ใบหน้าของฮูหยินวั่นฮวาขาวราวกระดาษยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
ในตอนนี้ไม่เพียงแต่เขตอาคมนั้นที่ถูกฝ่ามือใหญ่สีทองสั่นสะเทือนจนพังทลายแม้แต่สิงโตยักษ์สีดำที่อยู่ด้านหลังของหญิงชราเอง ก็ถูกกดทับด้วยแรงอันมหาศาล หดตัวกลายเป็นกลุ่มลูกบอลและไม่มีทางที่จะขยับตัวได้แม้แต่น้อย
และถึงแม้ว่าฮูหยินวั่นฮวาจะนำสมบัติวิเศษป้องกันร่างกายอย่างโล่ไม้สีเขียวมรกตออกมาได้ แต่ว่าในใจนั้นชัดเจนยิ่งนัก ด้วยพลังอันน่าหวาดกลัวของฝ่ามือใหญ่ยักษ์ที่เผยนั้น สมบัติล้ำค่าเหล่านี้ไม่มีทางที่จะใช้ป้องกันได้สักเท่าไหร่
ร่างปีศาจที่แท้จริงของฝ่ายตรงข้ามนั้นน่าสะพรึงกลัวถึงเพียงนี้ อาศัยเพียงแค่ฝ่ามือข้างเดียว ก็เอาชนะตนได้แม้แต่วิธีการกล่องแรงดัน
นี้ทำให้ฮูหยินวั่นฮวาที่หยิ่งยโสอยู่เสมอ ชั่วขณะนั้นก็เปลี่ยนไปราวกับเถ้ากระดาษ
“ออมมือให้แล้ว”
หานลี่ที่แปลงกายเป็นมนุษย์ใหญ่ยักษ์เอ่ยออกมาประโยคหนึ่ง จากนั้นก็นำเอาแขนข้างที่ยื่นออกไปกลับมา
และเกือบจะในขณะเดียวกัน ฝ่ามือใหญ่ยักษ์สีทองเหนือฮูหยินวั่นฮวาเองก็หายวับไปจนมองไม่เห็น
คราวนี้ หญิงชราก็ไม่รู้ว่าตนเองจะออกจากม่านแสงนี้ได้อย่างไรกัน มองกลับไปยังเวทีประลองนั้นอย่างมึนงง
นักพรตชิงผิงและเซียวหมิงที่อยู่ด้านนอกพากันมองสบตา เผยท่าทีตกใจถึงขีดสุดออกมา
หานลี่ที่อยู่ในม่านแสง กลับส่งเสียงเอ่ยทักทายนักพรตชิงผิงออกมา
“นักพรตชิงผิง ได้โปรดให้คำชี้แนะข้าด้วย”
ส่วนนักพรตชิงผิงที่เพิ่งจะได้สติกลับมาจากการตกใจที่หานลี่เอาชนะหญิงชราได้เมื่อครู่นี้ เมื่อได้ยินคำพูดของหานลี่ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปในทันที หลังจากนั้นอีกพักใหญ่ จึงได้คำนับให้กับหานลี่ ตอบกลับเสียงขมขื่นออกมา
“วิชามารของท่านไร้เทียมทาน ตัวข้าย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ คงไม่จำเป็นต้องรับกระบวนท่านี้แล้วกระมั่ง ข้าน้อยยอมแพ้แต่โดยดี”
นักพรตชิงผิงท่านนี้สับสนยิ่งนัก ถึงกับเริ่มยินยอมโอนอ่อนลง
หานลี่เมื่อได้ยินประโยคนี้เข้า ก็ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจนัก แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีข่มขู่อีกต่อไป ทำเพียงแค่พยักหน้า แล้วเก็บร่างพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์กลับมา หลังจากนั้นพริบตาเดียว ก็ออกมาจากม่านแสงนั้นเช่นกัน
“อิทธิฤทธิ์ของนักพรตหานฉกาจยิ่งนัก ผู้แซ่เซียวเองชีวิตนี้ก็เพิ่งจะได้เห็น กลับทำให้ข้านึกถึงคนผู้หนึ่งขึ้นมาได้ นักพรตท่านก็คือคนของแผ่นดินใหญ่เฟิงหยวนผู้นั้นที่เข้าไปยังแดนมาร นักพรตหานลี่จากเผ่ามนุษย์ที่ฆ่าหนอนเพลี้ยตัวแม่ได้” เซียวหมิงจ้องมองไปยังหานลี่โดยไม่กะพริบตา เอ่ยถามออกมาทีละคำ
