่วางอยู่บนนั้นถึงแม้ว่าจะดูอุดมสมบูรณ์เป็นอย่างมาก แต่ส่วนใหญ่แล้วคุณภาพไม่สูงนัก ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าสำหรับเขาแล้ว ต่อให้สำหรับบรรพชนฮวาสือที่อยู่ในขั้นของผสานอินทรีย์เองก็ไม่ได้มีประโยชน์มากนัก
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว แน่นอนว่าคงจะไม่หยุดอยู่ตรงนี้ จากนั้นก็เดินมาจนสุดขอบถนนอย่างรวดเร็ว แล้วออกจากเมืองเล็กๆ นี้ไป
ภาพเบื้องหน้านั้นสว่างขึ้นมา!
จัตุรัสขนาดใหญ่เชื่อมต่อกันทั่วทุกทิศทางปรากฏอยู่เบื้องหน้า ครอบคลุมพื้นที่มากกว่าหมื่นไร่ ร้านค้าทางการมากมายกระจายอยู่ทั่วทั้งจัตุรัส
และมองดูจากป้ายที่แขวนอยู่ด้านนอกของร้านค้าแล้ว แสดงให้เห็นว่าวัสดุ สัตว์อสูรอาวุธวิเศษและของอื่นๆ ทั้งหมดดูสมบูรณ์พร้อม
บรรพชนฮวาสือและจูกั่วเอ๋อร์เมื่อเห็นฉากนี้เข้า ดวงตาทั้งสองก็สว่างวาบขึ้น
“ภายในไม่กี่วันนี้ พวกเจ้าก็ตามสบายกันเถอะ หลังจากนี้อีกสามวัน ค่อยกลับมารวมตัวกันที่นี้” หานลี่เอ่ยสั่งออกมาด้วยรอยยิ้มจางๆ
ครึ่งปีมานี้ เพื่อเร่งเดินทางออกตามหาแท่นบูชาโบราณแล้ว ไม่เคยแม้แต่จะเข้าไปยังในเมืองอื่นเลย
ในเมื่อพวกเขาอาศัยอยู่ในแผ่นดินอื่น ร้านค้าบนแผ่นดินใหญ่แห่งนี้แน่นอนว่าจะต้องมีวัสดุหรือสมบัติวิเศษที่หาได้ยากในแผ่นดินเดิมแน่ และแน่นอนว่าจำต้องให้โอกาสทั้งสองคนได้เลือกซื้อหาสิ่งของ
“เจ้าค่ะ ท่านอาจารย์”
“ขอบคุณท่านผู้อาวุโสเป็นอย่างยิ่ง”
บรรพชนฮวาสือและจูกั่วเอ๋อร์เมื่อได้ยินแล้ว แน่นอนว่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง หลังจากที่โค้งกายคำนับให้แก่หานลี่แล้ว ก็รีบร้อนไปยังร้านค้าที่อยู่ทางด้านของจัตุรัส
ระยะเวลาสามวัน ถึงแม้ว่าอาจจะไม่เพียงพอให้พวกเขาได้เดินจนทั่วทุกร้าน แต่ดูจนพอถึงเจ็ดแปดส่วนแล้ว
ในขณะที่หานลี่เหมือนจะรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง รีบเงยหน้าขึ้นทันทีโดยที่ไม่รู้ตัว แล้วเหลือบตามองไปยังบนท้องฟ้า
พบเพียงแค่บนฟ้าเหนือเมืองขนาดใหญ่นี้เริ่มที่จะมืดครึ้มแล้ว และด้วยข้อจำกัดในการมองเห็นเช่นนี้ จึงเห็นได้เพียงแค่พระจันทร์พร่ามัวปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า ส่วนพื้นที่ข้างๆ นั้นเป็นสีแดงสด
เชื่อว่าหลังจากนี้อีกไม่นาน ทั่วทั้งแผ่นฟ้าก็คงจะกลายเป็นคืนสีโลหิตที่แท้จริง
และด้วยเหตุผลบางอย่างที่ไม่ทราบสาเหตุ แผ่นดินใหญ่นภาสีเลือดในช่วงกลางวัน ภาพทิวทัศน์บนท้องฟ้านั้นเหมือนกันกับแผ่นดินใหญ่เทียนหยวนแผ่นดินใหญ่อัสนี้อย่างไรอย่างนั้น แต่เมื่อถึงเวลากลางคืน กลับกลายเป็นสีแดงเลือดอย่างแปลกประหลาด
และนี้เองก็เป็นที่มาของชื่อแผ่นดินใหญ่นภาสีเลือด
และในเวลานี้ หานลี่กลับไม่ได้มองไปพระจันทร์เสี้ยวสีแดงสดที่เหมือนว่าจะมีภาพแตกต่างออกไป แต่กลับมองไปยังพื้นที่ว่างเปล่าที่ไหนสักแห่งบนจัตุรสแห่งนี้ หลังนั้นเพียงครู่ จึงได้ก้มหน้าลงอย่างไร้ซึ่งความรู้สึก แล้วเดินตรงไปยังถนนที่เชื่อมต่อกันบนจัตุรัส
“ผู้อยู่ในขั้นของมหายาน ในที่สุดแล้วก็ทำให้เจ้าหนุ่มนี้ตื่นตระหนกขึ้นมาได้ แต่ว่าเบื้องหลังของคนผู้นี้มีที่มาอย่างไรนั้น ใบหน้ากับดูไม่คุ้นเคยเสียเลย? ดูเหมือนว่า เมื่อครู่นี้เขาเองก็คงจะพบข้าเข้าแล้ว” ในพื้นที่ว่างเปล่าที่หานลี่เพิ่งจะมองดูไปนั้น ชายผู้สวมหน้ากากที่แอบซ่อนร่างกายเอาไว้ ขมวดคิ้วขึ้นเอ่ยพึมพำออกมา