“ข้าสังหารรังวิญญาณ แต่ประวัติความเป็นมาของที่แท้จริงของสิ่งที่สิงอยู่ พวกเจ้ารู้อะไรบ้าง” หานลี่มีสีหน้าราบเรียบ ไม่ได้ตอบคำถามของบุรุษแซ่กุย แต่ถามย้อนกลับแทน
เมื่อได้ยินหานลี่เอ่ยเช่นนี้ บุรุษแซ่กุยและเซียนเซียน พลันหน้าเปลี่ยนสี อดที่จะมองสบตากันแวบหนึ่งไม่ได้
“พี่หานมีจุดสงสัยตรงไหนหรือ? ลองพูดมาสิ!” หลังจากที่เซียนเซียน เงียบขรึมไปเล็กน้อยถึงได้เอ่ยอย่างแช่มช้า
“ไม่มีอะไร แค่ก่อนตายเจ้านั่นเรียกตัวเองว่าเป็นร่างแยกของราชามารเหนือฟ้า สำหรับเรื่องนี้ไม่ทราบว่าสหายทั้งสองคิดเห็นอย่างไร?” หานลี่เผยท่าทางคลุมเครือออกมา
“ราชามารเหนือฟ้า!”
“เป็นไปไม่ได้!”
ครั้งนี้เซียนเซียน และบุรุษแซ่กุยแทบจะร้องอุทานออกมาพร้อมกัน และยิ่งไปกว่านั้นยังเผยสีหน้าตกตะลึงระคนหวาดกลัวออกมา
“อ๋อ ราชามารเหนือฟ้าข้าเพิ่งเคยได้ยินครั้งแรก แต่ดูแล้วสหายทั้งสองกลับดูเข้าใจเป็นอย่างดี ไม่ทราบว่าจะอธิบายให้ผู้แซ่หานฟังได้หรือไม่” หานลี่พลันขมวดคิ้ว สายตามองปราดไปที่ทั้งสอง
บุรุษแซ่กุยแค่นเสียงหึด้วยความเย็นชา สีหน้าเคร่งขรึมสลับกับสดใส ดูเหมือนว่าจะไม่สนใจต่อปากต่อคำอะไร
และหลังจากที่หญิงสาวเผ่าผลึกลังเลเล็กน้อย ปากบางถึงได้เผยอขึ้นพลางเอ่ยว่า
“พี่หานน่าจะรู้จักมารเหนือฟ้าสินะ ราชามารเหนือฟ้าเป็นสิ่งมีชีวิตระดับสุดยอดในบรรดามารเหนือฟ้า พวกมันมีร่างแยกเป็นสิบล้านร่าง ต่อให้ยามเคราะห์สวรรค์ของจิตวิญญาณเที่ยงแท้ถูกราชามารระดับนี้สิงเข้าไปในจิตใจ หากไม่ระวังก็อาจจะถูกกลืนกิน จนกลายเป็นหุ่นเชิด”
“แม้แต่จิตวิญญาณเที่ยงแท้ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้!” หานลี่ได้ฟังคำนี้ สายตาพลันเคร่งขรึม
“ไม่ใช่แค่จิตวิญญาณเที่ยงแท้ ได้ยินว่าแม้แต่เทพเซียนในแดนเทพเซียนพบกับราชามารเหนือฟ้าก็ยังมีโอกาสถูกควบคุม แน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องเล่าเท่านั้น ส่วนรายละเอียดนั้นจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ผู้ใดก็ไม่เคยเห็นมาก่อน กลับเป็นพี่หานที่บอกว่ารังวิญญาณนี้ถูกราชามารเหนือฟ้าสิงอยู่ เป็นเช่นนั้นจริงๆ หรือ?” เซียนเซียน พลันหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา แล้วอดไม่ไหวเอ่ยยืนยันอีกครั้ง
“อันใดท่านเซียนเซียนคิดว่าข้าน้อยหลอกลวงหรือ” หานลี่ได้ยินประวัติความเป็นมาของราชามารเหนือฟ้า ภายใต้ความตกตะลึงนั้นความคิดจึงเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว แต่ก็ตอบกลับด้วยสีหน้าราบเรียบ
