ในหุบเขาเล็กๆ ริมเทือกเขาวั่นเย่ว์ ผู้ฝึกตนระดับสูงกว่าร้อยคนสวมใส่เครื่องแต่งกายแตกต่างกันกำลังรวมตัวกันอยู่ เพื่อสร้างเขตอาคมขนาดใหญ่ที่ไม่ทราบชื่อเรียกออกมา
ด้านข้างนั้นมีชายร่างกายกำยำ สวมใส่ชุดผ้าสง่างาม ใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ยืนจ้องมองทุกสิ่งอย่าง
…
ภายในหนองน้ำแปลกประหลาดที่เต็มไปด้วยแมลงมีพิษอยู่นับไม่ถ้วน บนแท่นหินสีฟ้าอ่อน มีหม้อใบเล็กที่มีแสงสีฟ้าอ่อนตั้งอยู่
ใกล้กับแท่นหินนั้น ชายชราสามคนที่มีใบหน้าน่าเกลียดถึงขีดสุดต่างก็นั่งขัดสมาธิไปในทิศทางเดียวกัน ท่าทางสง่างามปิดเปลือกตาลงเหมือนว่ากำลังฝึกฝนอะไรกันอยู่
…
“แคว้นอวี่กวง แคว้นชวนอวิ๋น และอีกแปดแคว้นที่อยู่รอบๆ เทือกเขาฉีอวิ๋นต่างก็ถูกทำลายลงไปจดหมดแล้ว แล้วนี้จะเป็นไปได้อย่างไรกัน”
เมืองขนาดใหญ่ที่อยู่ห่างออกไปจากเมืองเซวี่ยเฮ่อไม่รู้กี่หมื่นลี้ ชายชราสวมใส่ชุดคลุมสีเขียวคนหนึ่งร้องตะโกนใส่ชายชุดเหลืองที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“ใต้เท้าปี้อิ่ง คำพูดของผู้น้อยไม่กล้าที่จะมีแม้แต่ครึ่งคำเท็จ แปดแคว้นนี้ตั้งแต่ด้านบนจนลงมาถึงด้านล่าง ไม่ว่าจะเป็นฮ่องเต้หรือว่าราษฎรธรรมดา ทั้งหมดนี้ต่างก็หายตัวไปอย่างแปลกประหลาดเมื่อเดือนก่อน ไม่พบผู้รอดชีวิตแม้แต่คนเดียว”ชายหนุ่มชุดเหลืองเอ่ยตอบกลับมา
ชายชราชุดเขียวคนนั้นก็คือปี้อิ่งผู้ที่เคยประลองกับหานลี่มาก่อน
“แล้วสำนักใหญ่ๆ เหล่านั้นในเทือกเขาฉีอวิ๋นเล่า เกิดเรื่องน่าตกใจเช่นนี้ คนในสำนักคงจะไม่มีทางที่จะไม่รับรู้ได้หรอกนะ” ปี้อิ่งเอ่ยถามออกมาด้วยใบหน้าที่มืดมน
“เรื่องนี้ผู้น้อยเองก็เคยตรวจสอบมาแล้ว สำนักน้อยใหญ่ทั้งสิบเก้าสำนักในเทือกเขาฉีอวิ๋น ทุกคนก็หายไปหมดเช่นกัน เหมือนว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับผู้คนในแปดแคว้นนั้น” ชายหนุ่มชุดเหลืองเอ่ยตอบมาด้วยรอยยิ้มขมขื่น
“หายไปเหมือนกัน? ทั้งสิบเก้าสำนักนี้ถึงแม้ว่าจะไม่นับเป็นอะไรในแผ่นดินใหญ่นภาสีเลือด แต่หากว่ารวมเข้าด้วยกันแล้ว ก็นับว่าเป็นพลังที่ไม่อาจมองข้ามได้ แล้วต่อให้เป็นกลุ่มพันธมิตรของพวกเราลงมือแล้วก็ไม่มีทางที่จะกำจัดทิ้งโดยไม่มีข่าวคราว เรื่องแปลกประหลาดเช่นนี้ ตรวจสอบไม่พบเบาะแสใดเลยหรือ?” หลังจากที่ปี้อิ่งกะพริบตาอยู่สองสามครั้ง ก็เอ่ยถามออกมาช้าๆ
“เบาะแสจะบอกว่าไม่มีเลยก็ไม่ได้ หลังจากที่กลุ่มพันธมิตรของพวกเราพบเรื่องนี้แล้วก็ส่งคนเข้าไปตรวจสอบในแปดแคว้นและสำนักเหล่านี้ในทันที สุดท้ายก็พบว่าไม่ว่าจะเป็นทั้งแปดแคว้นนั้นหรือว่าสำนักเหล่านั้นต่างก็ไม่พบว่ามีร่องรอยของการต่อสู้ขัดขืน เช่นนี้ก็หมายความว่าคนเหล่านี้ต่างก็ยินยอมให้คนพาตัวไป หรือไม่ก็ฝ่ายตรงข้ามนั้นมีพลังแข็งแกร่งจนน่าเหลือเชื่อ ทำให้ทั้งแปดแคว้นและสำนักนับสิบแม้แต่คุณสมบัติที่จะต่อต้านก็ยังไม่มี” ชายหนุ่มชุดเหลืองเอ่ยตอบพร้อมโค้งคำนับลงเล็กน้อย
“เช่นนั้นเจ้าคิดว่าจะเป็นความใดไปได้?” ปี้อิ่งถามกลับมาประโยคหนึ่ง
“ผู้น้อยคิดว่า คงจะเป็นข้อที่สองขอรับ” ชายหนุ่มชุดเหลืองเอ่ยตอบกลับมาโดยที่ไม่ต้องครุ่นคิด
“ทำไมกัน?”
