“ช่างมันเถอะ ไม่ว่าจะมีที่มาอย่างไร ในเมื่อมีผู้อยู่ในขั้นของมหายานปรากฏตัวขึ้นมาแล้ว ดูเหมือนว่าเรื่องนั้นก็คงจะปิดบังเอาไว้ไม่ได้จริงๆ แล้ว คงทำได้เพียงแค่ปล่อยมันไป แล้วยืมพลังของพวกเขามาเดิมพันดูว่าจะพอเป็นไปได้หรือไม่ เช่นนี้คงจะดีกว่าพลาดเวลาเริ่มต้นไปแล้วแต่ยังไม่ได้อะไรเลย” ชายผู้สวมหน้ากากหลังจากแววตากะพริบวาบไปมาอยู่สองสามครั้ง ในที่สุดก็ได้ตัดสินใจออกมา ร่างกายก็บิดเบี้ยวไปมาแล้วหายวับตรงเข้าไปกลางอากาศจนมองไม่เห็น
ในเวลานี้ หานลี่ได้เดินไปตามถนนเส้นหนึ่ง เดินเข้าออกไปดูวัสดุที่จะเตรียมเอาไว้ใช้ตามร้านค้าขนาดใหญ่อยู่หลายแห่ง แต่ว่าเขาก็ไม่ได้ซื้อสิ่งใดออกมา แต่กลับตรงไปยังสถานที่ที่ดูเหมือนว่าจะเป็นที่พัก เช่าเรือนพักผ่อนเดี่ยวเรือนหนึ่ง แล้วจึงได้นั่งทำสมาธิฝึกฝนไม่ได้ออกไปที่ใดอีก
สามวันต่อมา หานลี่กลับไปยังจัตุรัสแห่งนั้นด้วยสีหน้าที่ดูแปลกประหลาด มองหาจนพบกับบรรพชนฮวาสือและจูกั่วเอ๋อร์ทั้งสองคนที่ยืนรออยู่ ณ ที่แห่งนั้นแต่เนิ่นนานแล้ว แล้วนำพวกเขากลับมายังที่พัก
จากนั้นหานลี่ก็บอกแก่ทั้งสองคนว่า จู่ๆ ตนก็ได้เคล็ดวิชาลับบางอย่างมา ดังนั้นเรื่องของแท่นบูชาโบราณนั้นให้พักเอาไว้ก่อน เพราะว่าเขาจะต้องกักตนชั่วระยะเวลาหนึ่ง และก็ให้ทั้งสองคนตั้งใจฝึกฝนอยู่ที่นี่ อย่าได้ออกไปไหนโดยง่าย
บรรพชนฮวาสือและจูกั่วเอ๋อร์เมื่อได้ยินแล้ว แน่นอนว่าพยักหน้ากล่าวรับคำออกมา
ดังนั้นหลายเดือนถัดมา ทั้งสามคนจึงไม่ได้ก้าวออกจากที่พักแม้เพียงครึ่งก้าว ต่างก็ปิดประตูฝึกฝน
ในวันหนึ่งหลังจากนั้นเดือนกว่าๆ หานลี่ที่นั่งทำสมาธิอยู่ภายในห้อง ดวงตาทั้งสองข้างจู่ๆ ก็เปิดขึ้น ราวกับว่ารู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง ตามมาด้วยสีหน้าที่ดูมืดมนลง ผิวกายชั่วขณะนั้นก็เปล่งลำแสงสีทองออกมา จากนั้นก็แปลงกายเป็นสายรุ้งสีทองพุ่งออกจากห้องไป
เกือบจะในเวลาเดียวกัน เสียง “ปัง” ดังกึกก้องสะเทือนฟ้าดินดังขึ้นมา
ลูกบอลลำแสงขนาดใหญ่ที่ถูกแสงแดดแผดเผาก็ระเบิดขึ้นเหนือที่พัก กวัดแกว่งออกเป็นวงแหวนกระแทกออกไป เมื่อพัดผ่านออกไปที่ใด อาคารสิ่งก่อสร้างต่างก็ทยอยพังทลายลงมา ผู้คนในแดนนภาสีเลือดบางส่วนที่ได้รับผลกระทบเองก็พากันระเบิดออกเป็นละอองเลือด
มีเพียงแค่ผู้ที่พลังยุทธ์สูงหรือปล่อยสมบัติวิเศษออกมาปกป้องกายได้ทันเวลาจำนวนน้อยเท่านั้นที่สามารถหนีออกมาจากบริเวณที่ได้รับการกระแทกนั้นได้ทันเวลา แล้วรีบแหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้านั้นด้วยความโกรธโมโห
บรรพชนฮวาสือและจูกั่วเอ๋อร์เองแน่นอนว่าก็รวมอยู่ในนั้นด้วย