“เหตุใดน้องหญิงถึงคิดเช่นนี้ แต่แค่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ถึงได้จำต้อง…”
“ข้ากลับคิดว่าสิ่งที่เขาพูดอาจจะเป็นความจริง”
ไม่รอให้เซียนเซียนได้เอ่ยอะไรอีก บุรุษแซ่กุยที่มีแววตาเคร่งขรึมอยู่ด้านข้าง ก็เอ่ยปากแทรกด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกทันที
“สหายกุยหมายความว่าอย่างไร?” ไม่ใช่แค่หานลี่ที่ตกตะลึง ดวงตางดงามของเซียนเซียนเองก็เคร่งขรึม เอ่ยถามด้วยเสียงแผ่วเบา
“หึ อย่าแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เลย ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะไม่พบความผิดปกติของรังวิญญาณ เจ้าน่าจะรู้ดี จิตวิญญาณฟ้าดินระดับนี้อย่างรังวิญญาณไม่มีทางถูกสิ่งธรรมดาๆ สิงสู่แน่ ต่อให้เป็นเจ้าหรือข้าก็ย่อมไม่มีทางเป็นไปได้ และยิ่งไปกว่านั้นเจ้านี้ก็บอกไปไว้ก่อนแล้วว่าสังหารไปแล้ว พวกเราอยู่กันตั้งหลายคน ก็น่าจะไม่ใช่เรื่องหลอกลวง” บุรุษแซ่กุยตอบกลับอย่างเย็นชา
“ต่อให้เป็นเช่นนั้นมันจะรู้รังของวิญญาณและต้นกำเนิดของกิเลนเที่ยงแท้ได้อย่างไร และมายืนรอผลพลอยได้แบบนั้นหรือ” เซียนเซียน สั่นศีรษะแล้วเอ่ยโต้แย้ง
“จุดนี้เดายากจริงๆ อาจจะเป็นเพราะตอนที่ร่างแยกราชามารเหนือฟ้าโชคดีทะลวงเข้ามาในแดนนี้ ได้กลืนกินสิ่งที่อยู่ในระดับเดียวกับเจ้าและข้าที่หนีออกมาเข้าพอดี จึงรู้จักที่นี่ และอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ เจอกับรังวิญญาณที่ควบคุมที่นี่ จากนั้นถึงได้กลืนกินคนอื่นๆ ที่มาที่นี่ ถึงได้รู้เรื่องของพวกเรา” บุรุษแซ่กุยเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“เช่นนั้นละก็ อาจจะเป็นไปได้หลายส่วน ทว่าจะเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่ พวกเราค้นหาดูก็รู้แล้ว หากข้าจำไม่ผิดละก็ สิ่งที่ราชามารเหนือฟ้าสิงสู่ สุดท้ายร่างกายจะกลายเป็นธุลีมาร แม้ว่ารังวิญญาณจะมีความพิเศษ แต่ก็ไม่อาจโชคดีได้” เซียนเซียนเอ่ยไปพลาง สายตางดงามก็พลางมองไปยังด้านล่างไปมา
หานลี่ได้ฟังคำนี้ก็ก้มหน้าลงมองด้วยสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย
ผลคือหลังจากมองมาแล้วก็อดที่จะตกตะลึงไม่ได้
คาดไม่ถึงว่าหัวกะโหลกหน้าคนประหลาดที่เดิมเป็นดังก้อนหินสีเทาขาวพลันกลายเป็นกองเถ้าถ่านกองใหญ่ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ กองแน่นิ่งๆ อยู่บนพื้นด้านล่าง