“น่าละอายเกินไปแล้ว ข่าวลือเหล่านั้นออกจะเกินจริงไปเสียเล็กน้อย แต่ว่าข้าน้อยคือหานลี่แห่งเผ่ามนุษย์จริงๆ” ดวงตาหานลี่เปล่งประกายออกมาเล็กน้อย เอ่ยตอบออกมาอย่างใจเย็น
“ฮาฮา เป็นนักพรตหานจริงๆ ไม่น่าแปลกที่มีอิทธิฤทธิ์มากถึงเพียงนี้ ช่างเป็นแขกผู้มีเกียรติที่มาเยือนอย่างแท้จริง นักพรตท่านจะต้องพักอยู่ในเมืองของข้าสักระยะหนึ่ง ให้พวกข้าได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้สักเล็กน้อย” เซียวหมิงไม่ได้สนใจทั้งสองคนอีก เอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มกว้าง
“ในเมื่อนักพรตเชิญข้าด้วยความจริงใจ แน่นอนว่าข้าน้อยย่อมไม่ปฏิเสธ” หานลี่เองก็สนใจในวรยุทธ์เชวี่ยเต้าของสำนักกระดูกโลหิตเช่นกัน เมื่อได้ยินประโยคนี้แล้ว ก็เอ่ยตอบออกมาด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย
“ดียิ่งนัก ฮูหยินวั่นฮวา นักพรตชิงผิง ไปรวมตัวกันที่ถ้ำพำนักของข้าเถอะ” เซียวหมิงดูเหมือนว่ากำลังตื่นเต้นอยู่ หันไปเอ่ยกับฮูหยินวั่นฮวากับนักพรตชิงผิง
“พวกเราทั้งสองคนเดินทางมาที่นี้ก็เพื่อขอความช่วยเหลือ ก่อนที่จะได้ยินคำตอบรับจากพี่เซียวแล้ว แน่นอนว่าคงจะไม่จากไปเช่นนี้แน่ พีเซียวนำทางอยู่ด้านหน้าเถอะ พวกเราทั้งสองคนคงต้องขอรบกวนสักเล็กน้อยแล้ว” หลังจากที่นักพรตชิงผิงกับฮูหยินวั่นฮวาสบตากันแล้ว ก็เอ่ยตอบมาอย่างลังเล
“ข้าน้อยได้เตรียมการสั่งลูกศิษย์ในสำนักเอาไว้แล้ว ได้จัดเตรียมงานเลี้ยงเอาไว้ภายในถ้ำแล้ว จะต้องทำให้นักพรตทั้งหลายพอใจเป็นแน่ เช่นนั้นก็เชิญนักพรตทั้งหลายตามข้ามาเถอะ” เซียวหมิงเมื่อได้ยินแล้ว ก็เอ่ยออกมาพร้อมกับหัวเราะเบาๆ
ในเวลาต่อมา คนทั้งหลายก็แปลงกายเป็นสายรุ้งอันน่าประหลาดใจหลายสาย ตรงไปยังพระราชวังขนาดใหญ่กลางเมืองเซวี่ยเฮ่อ
ครึ่งวันต่อมา ในตอนที่ท้องฟ้าใกล้ค่ำแล้ว และท้องฟ้าปรากฏสีแดงเลือดออกมานั้น หานลี่ก็บินทยานออกมาจากพระราชวังขนาดใหญ่นั้น หลังจากนั้นเพียงแค่ครึ่งชั่วยาม ไม่รู้ว่าตามหาที่พักที่อยู่บนถนนห่างไกลจากผู้คนเยี่ยงนี้ได้เช่นไร และได้เดินเข้าไปยังลานเรือนแห่งนั้นที่เช่าเอาไว้แล้ว
ตรงทางเข้าของลานแห่งนั้น บรรพชนฮวาสือและจูกั่วเอ๋อร์ยืนรออยู่ด้านนอกด้วยความเคารพ เมื่อเห็นหานลี่เดินเข้ามา ก็รีบเดินเข้ามาทำความเคารพ
หลังจากที่หานลี่โบกมือออกไปแล้ว ก็นำทั้งสองคนเดินเข้าไปในลานเรือน ลำแสงสีขาวสว่างวาบมาด้านหลัง ประตูใหญ่ก็ปิดลงสนิท