และถึงแม้ว่าจะเป็นเขตต้องห้ามทางอากาศที่ทำให้ทุกคนไม่อาจเข้าไปมองดูใกล้ๆ ได้ แต่ว่าระยะห่างเพียงแค่เท่านี้ก็ยังมองสถานการณ์กลางอากาศนั้นได้อย่างชัดเจนโดยที่ไม่มีปัญหาแม้แต่น้อย
เห็นเพียงแค่ตรงที่ถูกแสงแดดแผดเผาจนระเบิดออกมานั้น ปรากฏร่างของคนสองคนกำลังเผชิญหน้ากันอยู่กลางอากาศ
เป็นชายหนุ่มคนหนึ่งสวมชุดคลุมของลัทธิเต๋า อีกคนหนึ่งกลับเป็นหญิงชราผมขาวทั่วทั้งใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น ทั้งสองคนนั้นต่างก็แผ่ไอลมหายใจอันน่าหวาดกลัวออกมา
แสดงให้เห็นว่าความเคลื่อนไหวเมื่อครู่นี้ ก็เป็นเพราะทั้งสองท่านนี้
“บรรพชนมหายาน เป็นบรรพชนมหายาน ไม่เช่นนั้นแล้วเขตต้องห้ามทางอากาศของเมืองเซวี่ยเฮ่อที่ร้ายกาจถึงเพียงนี้ แม้แต่ผู้ที่อยู่ในขั้นของผสานอินทรีย์ยังไม่อาจทยานตัวขึ้นไปสูงนัก” ในตอนนั้นมีใครบางคนส่งเสียงร้องออกมาทันที
ผู้รอดชีวิตด้านล่างที่แต่เดิมเต็มไปด้วยความกรุ่นโกรธเมื่อเห็นเหตุการณ์นี้เข้าต่างก็พากันอดที่จะหายใจไม่ออกออกมา และหลังจากที่มองสบตากันอยู่หลายคราวแล้ว ต่างก็แยกย้ายกันไปโดยที่ไม่หันหลังกลับมา
ล้อเล่นกันแล้ว ในเมื่อบรรพชนมหายานทั้งสองกำลังต่อสู้กันอยู่ หากว่าพวกเขายังรั้งรออยู่ที่นี่ ไม่ใช่ว่ารนหาที่ตายอย่างนั้นหรือ
ส่วนเรื่องที่จะเอ่ยถึงเรื่องนี้ แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่แม้แต่คิดก็ไม่กล้าจะคิด
แต่ว่าเมืองเซวี่ยเฮ่อจู่ๆ ก็ปรากฏบรรพชนมหายานสองท่านขึ้น นี้ก็เพียงพอให้ทั่วทั้งเมืองสั่นไหวแล้ว
บรรพชนฮวาสือและจูกั่วเอ๋อร์ยังไม่ทันได้เห็นกายของหานลี่ ถึงแม้ว่าจะแปลกใจอยู่เล็กน้อย แต่ก็ไม่รู้สึกเป็นกังวลอะไร เพียงแต่ยืนสงบนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ได้เคลื่อนไหวไปที่ใด
ในเวลานี้ กลางอากาศสูงทันใดนั้นก็มีน้ำเสียงเย็นชาของชายหนุ่มดังขึ้น
“นักพรตทั้งสองท่านวิธีการยอดเยี่ยมยิ่งนัก ถึงกล้าลงมือใหญ่โตเช่นนี้โดยที่ไม่กังวลอะไร หรือว่าไม่เห็นสำนักกระดูกโลหิตอยู่ในสายตาแล้วอย่างนั้นหรือ”
เคลื่อนไหวขึ้นมาเบาๆ
ที่ว่างระหว่างนักพรตหนุ่มและหญิงชราจู่ๆ ก็ปรากฏลำแสงสีขาวขึ้น ชายหนุ่มใบหน้าสวมหน้ากากสีขาวปรากฏกายขึ้นมาโดยที่ไม่มีเสียง
หน้ากากนั้นขาวซีดจนดูผิดปกติ มีลวดลายวิญญาณสีเงินอ่อนประทับอยู่ นอกจากว่าดวงตาสีดำคู่หนึ่งของผู้สวมใส่โผล่ขึ้นมาแล้ว ก็ไม่มีส่วนใดของใบหน้าได้เล็ดลอดออกมาอีก
“เซียวหมิง ในที่สุดเจ้าก็โผล่ออกมาแล้ว ก่อนหน้านั้นก็ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดที่คอยหลบซ่อนไม่ยอมพบหน้าพวกเราสองคน หืม หากว่ายังไม่ยอมปรากฏกายขึ้นอีก เชื่อหรือไม่ว่าผู้ชราจะทำลายเมืองนี้ให้ราบไปจนหมด” หญิงชราส่งเสียงฮึมฮัม กรอกตาแล้วเอ่ยออกมา