หานลี่เสียแรงไปมาก ในที่สุดก็มองเห็นเค้าโครงเดิมของใบหน้าประหลาดท่ามกลางขี้เถ้าสีดำเทาออกอยู่สองสามส่วน มุมปากจึงอดที่จะกระตุกไม่ได้
ในสถานการณ์เช่นนี้คนอื่นๆ อีกสองคนย่อมมองเห็นด้วยเช่นกัน
สตรีเผ่าผลึกไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา แค่ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ส่วนบุรุษแซ่กุยกลับยกมือขึ้น ตะปบไปกลางอากาศด้านล่าง
ชั่วขณะนั้นขี้เถ้าสีดำกลุ่มหนึ่งพลันกลายเป็นควันสีดำ ถูกบุรุษดูดเข้ามาในมือ และจ้องเขม็งมองไป
“ไม่ผิดเป็นธุลีมารจริงๆ” บุรุษแซ่กุยแววตาเปล่งประกายวาวโรจน์ หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ถึงได้โยนขี้เถ้าสีดำในมือออกแล้วเอ่ยอย่างเยือกเย็น
“ดูแล้วพี่หานคงพูดไม่ผิด รังวิญญาณนี้ถูกร่างแยกของราชามารเหนือฟ้าควบคุมจริงๆ มิน่าล่ะถึงได้รับมือยากเช่นนี้ ก่อนหน้าเราสองคนติดกับเขาอย่างไม่รู้ตัว จนเกือบจะถูกคร่าชีวิตไป จะว่าไปแล้วน้องหญิงต้องขอบคุณบุญคุณช่วยชีวิตของพี่หานจริงๆ” เซียนเซียนหัวเราะน้อยๆ ออกมา แววตาเปล่งประกายระยิบระยับ แล้วเอ่ยขอบคุณหานลี่
“ไม่มีอะไรหรอก ข้าเองก็โชคดีถึงได้สังหารมารตัวนี้ได้ มารตัวนี้มีอิทธิฤทธิ์เกรียงไกรจริงๆ ช่างต่อกรได้ยากนัก” หานลี่ย้อนนึกถึงสถานการณ์ที่ชายชุดดำสร้างใบหน้าประหลาดออกมาไม่หยุด มุมปากอดที่จะกระตุกไม่ได้ ในใจพลันรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาสองสามส่วน
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว นี่เป็นเพราะรังวิญญาณไม่มีร่างที่แท้จริง จึงไม่อาจกระตุ้นอิทธิฤทธิ์ที่แท้จริงของมารได้ กระตุ้นได้แค่หนึ่งถึงสองส่วนเท่านั้น มิเช่นนั้นละก็อิทธิฤทธิ์ของมารเหนือฟ้าแทบจะไม่ด้อยไปกว่าเทพเซียนในแดนวิญญาณ แม้ว่าจะถูกร่างแยกของมันควบคุม ก็น่ากลัวเป็นอย่างมาก ไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของพวกเราในยามนี้ได้แน่ ทว่าร่างแยกของมันถูกสหายหานสังหารแล้ว เกรงว่าคงไม่ยอมล้มเลิกง่ายๆ หากสหายหานบรรลุขึ้นไป มารตนนี้จะต้องมารบกวนด้วยตนเองแน่” แววตาของบุรุษแซ่กุยฉายแววเย็นชา กลับเอ่ยเช่นนี้ออกมา
“เคราะห์การบรรลุ! หึๆ เรื่องไกลตัวเช่นนี้ ข้าน้อยไม่คิดหรอก” หานลี่กลับหัวเราะหึๆ ออกมา ราวกับว่าไม่ใส่ใจเลยสักนิด