…
ในเวลาเดียวกัน ในห้องโถงด้านข้างของพระราชวังใหญ่ เซียวหมิง ฮูหยินวั่นฮวา นักพรตชิงผิงทั้งสามคนนั่งล้อมรอบโต๊ะหยกกลมสีขาว ดูเหมือนว่ากำลังถกเถียงกันถึงเรื่องอะไรบางอย่าง
เซียวหมิงที่เป็นเพราะว่าถูกหน้ากากปกปิดใบหน้าเอาไว้ นอกจากดวงตาทั้งสองข้างที่เคลื่อนไหวไปมาแล้ว จึงมองไม่เห็นว่าอยู่ในความรู้สึกเช่นไร
นักพรตชิงผิงและฮูหยินวั่นฮวาดูเหมือนว่าจะเคร่งขรึมขึ้น กระทั่งว่าจะมีความกรุ่นโกรธผสมปนเปอยู่ด้วย
“เจ้าสัตว์ประหลาดเฒ่าเซียว เงื่อนไขของท่านนี้ดูเหมือนว่าออกจะเกินไป ถึงขั้นวางแผนจะเก็บพระราชวังเทียนติ่งเอาไว้เองถึงเก้าส่วน แล้วแบ่งให้ข้ากับนักพรตชิงผิงเพียงแค่ส่วนเดียวเท่านั้น หรือว่าไม่เห็นพวกเราสองคนไม่นับเป็นอะไร” ฮูหยินวั่นฮวาตะโกนออกมาอย่างโกรธเคือง
“หากว่าพวกท่านทั้งสองมีกุญแจของพระราชวังเทียนติ่ง และรู้ตำแหน่งเปิดเข้าสู่พระราชวังเทียนติ่งล่วงหน้าแล้ว แน่นอนว่ามีคุณสมบัติที่เสนอเงื่อนไขออกมาแบบนี้เช่นกัน” ชายผู้สวมหน้ากากเอ่ยตอบกลับมาโดยที่ไม่มีความกรุ่นโกรธแม้แต่น้อย
“พวกเราทั้งสองคนเองแน่นอนว่าพี่เซียวมีของเหล่านี้อยู่ ไม่งั้นก็คงจะไม่เข้าไปยังเทือกเขาวั่นเย่ว์มาก่อนที่จะมาตามหานักพรตหรอก แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ให้ข้าและวั่นฮวาแค่เพียงส่วนเดียว เกินไปจริงๆ” นักพรตชิงผิงขมวดคิ้วแน่นเอ่ยออกมา
“ทั้งสองท่านคิดว่าพระราชวังเทียนติ่งเป็นสถานที่เช่นไรกัน หากว่าไม่มีกุญแจที่อยู่ในมือของข้าน้อยแล้ว ต่อให้รู้ว่าที่ตั้งอยู่ตรงไหนมาก่อน แล้วจะมีประโยชน์อะไรกัน ในปีนั้นผู้แซ่เซียวเพื่อกุญแจดอกนี้แล้ว จ่ายราคาออกไปมากถึงเพียงไหน เหลือสมบัติล้ำค่าเอาไว้ให้พวกท่านทั้งสองส่วนหนึ่ง ก็นับว่าไม่น้อยแล้ว” เซียวหมิงเอ่ยออกมาอย่างไม่สะทกสะท้าน
“หืม กุญแจเข้าสู่พระราชวังเซียนเทียนติ่งไม่ได้มีเพียงแค่ดอกเดียว ในมือของนักพรตนั้นเป็นเพียงแค่หนึ่งในนั้น และไม่รู้ว่าเป็นของจริงหรือไม่ ในตอนที่พระราชวังเซียนเทียนติ่งปรากฏขึ้นครั้งก่อนหน้านั้น มีของปลอมปรากฏออกมามากมาย กุญแจผีเหล่านี้ถึงแม้ว่าไม่อาจทำให้เข้าสู่พระราชวังเซียนเทียนติ่งไปอย่างปลอดภัย แต่ก็ทำให้คนรู้สึกได้ถึงเวลาเปิดและตำแหน่งโดยประมาณของพระราชวังเซียน แต่ก็เกินพอแล้ว หากว่ายอมที่จะเสี่ยงแล้วละก็สามารถลองบุกเข้าไปดูได้” ฮูหยินวั่นฮวาจ้องมองไปยังเซียวหมิง เอ่ยด้วยเสียงเย็น
“กุญแจผี? เรื่องนี้แน่นอนว่าข้าน้อยเองก็พอรู้มาบ้าง แต่ข้าสามารถรับรองกับนักพรตทั้งสองท่านได้ ในมือของข้าน้อยนั้นเป็นหนึ่งในของดั้งเดิม ไม่เช่นนั้นแล้วจะกล้าเสนอเงื่อนไขออกมาเช่นนี้ได้อย่างไรกัน” เซียวหมิงหัวเราออกมา เอ่ยออกมาด้วยความมั่นใจอย่างมาก