“เพราะว่าคนธรรมดาทั่วไปในแปดแคว้นคงไม่ต้องเอ่ยถึงแล้ว แต่คนของทั้งสิบเก้าสำนักที่เป็นผู้ฝึกตนคงจะไม่ยินยอมที่จะจากสำนักของตนไป คนของกลุ่มพันธมิตรเราที่ไปทำการตรวจสอบ พบเบาะแสบางอย่างที่สำนักเซวี่ยเต้าทิ้งเอาไว้บนเทือกเขาฉีอวิ๋น ใต้เท้าปี้เองก็รู้ว่า มีเพียงแค่วรยุทธ์ของเซวี่ยเต้าเท่านั้นที่จะใช้วิธีการสังเวยโลหิตเพื่อเพิ่มพลังยุทธ์ขึ้นโดยเร็ว หากว่าคนเหล่านี้ถูกจับตัวไปเพราะสาเหตุนี้จริงๆ การสังเวยโลหิตขนาดใหญ่เช่นนี้ถึงแม้ว่าจะพบได้น้อยมากในแผ่นดินใหญ่นภาสีเลือด แต่ว่าร่องรอยของสำนักเซวี่ยเต้าที่หลงเหลืออยู่บนเทือกเขาฉีอวิ๋นนั้นน่าหวาดกลัวยิ่งนัก จะต้องเป็นร่องรอยของมหายานผู้แข็งแกร่งของสำนักเซวี่ยเต้าที่หลงเหลือเอาไว้ มีเพียงแค่ผู้ร้ายเท่านั้นถึงจะทำเรื่องไร้ยางอายเช่นนี้ออกมาได้” ชายหนุ่มชุดเหลืองเอ่ยออกมาอย่างคาดคะเนไปทีละขั้น
“ที่ว่ามาก็ดูมีเหตุผล กว่าครึ่งนั้นเป็นกลิ่นอายของปรมาจารย์สำนักเซวี่ยเต้าที่ทิ้งเอาไว้ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ในตอนนี้กลุ่มพันธมิตรของพวกเรากำลังพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ของผู้แข็งแกร่ง ไม่อาจเบี่ยงความสนใจมากนักไปยังเรื่องอื่นได้ เพียงแต่ว่าสองในแปดแคว้นนั้นเป็นของกลุ่มพันธมิตรเรา ไม่อาจวางมือไม่สนใจได้ เช่นนี้แล้วกัน เจ้านำผลตรวจสอบเรื่องนี้แจ้งไปแก่สำนักถีเซวี่ย เผ่าอสรพิษวายุที่อยู่ใกล้กับเทือกเขาฉีอวิ๋น ทั้งสองนั้นมีกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดอยู่ และต่างก็มีบรรพชนมหายานเป็นผู้ดูแลอยู่ อีกทั้งยังมีผลประโยชน์อยู่ในเทือกเขาฉีอวิ๋น คงจะไม่มีทางที่ปล่อยเรื่องนี้ไปโดยที่ไม่สนใจ กลับไปข้าเองก็จะเชิญ
เยียนอวี่เจินเหรินเดินทางไปสักรอบหนึ่ง เพื่อตรวจสอบร่วมกับบรรพชนของทั้งสองกองกำลัง” ในที่สุดปี้อิ่งก็เอ่ยออกมาอย่างตัดสินใจแล้ว
“ขอรับ ผู้น้อยรู้แล้วว่าจะทำเช่นไร จะกลับไปจัดเตรียมข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเดียวนี้ขอรับ” ชายหนุ่มชุดเหลืองโค้งกายลงรับคำสั่ง
…
ทะเลสาบขนาดใหญ่เหนือเทือกเขาฉีอวิ๋น ผิวน้ำเป็นสีเขียว ลมฤดูใบไม้ผลิพัดผ่านมา ผิวน้ำกระเพื่อมเป็นวงกลม ก็มีปลาและกุ้งว่ายไปมาไม่หยุดภายในน้ำ ทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นปกติ