“เอาละ ในเมื่อข้าและสหายเซียนอธิบายแก่นายท่านแล้ว เรื่องที่เกี่ยวข้องกับต้นกำเนิดกิเลนเที่ยงแท้ก็ควรเอ่ยสักหน่อย” หลังจากที่บุรุษแซ่กุยหัวเราะอย่างเย็นชาออกมา ก็เอ่ยถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของการเดินทางในครั้งนี้
“ไม่ว่าต้นกำเนิดกิเลนเที่ยงแท้จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร ตอนที่ข้าอยู่ในร่างของรังวิญญาณก็ไม่เห็นเลยสักนิด” ครั้งนี้หานลี่กลับตอบกลับอย่างสบายอารมณ์
แต่ฟังคำพูดนี้ของหานลี่ บุรุษแซ่กุยกลับมีสีหน้าเคร่งขรึม สตรีผู้งดงามนามว่าเซียนเซียนพลันขมวดคิ้วมุ่น แล้วเผยสีหน้าขบคิดออกมา
สิ่งที่น่าแปลกก็คือ ทั้งสองกลับไม่ได้เผยสีหน้าตกตะลึงระคนโกรธขึ้งหรือสีหน้าฉงนสงสัยใดๆ
หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง ในใจพลันรู้สึกประหลาดใจ
“สหายกุยคิดอย่างไร?” สตรีเผ่าผลึกพลันเปล่งเสียงหัวเราะ คาดไม่ถึงว่าจะเอ่ยถามบุรุษแซ่กุยหนึ่งประโยค
“สหายหานไม่มีคลื่นของต้นกำเนิดกิเลนเที่ยงแท้บนร่างจริงๆ เจ้าสิ่งนี้ที่มีต่างเดียวกันกับพวกเรา ไม่อาจใช้สมบัติอะไรมาปิดบังความรู้สึกของพวกเราได้ แน่นอนว่าย่อมไม่ได้โกหก แต่ก่อนหน้านี้ตอนที่พวกเราสู้กับรังวิญญาณ ล้วนสัมผัสได้ถึงต้นกำเนิดบนร่างของรังวิญญาณ” บุรุษแซ่กุยเอ่ยออกมาทีละคำๆ
“เช่นนั้น พี่กุยและข้าก็คาดเดาเช่นเดียวกัน” ใบหน้าของเซียนเซียนซีดเผือด
“ใช่แล้ว ในเมื่อสหายหานไม่มีต้นกำเนิดกิเลนเที่ยงแท้ เช่นนั้นหลังจากที่รังวิญญาณตาย ต้นกำเนิดไม่สลายหายไปกลับคืนพื้นดิน ก็คงกลับไปในรังของจิตวิญญาณเที่ยงแท้เช่นเดิม มีเพียงต้องรอให้รังวิญญาณถือกำเนิดขึ้น ถึงจะเอาสิ่งนั้นมาได้” บุรุษแซ่กุยเอ่ยด้วยสีหน้าเ**้ยมเกรียม
“หากเป็นอย่างแรก พวกเราย่อมไม่มีโอกาสอีก แต่หากเป็นอย่างที่สองก็ต้องรอแค่อีกสองสามร้อยปีเท่านั้น” สตรีเผ่าผลึกฝืนเอ่ยขึ้น
“อ๋อ มีเรื่องเช่นนี้ด้วย สหายทั้งสองมีวิธีตรวจสอบหรือไม่ว่าเป็นแบบใด” หานลี่ได้ฟังแล้วพลันใจเต้น สองมือกอดอกแล้วพลันลูบใต้คาง อดที่จะเอ่ยถามไม่ได้
“แน่นอนว่าไม่มี อย่างแรกไม่มีร่องรอยให้ตรวจ ส่วนอย่างที่สองไม่มีที่มาที่ไป” สตรีเผ่าผลึกเอ่ยพึมพำกับตัวเอง
หานลี่ได้ยินคำนี้พลันรู้สึกสิ้นหวังเช่นกัน ถึงอย่างไรเสียพลังต้นกำเนิดนั้นก็อาจจะช่วยให้เขาบรรลุระดับอินทรีย์ได้ ตอนนี้กล่าวเช่นนี้ไม่เท่ากับว่าต่อให้ต้นกำเนิดกิเลนเที่ยงแท้ยังคงอยู่ แต่ก็ต้องรออีกสองสามร้อยปีถึงจะมีความหวังที่จะได้มาครอบครอง