“พี่เซียวมั่นใจเช่นนี้ แต่ก็ยังไม่คุ้มค่าที่จะให้พวกเราสองคนเดินทางไปด้วยตัวเอง แต่เมื่อในตอนนั้นมีกุญแจผีหลุดรอดออกมามากมายแล้ว เกรงว่าเวลาเปิดพระราชวังเซียนเทียนติ่ง ไม่ต้องเอ่ยถึงเมื่อบรรดาผู้อยู่ในระดับผสานอินทรีย์ระดับหลอมสูญมาพบเข้ากับผู้มีโชคที่อยู่ในระดับล่างแล้ว เพียงแต่ผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับข้าแล้วก็คงจะมีอยู่ไม่น้อยเช่นกัน โดยเฉพาะหลายล้านปีมานี้แผ่นดินใหญ่ของข้าผ่านด่านเคราะห์มามากที่สุดแล้ว สุดท้ายแล้วยังกลายเป็นผู้สำเร็จขึ้นสู่เทียนติ่งที่เหลืออยู่ของถ้ำพำนัก ด้านในนั้นยังไม่รู้ว่ามีสมบัติล้ำค่ายาเสริมวิญญาณที่มีประโยชน์ต่อข้าอีกมากมายเพียงไร อย่างน้อยก็ยังสามารถเรียนรู้เคล็ดวิชาลับจากด้านในที่หลงเหลือเอาไว้ สามารถรู้ได้ว่าเทียนติ่งท่านนี้ในตอนที่ฝ่าด่านเคราะห์ครั้งใหญ่แต่ละครั้งใช้วิธีการเช่นไร เพียงแค่ตรงจุดนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะทำให้เจ้าเฒ่าประหลาดมากน้อยเพียงใดพากันใจสั่นไหว นักพรตเซียวหมิงหากว่าไม่มีพวกข้าสองคนคอยช่วยเหลือแล้วละก็ ต่อให้สามารถเข้าไปยังพระราชวังเซียนเทียนติ่งแล้ว แต่ว่าจะแน่ใจว่าตนเองสามารถได้รับสมบัติล้ำค่าแล้วออกมาได้อย่างปลอดภัยหรือ? อีกอย่างนักพรตไม่กลัวว่าพวกเราทั้งสองคนกลับไปแล้วจะไปร่วมมือกับผู้อื่นที่มีกุญแจอย่างนั้นหรือ เมื่อถึงเวลานั้นก็จะเป็นการเพิ่มคู่แข่งให้อีกสองคนหรือ?” หลังจากที่ดวงตาของนักพรตชิงผิงหรี่ลงแล้ว จึงได้เอ่ยคำพูดเหล่านี้ออกมา
“นักพรตชิงผิง เจ้ากำลังข่มขู่ข้า?” น้ำเสียงของเซียวหมิงกลับดูเย็นชาขึ้น
“นี้ไม่นับว่าเป็นการข่มขู่อะไร ข้าเพียงแต่นำเรื่องจริงออกมาพูดก็เท่านั้น ที่พวกเราสองคนปรากฏตัวที่นี้ด้วยตนเองนั้น อย่างน้อยๆ ก็แสดงความจริงใจในการร่วมมือกับนักพรต อีกทั้งหากว่าไม่ร่วมมือกับพวกเราสองคนแล้ว พี่เซียววางใจที่จะไปกับผู้อื่นหรือ! นักพรตหานท่านนั้นจากแผ่นดินใหญ่เฟิงหยวน อิทธิฤทธิ์เป็นที่น่าตกใจผู้คน พี่เซียวก่อนหน้านี้ทำไมถึงไม่เชิญให้เขาเข้าร่วมเดินทางไปยังพระราชวังเทียนติ่งด้วย คงจะไม่ใช่เพราะว่านักพรตหานลี่ท่านนี้มีพลังแข็งแกร่ง แม้แต่พี่เซียวเองก็หวาดกลัวหรอกนะ” นักพรตชิงผิงเอ่ยออกมาอย่างคมคาย ใบหน้ากลับคืนท่าทีสงบนิ่ง