แต่ว่าท้องฟ้าเหนือหุบเขา ที่แห่งหนึ่งใต้น้ำลึกของทะเลสาบขนาดใหญ่ กลับปกคลุมเต็มไปด้วยชั้นต้องห้ามลึกลับ เหมือนว่าจะปกป้องหุบเขานั้นเอาไว้อย่างแน่นหนา
ใต้ชั้นต้องห้ามเหล่านี้ มีกลุ่มก้อนของหมอกโลหิตที่ไม่กระจายปกคลุมอยู่ ทำให้ทั้งหุบเขานั้นกลายเป็นสีเลือดสด ไม่อาจมองเห็นสถานการณ์ด้านในแม้แต่น้อย
ภายใต้หมอกโลหิต กลับมีแม่น้ำสีโลหิตสีดำแดงไหลวนเต็มไปด้วยกลิ่นคาว กว้างนับร้อยจั้ง ยาวจนไม่อาจมองเห็นจุดสิ้นสุดได้ คดเคี้ยวตรงไปตามหุบเขาที่ไกลออกไป
บนพื้นผิวแม่น้ำที่ไหลนองอยู่นี้ ปรากฏร่างพร่ามัวของคนผู้หนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนนั้น
คนผู้นี้ใช้มือข้างหนึ่งทำท่าทางเอาไว้ มืออีกข้างก็ถือของสิ่งหนึ่งที่ส่องแสงแวววาว และมีเลือดเหนียวข้นไหลออกมาจากแม่น้ำแล้วทยอยกันเข้าสู่ด้านในนั้น
…
ครึ่งเดือนต่อมา หานลี่ที่กำลังนั่งหลับตาฝึกฝนอยู่ในลานเรือน บนกายจู่ๆ ก็มีเสียงดังชัดเจนดังขึ้นมา
ท่าทางของหานลี่ดูเปลี่ยนไป ชั่วขณะนั้นก็เปิดตาขึ้นมา แขนเสื้อสั่นไหว ลำแสงสีทองก็พุ่งทยานออกมา
เป็นแผ่นยันต์สีทองอ่อนแผ่นนั้น
หานลี่หรี่ตาลงมองไปยังแผ่นยันต์สีทองนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก็ใช้มือข้างหนึ่งเก็บมันกลับเข้ามา ตามมาด้วยร่างกายพร่ามัวขึ้นอีกครั้ง จากนั้นก็หายออกไปจากภายในห้อง
ไม่กี่ชั่วยามต่อมา หานลี่ก็นำบรรพชนฮวาสือและเซวี่ยพั่วออกจากเมืองเซวี่ยเฮ่อ แล้วกลายเป็นลำแสงหลายสายพุ่งตรงไปยังเทือกเขาวั่นเย่ว์ที่อยู่ใกล้เคียง
หลังจากนั้นไม่นาน ภายในพระราชวังกลางเมืองเซวี่ยเฮ่อ จู่ๆ ชายผู้สวมหน้ากากก็เอ่ยปากออกมาอย่างเสียกิริยา
“อะไรนะ มหายานเผ่ามนุษย์ท่านนั้นออกจากเมืองไปแล้ว แล้วยังตรงไปยังเทือกเขาวั่นเย่ว์อีก”
“ไม่ผิดแล้ว ศิษย์ทำตามคำสั่งของผู้อาวุโสไท่ซั่ง เมื่อมีข่าวว่าผู้อาวุโสหานออกจากเมืองไป ก็รีบมารายงานในทันที” ชายหนุ่มที่อยู่ในระดับผสานอินทรีย์คนหนึ่ง ยืนรายงานอยู่ด้านหน้าของเซียวหมิงด้วยความเคารพ
“ทำดีมาก เจ้าออกไปก่อนเถอะ” หลังจากที่สีหน้าของเซียวหมิงดูแปรปรวนไม่มั่นคงอยู่ครู่หนึ่ง ก็เปลี่ยนเป็นยิ้มออกมาแล้วโบกมือออกไป
ชายหนุ่มผู้ที่อยู่ในระดับผสานอินทรีย์ผู้นี้ก็ถอยออกจากห้องโถงไปในทันที
หานลี่เองก็ไปยังเทือกเขาวั่นเย่ว์นั้นด้วยจริงๆ ด้วยอิทธิฤทธิ์ของเขาแล้ว ก็คงจะมีปัญหาอยู่บ้างแล้ว” ร่างทั้งสองที่อยู่ด้านข้างของเซียวหมิงหลังที่เคลือนไหวอยู่เพียงครู่ก็ปรากฏออกมา เป็นฮูหยินวั่นฮวาและนักพรตชิงผิงนั่นเอง