ทว่าแม้ว่าบุรุษและสตรีคู่นี้จะดูไม่เหมือนโกหก แต่แน่นอนว่าเขาย่อมไม่มีทางพูดความจริงทั้งหมดอยู่แล้ว
ทันใดนั้นแววตาทั้งสองของเขาพลันเปล่งแสงสีฟ้าวาววับ แผ่จิตสัมผัสออกไปในเวลาเดียวกัน ลำแสงหลีกหนีปรากฏขึ้นแล้ววนเวียนอยู่รอบๆ เริ่มตรวจสอบทุกอย่างอย่างละเอียด
ผลคือเขาตรวจสอบทุกอย่างในรัศมีสองสามลี้อย่างละเอียด กลับไม่มีร่องรอยว่าจะหาเจอเลยสักนิด ทำได้เพียงบินกลับไปอีกครั้งด้วยความกลัดกลุ้ม แล้วร่อนลำแสงหลีกหนีลงด้านข้างอีกสองคน
เมื่อเห็นท่าทางไม่ยินยอมของหานลี่ เซียนเซียนและบุรุษแซ่กุยก็ย่อมเชื่อคำพูดก่อนหน้าของหานลี่ ทั้งสามล้วนเงียบขรึม สีหน้าขบคิดเรื่องของตนเองแตกต่างกันไป
สำหรับสตรีนามว่าเซียนเซียนผู้นี้ การเดินทางครั้งนี้ย่อมสูญเปล่าแล้ว ในใจจะรู้สึกโศกเศร้าแค่ไหนแค่คิดก็รู้แล้ว
บุรุษแซ่กุยยังนับว่าเยือกเย็น แต่แววตาพลันเปล่งประกายไม่แน่นอน พลางขบคิดอะไรสักอย่าง
“หึๆ ดูแล้วการเดินทางครั้งนี้คงสูญเปล่าแล้ว โชคดีที่ข้าสิงอยู่ในร่างมังกรวารีสีเงิน เวลาสองสามร้อยปีย่อมรอไหว” บุรุษแซ่กุยดูเหมือนจะคิดอะไรได้ ฉับพลันนั้นพลันหัวเราะออกมาเบาๆ
“เจ้าคือร่างของมังกรวารีสีเงิน ต่อให้รออีกหลายปี ก็ยังคงต้องซัดสาดกับระดับศักดิ์สิทธิ์และระดับที่สูงยิ่งกว่า ส่วนข้าหากรอสักสองสามร้อยปี ต่อให้ได้ต้นกำเนิดกิเลนเที่ยงแท้มา ก็ไม่แน่ว่าจะมีเวลาหลอมและใช้ฝึกฝนได้” เซียนเซียนกลับรู้สึกสับสน
“ในเมื่อเจ้ารู้เรื่องนี้แล้ว เหตุใดไม่ล้มเลิกไปเสียเลย หรือว่าจะรวมร่างกันข้า เป็นร่างเดียวกันเป็นอย่างไร?” บุรุษแซ่กุยได้ฟังแววตาพลันฉายแววแปลกประหลาดขณะเอ่ย
“รวมจิตสัมผัสกับเจ้า แน่นอนว่าย่อมได้ แต่นายท่านต้องละทิ้งสติปัญญา ให้ข้าเป็นหลัก ข้าจะตอบรับในทันใด” คิ้วดำขลับของเซียนเซียนพลันเลิกขึ้น สีหน้าเคร่งขรึม
“หึ ไม้อ่อนไม่ชอบ ชอบไม้แข็ง!” บุรุษแซ่กุยได้ยินคำนี้ ชั่วขณะนั้นใบหน้าพลันมีสีหน้าโหดเ**้ยมปรากฏขึ้น สองมือถูกันไปมา ชั่วขณะนั้นบนร่างพลันมีกลิ่นโลหิตคละคลุ้งแผ่ออกมา
“อันใดสหายกุยคิดว่าคนคนเดียวจะต่อกรกับพี่หานและข้าที่ร่วมมือกันได้หรือ?” เซียนเซียนใจหายวาบ แต่ใบหน้างดงามกลับมีจิตสังหารปรากฏขึ้นขณะเอ่ย
“สหายหาน เจ้าจะสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องนี้หรือ? หากเจ้ายอมจากไป กลับไปผู้แซ่กุยจะขอบคุณอย่างหนัก!” บุรุษแซ่กุยแววตาเปล่งประกายเย็นเยียบ หลังจากกวาดสายตาไปบนเรือนร่างของหานลี่ ก็เอ่ยปากพูดขึ้น