“ไม่ผิดแล้ว ข้าหวาดกลัวคนๆ นั้นอยู่เล็กน้อย และไม่อาจระงับความมั่นใจของอีกฝ่ายได้ จึงได้ไม่เอ่ยถึงเรื่องของพระราชวังเทียนติ่งออกมา แต่ว่าอาศัยเพียงแค่จุดนี้ จะทำให้ผู้แซ่เซียวยอมถอยให้ คงจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้” เซียวหมิงเอ่ยออกมาอย่างไม่ลังเล
คราวนี้ สีหน้าของนักพรตชิงผิงนั้นออกจะดูไม่ได้
“นักพรตชิงผิง เจ้าสัตว์ประหลาดเฒ่าเซียวผู้นี้ดื้อดึงเกินไป เช่นนั้นก็นำเรื่องนี้บอกแก่เขาเถอะ หากว่ามีเงื่อนไขนี้แล้ว ยังจะกลัวเขาไม่ยอมถอยอีกหรือ” หญิงชราที่ยืนอยู่ด้านข้างนั้นทันใดก็เอ่ยออกมาอย่างเย็นชา
“เรื่องอะไรกัน?” เซียวหมิงแสดงออกมาว่าตกตะลึง
“นักพรตท่านรู้หรือไม่ว่านักพรตชิงผิงมีที่มาอย่างไรกัน?” ใบหน้าของฮูหยินวั่นฮวาเผยท่าทีมีลับลมคมในออกมา
“นักพรตชิงผิงคือ…” เซียวหมิงมีท่าทีประหลาดใจออกมา มองไปรอบๆ จากนั้นก็หยุดลงบนกายของนักพรตหนุ่มทันที
“น่าละอายยิ่งนัก จริงๆ แล้วข้าน้อยได้รับการถ่ายทอดมาจาก…” หลังจากที่นักพรตชิงผิงถอนหายใจออกมาแล้ว ปากก็ขยับขึ้นเล็กน้อย แต่ว่าไม่มีเสียงใดดังออกมา
เซียวหมิงที่แต่เดิมมีท่าทีไม่สนใจนั้น แต่เพียงแค่หลังจากนั้นไม่นาน ดวงตาก็สว่างวาบขึ้นมา เผยท่าทีประหลาดใจเป็นอย่างมากออกมา
…
กลางหุบเขาลึกของเทือกเขาวั่นเย่ว์ เซวี่ยพั่วขี่อยู่บนกายของหุ่นเชิดอินทรีย์ยักษ์สีดำ จ้องมองไปยังกำแพงหินที่มีลำแสงสีขาวอ่อนปรากฏอยู่โดยไม่ขยับ
ภายในลำแสงสีขาวนั้น มีอักษรรูนแปลกประหลาดที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดไม่หยุดนิ่งปรากฏขึ้น ราวกับว่าจะแสดงข้อมูลลึกลับบางอย่าง
“พระราชวังเทียนติ่ง”
เซวี่ยพั่วที่อยู่บนกายของหุ่นเชิด จู่ๆ ก็เอ่ยพึมพำออกมากับตนเอง ตามมาด้วยความคิดก็สว่างวาบขึ้นมา จากนั้นก็มีความทรงจำมากมายที่ถูกผนึกเอาไว้เพิ่มขึ้นมา
…
ในขณะเดียวกัน ภายในบ้านที่มีลานหินในเมืองเซวี่ยเฮ่อ หานลี่กำลังนั่งไขว้ห้างอยู่บนเก้าอี้ไม้ตัวหนึ่ง ในมือถือหม้อขนาดเล็กสูงหลายนิ้วเอาไว้ ตรวจสอบมันอย่างระมัดระวัง
หม้อใบนี้มีสีฟ้าอ่อน รูปลักษณ์ภายนอกดูแปลกตา พื้นผิวภายนอกเป็นลายนูนรูปแมลง ปลา นก สัตว์อสูรต่างๆ ในตอนนี้กลับมีลำแสงวิญญาณจางๆ กะพริบขึ้นไม่หยุด ราวกับว่ากำลังจะฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น
หานลี่ลูบไล้ไปที่คางของเขา แล้วก็มองไปยังหม้อใบเล็กนั้นอีกครั้ง ใบหน้าเผยแววครุ่นคิดออกมา
…
ในพื้นที่ลึกลับมืดมิดท่ามกลางเทือกเขาวั่นเย่ว์ จู่ๆ ก็ปรากฏเสียงถอนหายใจไพเราะเสนาะหูลอยออกมา
ในที่สุด ในที่สุดก็ถึงวันที่ประตูของพระราชวังเปิดออกมาแล้ว โดนกักขังมาเนิ่นนานเช่นนี้ ในที่สุดข้าก็สามารถไปจากที่นี้ได้แล้ว ได้พบดวงตะวันอีกครั้งแล้ว”