“นักพรตเซียวอย่าได้กล่าวโทษเลย ข้าและฮูหยินวั่นฮวาไม่มีทางเลือกแล้ว จึงทำเช่นนี้ออกมา ยังดีที่ก่อนหน้านั้นพวกเราสองคนจงใจที่ควบคุมขอบเขตเอาไว้ จึงไม่ได้สร้างความเสียหายให้แก่เมืองของท่านมากนัก” นักพรตหนุ่มเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยความขอโทษ ทำให้ผู้คนรู้สึกได้สายลมของฤดูใบไม้ผลิ
“ไม่ได้สร้างความเสียหายมากนัก บริเวณนี้มีคนอาศัยอยู่เกือบพันคน และที่สามารถหลบหนีออกไปได้ทันมีเพียงไม่กี่สิบคนเท่านั้น และที่สำคัญก็คือ เมืองของข้าตั้งแต่ที่มีผู้แซ่เซียวเป็นผู้แลแล้ว ร้อยปีมาแล้วที่ไม่มีผู้ใดที่กล้าลงในเมืองนี้มาก่อน หากว่าวันนี้นักพรตทั้งสองท่านไม่มอบคำอธิบายให้แล้วละก็ อย่าได้หวังว่าผู้แซ่เซียวจะปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ” ชายผู้สวมหน้ากากเอ่ยตอบกลับด้วยความเย็นชา
“เจ้าอสูรเฒ่าเซียว เจ้าต้องการคำอธิบายอะไรกัน? มีเพียงแค่ผู้ที่อยู่ระดับล่างนับพันเท่านั้นที่ตายไป นี้นับเป็นเรื่องใหญ่อะไรกัน หรือว่านักพรตเซียวมีความคิดอื่นกัน หรือว่าต้องการขยายอำนาจมายังขอบเขตของหญิงชรา” แววตาของหญิงชราเปล่งประกายแปลกๆ ออกมา แล้วเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความดุร้าย
หลังจากที่นักพรตหนุ่มยืนฟังอยู่ด้านข้างแล้ว คิ้วก็ขมวดขึ้น แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
“ข้ารู้ว่าพวกท่านทั้งสองมาตามหาข้าที่เมืองเซวี่ยเฮ่อนี้เพราะอะไร หากว่าต้องการพูดคุยถึงเรื่องนี้แล้วละก็ อีกครู่ฮูหยินวั่นฮวาและข้าไปสนามประลองด้วยกันเป็นอย่างไร ขอเพียงแค่นักพรตสามารถรับกระบวนท่าข้าได้สามกระบวนท่า ไม่ว่าผลจะเป็นเช่นไร เรื่องเมื่อครู่นี้ก็นับว่าได้เปิดเผยออกมาแล้ว” ชายผู้สวมหน้ากากเอ่ยออกมาเบาๆ
“สามกระบวนท่า? ไม่มีปัญหา ต่อให้เป็นสามสิบกระบวนท่า สามร้อยกระบวนท่า หญิงชราเองก็รับได้ทั้งหมด” หญิงชราเอ่ยตอบกลับด้วยเสียงหัวเราะอันบ้าคลั่ง
“ดี นักพรตตอบตกลงก็พอแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ผู้แซ่เซียวก็นับว่ามีคำอธิบายแก่ทุกคนแล้ว ใช่แล้ว ข้ายังลืมอีกเรื่องหนึ่งไปแล้ว ทั้งสองท่านไม่ใช่นักพรตระดับมหายานคนแรกที่มายังเมืองเซวี่ยเฮ่อ ยังมีคนที่เร็วกว่าทั้งสองท่านอยู่ก้าวหนึ่ง” หลังจากที่ชายผู้สวมหน้ากากพยักหน้าออกมาแล้ว ก็เอ่ยออกมาอีกประโยคที่ทำให้หญิงชรารู้สึกตกตะลึง
“มีคนมาตามหาพี่เซียวเร็วกว่าพวกเราอีกหรือ เป็นนักพรตท่านไหนที่มีข่าวกว้างขวาง มาอย่างรวดเร็ว” นักพรตหนุ่มสีหน้าเปลี่ยนไป ถอนหายใจออกมาแล้วเอ่ยถาม