ผู้ที่เอ่ยออกมาก็เป็นฮูหยินวั่นฮวา ในคำพูดนั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัวที่มีต่อหานลี่ เห็นได้ชัดว่าการประลองกันก่อนหน้านั้น ทำให้ในใจยังคงสั่นไหว
“คงจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอกนะ นักพรตหานก่อนหน้านั้นเองก็เอ่ยออกมาว่ามีเรื่องสำคัญที่ต้องทำในสถานที่ใกล้ๆ นี้ อีกทั้งตอนนี้ยังไม่ใช่วันที่พระราชวังเทียนติ่งปรากฏขึ้น หากมาเพราะว่าเรื่องนี้จริงๆ แล้ว เคลื่อนไหวตอนนี้ก็ออกจะเร็วเกินไปเสียเล็กน้อย” ในที่สุดเซียวหมิงก็เอ่ยปากออกมา
“เข้าสู่เทือกเขาวั่นเย่ว์ในเวลานี้ ไหนเลยจะเอ่ยคำว่า ‘บังเอิญ’ สองคำออกมาได้โดยง่ายกัน ส่วนเรื่องที่ยังไม่ถึงเวลาเปิดประตูนั้น ผู้ที่ไปรอยังเทือกเขานี้ก่อนไม่ได้มีเพียงแค่นักพรตหานผู้เดียว ตอนนี้เพิ่มมาคนหนึ่ง ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร” นักพรตชิงผิงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“ดูเหมือนว่าทั้งสองท่านจะคิดว่านักพรตหานเองก็มาเพราะว่าพระราชวังเทียนติ่งเช่นกัน” เซียวหมิงดูเหมือนกับว่าครุ่นคิดอยู่
“ไม่อาจพูดได้เต็มร้อย แต่แปดเก้าส่วนก็คงจะไม่ต่างจากที่คาดเอาไว้นัก ตอนนี้มีศัตรูตัวฉกาจเพิ่มมาเช่นนี้ พี่เซียวมีกลยุทธ์อะไรหรือไม่?” นักพรตชิงผิงเอ่ยถามกลับออกมาหนึ่งประโยค
“ต้องการใช้กลยุทธ์เช่นไรกัน ต่อให้พลังของเขาจะแข็งแกร่งเพียงไร แต่หากไม่มีกุญแจแล้วละก็ ก็ไม่อาจเข้าสู่พระราชวังเทียนติ่งได้อยู่แล้ว และต่อให้แม้ว่าถอยออกมาก้าวหนึ่ง เขาสามารถแย่งเอากุญแจจากมือของผู้อื่นได้ ข้อห้ามของพระราชวังเทียนติ่งนั้นมากมายยิ่ง อาศัยนักพรตเป็นสายเลือดผู้สืบทอดมาจากพระราชวังเทียนติ่ง รวมกับเขตอาคมที่ข้าสร้างขึ้นมา ยังจะต้องเกรงกลัวต่อคนผู้นี้ให้ได้อย่างนั้นหรือ!” เซียวหมิงเอ่ยตอบออกมาพร้อมทั้งหัวเราะ
“เรื่องนี้ก็จริง เป็นข้าที่เลอะเลือนไป คนผู้นี้ต่อให้มีอิทธิฤทธิ์ยิ่งใหญ่คับฟ้า แต่ว่าขอเพียงแค่พวกเราตามหาเขตอาคมใจกลางในพระราชวังได้ก่อนแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นต่อให้เป็นศัตรูตัวฉกาจร่วมมือกัน ข้าก็ไม่จำต้องนำมาใส่ใจ” หลังจากที่นักพรตชิงผิงตกตะลึงไป ชั่วขณะหนึ่งก็หัวเราะออกมาอย่างโง่เขลา
ฮูหยินวั่นฮวาที่อยู่ด้านข้างเมื่อได้ยินเข้า ก็ดูผ่อนคลายขึ้น
เซียวหมิงลูบไปที่คาง ดวงตาส่องประกายน่าดึงดูดผู้คนออกมา