“นักพรตท่านแอบอยู่ด้านข้างนานแล้ว ทำไมถึงไม่ออกมาพบหน้ากับพวกเราทั้งหลายเล่า” ชายผู้สวมหน้ากากไม่ได้สนใจในคำพูดของนักพรตหนุ่ม แต่กลับหันหลังไป เอ่ยออกมากับกลางอากาศด้านข้างแทน
“เอ๋ นักพรตท่านสมกับที่เป็นยอดฝีมือ ถึงกลับสามารถมองเห็นข้าน้อยที่หลบซ่อนอยู่ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ข้าน้อยเองก็ออกมาพบกับพวกท่านทั้งหลายแล้ว” เสียงกระซิบดังออกมาจากที่แห่งนั้นในทันที ตามมาด้วยลำแสงสีฟ้าอ่อนวาบขึ้น ชายหนุ่มชุดคลุมสีฟ้าใบหน้าธรรมดาปรากฏออกมา มองมาที่ทั้งสามคนเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้มออกมา
“ที่แท้ก็เป็นนายท่านนั่นเอง สามารถมองเห็นวิธีการที่นักพรตหลบซ่อนอยู่นั้นไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร เขตต้องห้ามของทั่วทั้งเมืองนี้เป็นข้าน้อยที่กำหนดขึ้นมาด้วยตนเอง ผู้ใดต้องการแสดงอิทธิฤทธิ์ต่อหน้าผู้แซ่เซียวแล้ว ต่างก็ไม่มีผลลัพท์อะไรมากนัก” หลังจากที่เซียวหมิงจ้องมองไปยังหานลี่แล้ว หัวเราะเบาๆแล้วเอ่ยออกมา
“ที่แท้ท่านนักพรตยังเป็นปรมาจารย์แห่งเขตอาคมอีกด้วย นี้ก็แปลกเกินไปแล้ว แต่ว่าในเมื่อนักพรตเซียวเรียกข้าน้อยออกมา เพราะเรื่องอะไรกัน?” หานลี่พยักหน้าแล้วเผยสีหน้าแปลกๆ ออกมา
“ข้าชื่นชมอุปนิสัยของนักพรตยิ่งนัก! ทั้งๆ ที่รู้ว่าใกล้ถึงเวลาเปิดของสิ่งนั้นแล้ว เมื่อเข้ามายังเมืองเซวี่ยเฮ่อแล้วกลับไม่ได้มาหาข้า ยังคงรออยู่ที่นี้อย่างสงบนานถึงเพียงนี้ แม้กระทั่งก้าวออกจากประตูใหญ่ก็ยังไม่ออกมาแม้แต่ก้าวเดียว ถ้าหากว่าเป็นวั่นฮวาและนักพรตชิงผิงไม่มาแล้วละก็ เกรงว่านักพรตท่านก็ยังคงจะรอต่อไปสินะ แต่ข้าก็ไม่คาดคิดว่าสถานที่ที่นักพรตชิงผิงทั้งสองลงมือนั้น เป็นถนนที่นักพรตเลือกเข้าพอดี นี้นับว่าเป็นเรื่องบังเอิญได้หรือไม่” เซียวหลิงเอ่ยออกมาอย่างเย้ยหยัน
“ตัวข้าและนักพรตวั่นฮวาไม่รู้ว่าถนนสายนี้ยังมีนักพรตระดับเดียวกันอาศัยอยู่ เพียงแต่ว่าก่อนหน้านั้นใช้จิตสัมผัสกวาดดูโดยประมาณเท่านั้น และรู้สึกว่าประชากรที่นี้เบาบางที่สุด จึงได้ลงมือกันที่นี้ นักพรตท่านนี้ช่างมีวิธีการที่ดีนัก ถึงกลับสามารถทำให้พลังยุทธ์อยู่ในแค่ระดับกลางระดับต่ำได้ แม้แต่ข้าก็ไม่ได้พบความแปลกประหลาดแม้แต่น้อย แต่ว่าใบหน้าของนักพรตดูไม่คุ้นเคยเสียเลย ขอถามว่าท่านมีนามว่าอย่างไรกัน” นักพรตหนุ่มจ้องมองยังหานลี่จากบนลงล่าง แล้วสบตากันกับหญิงชรา จึงได้เอ่ยถามออกมาด้วยใบหน้าแต้มรอยยิ้ม
“ข้าน้อยแซ่หาน ส่วนเรื่องที่รู้สึกว่าข้าน้อยมีใบหน้าไม่คุ้นเคยนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ข้าแต่เดิมนั้นก็ไม่ใช่คนของแผ่นดินใหญ่นภาสีเลือด ครั้งนี้เพียงแค่เดินทางผ่านแผ่นดินของท่านเท่านั้น และก็ไม่ได้สนใจเรื่องราวของพวกท่านแม้แต่น้อย แต่ว่าหากเมื่อครู่นั้นไม่ใช่ผู้แซ่หานที่หลบได้รวดเร็วแล้ว เกรงว่าก็คงจะเป็นที่ขบขันแล้วนักพรตทั้งสองท่านเองก็คงต้องให้คำอธิบายแก่ข้าน้อยบ้าง” หานลี่เอ่ยตอบกลับไปอย่างราบเรียบ แล้วจ้องมองไปยังนักพรตทั้งสองด้วยสายตาแรงกล้า