…
หลังจากนั้นเจ็ดวัน ภายในเขาสูงลูกหนึ่งในเทือกเขาวั่นเย่ว์ ภายในถ้ำที่ถูกเปิดขึ้นชั่วคราว หานลี่นั่งอยู่บนเก้าอี้หินภายในห้องโถงของถ้ำ นั่งฟังเซวี่ยพั่วหญิงสาวคนนี้กำลังบอกเรื่องอะไรบางอย่างด้วยท่าทีที่ดูสงบ
“…ก็เป็นเช่นนี้ กายหลักเพื่อป้องกันเรื่องที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ก่อนที่จะเข้าสู่พระราชวังเทียนติ่งด้วยกุญแจแท้ดอกหนึ่ง ได้กำชับให้ใช้เคล็ดวิชาลับ นำร่างของข้างที่แบ่งเอาไว้นี้และที่เหลือเอาไว้ด้านนอกของเทียนติ่ง ขอเพียงแค่เมื่อผ่านไประยะหนึ่งแล้วไม่ได้กลับมาตามเวลาที่วางเอาไว้ ก็จะส่งสัญญาณกระตุ้นถึงร่างของข้าที่แบ่งเอาไว้โดยอัตโนมัติ แล้วปิดผนึกความทรงจำที่เกี่ยวข้องส่วนใหญ่เอาไว้ และตามที่กายหลักคำนวณเอาไว้ เวลาที่พระราชวังเทียนติ่งจะปรากฏขึ้นครั้งที่สองบนโลกนี้ก็มาถึงแล้ว หากว่าต้องการช่วยกายหลักออกมาแล้วก็ทำได้เพียงแต่เข้าไปยังด้านในนั้นอีกครั้ง ซวีเทียนติ่งก็คือกุญแจเข้าสู้พระราชวังเทียนติ่งที่ใช้เคล็ดวิชาลับจากหนังสือหยกทองคำทำเลียนแบบขึ้นมา ถึงแม้ว่าจะเป็นกุญแจเลียนแบบ ผลลัพธ์ที่ได้มีเพียงแค่ครึ่งหนึ่งของของดั่งเดิม และเมื่อบุกตรงไปยังประตูหลักของพระราชวังเทียนติ่งนั้น อันตรายก็จะยิ่งมากขึ้น ในตอนนั้นที่กายเดิมของข้าพบข้อบกพร่องของพระราชวังเทียนติ่งเข้าให้ ถึงแม้ว่าจะมีเพียงแค่กุญแจผีดอกนี้ ก็มีความมั่นใจอยู่หลายส่วนที่จะเข้าไปยังด้านใน…”
เซวี่ยพั่วใช้เวลาทานอาหารมื้อหนึ่ง ในที่สุดก็ได้นำเรื่องราวที่ปิงพั่วพบเจอเข้าในปีนั้นบอกออกมาอย่างคร่าวๆ
“เมื่อกล่าวออกมาเช่นนี้แล้ว ในที่สุดนักพรตเซวี่ยพั่วก็สามารถฟื้นฟูความทรงจำทั้งหมดได้แล้ว ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดีจริงๆ ในปีนั้นที่เจ้านำซวีเทียนติ่งออกมาทำข้อตกลงกับผู้แซ่หาน ถึงแม้จะเป็นว่าความทรงจำถูกปิดผนึกเอาไว้ ก็ไม่รู้เรื่องราวของเทียนติ่งเจินเหรินและพระราชวังเทียนติ่ง รู้เพียงแต่ว่าหม้อใบนี้เป็นกุญแจที่จะไขข้าไปยังสถานที่ที่มหายานทั้งหลายพาใจสั่นไหวเพื่อรอเวลาเปิดเคล็ดวิชาลับสุดยอดที่หลบซ่อนอยู่ แต่ก็ไม่เคยเอ่ยออกมาว่าเป็นของเลียนแบบ ไม่ใช่ของจริงที่จะนำมาใช้เปิดออก ตรงจุดนี้กับที่สัญญากันเอาไว้ในตอนต้นค่อนข้างจะต่างกันออกไป” ใบหน้าของหานลี่มองดูไม่ออกว่าผิดปกติตรงที่ใด เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