เซียวหมิงเมื่อพบเข้ากับเหตุการณ์นี้ก็ตกตะลึง แต่หลังจากที่มองไปยังนักพรตชิงผิงทั้งสองแล้ว ก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย แววตาปรากฏท่าทางว่ามีเรื่องน่าชมออกมาแล้ว
นักพรตชิงผิงขมวดคิ้วขึ้น มองไปยังหานลี่ ราวกับว่าจะดูให้แน่ใจว่าสิ่งที่เขาเพิ่งเอ่ยออกมานั้นออกมาจากใจจริงหรือไม่ แล้วจึงตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม
“ที่แท้ก็เป็นพี่หานนักพรตจากแผ่นดินใหญ่อื่น ก่อนหน้านั้นพวกเราทั้งสองลงมือไปโดยประมาทเกินไป แต่ว่าพี่หานวางแผนจะขอคำอธิบายเช่นไรกัน หรือว่าวางแผนจะเลียนแบบอย่างพี่เซียวหรือ ต้องการให้ข้ารับสามกระบวนท่าเช่นกันอย่างนั้นหรือ”
“ไม่จำเป็นต้องใช้ถึงสามกระบวนท่า ขอเพียงแค่นายท่านและนักพรตวั่นฮวารับกันคนละกระบวนท่าก็พอแล้ว” หานลี่เอ่ยออกมาโดยที่ใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ออกมา
“กระบวนท่าเดียว! ตกลง พวกเราทั้งสองจะรับไว้ ผู้ชราเองก็อยากจะรู้ว่าอิทธิฤทธิ์ของแผ่นดินใหญ่อื่นจะมีมากถึงเพียงใด ถึงได้กล้าใช้น้ำเสียงโอหังเช่นนี้” หญิงชราที่ดูเหมือนว่าจะอารมณ์รุนแรง เมื่อได้ยินคำของหานลี่แล้ว ก็ตอบตกลงมาในทันทีด้วยความกรุ่นโกรธ
นักพรตชิงผิงเองเมื่อได้ยินเข้าก็ยิ้มขมขื่นออกมา แล้วเอ่ยถามหานลี่ออกมาอีกครั้ง
“นักพรตหานเพียงแค่ผ่านมายังเมืองนี้ แต่ไม่ได้มาเพราะสมบัติวิเศษที่เล่าลือกันอย่างนั้นหรือ?”
“ผู้แซ่หานไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ‘สมบัติวิเศษที่เล่าลือ’ กันนั้นหมายถึงอะไรกัน แล้วจะมายังที่แห่งนี้เพื่อสิ่งนี้ได้อย่างไรกัน นักพรตทั้งหลายวางใจได้ ข้าน้อยมีเรื่องสำคัญที่ต้องให้สะสาง ขอเพียงแค่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องของข้า ข้าเองก็ไม่มีทางสร้างอุปสรรคใดให้แก่ทุกท่าน” หานลี่ดูเหมือนว่าจะมองออกถึงความคิดในใจของนักพรตชิงผิง จึงได้เอ่ยออกมาอย่างใจเย็น
นักพรตชิงผิงเมื่อได้ยินเข้าก็รู้สึกยินดี
ฮูหยินวั่นฮวาได้ยินแล้ว สีหน้าเองก็ค่อยๆ อ่อนลง
เซียวหลิงที่อยู่ด้านข้าง แต่แววตากลับกะพริบเล็กน้อย แล้วก็เอ่ยออกมาอย่างสงบในทันที
“ไม่ว่านักพรตหานจะมาเพราะเรื่องนี้จริงหรือไม่ ข้าน้อยในฐานะเจ้าเมืองนี้ แน่นอนว่าจะต้องต้อนรับทุกท่านนี้เป็นอย่างดี อีกครู่เมื่อจบการประลองลงแล้ว ทุกท่านจะต้องมายังถ้ำพำนักของข้าเพื่อฉลองกันสักเล็กน้อย”