บดขยี้คนที่รนหาที่ตายระหว่างทางราวกับว่ากำลังบดขยี้มด หลังจากนั้นสองชั่วยามในที่สุดหานลี่ก็นำเซวี่ยพั่วมาปรากฏเหนือแอ่งน้ำขนาดยักษ์
ทั่วทั้งสี่ทิศของแอ่งน้ำนี้ล้อมรอบไปด้วยเขาน้อยใหญ่ ตรงกลางนั้นเป็นพุ่มไม้เตี้ย
ในแอ่งน้ำที่ถูกปกคลุมไปทั่วด้วยพุ่มไม้เตี้ย พ่นลำแสงห้าสีกว้างนับลี้ออกมา เปล่งแสงงดงามออกมา พุ่งตรงไปยังสวรรค์ชั้นเก้าราวกับเสาขนาดยักษ์ลอยขึ้นบนฟ้า
ส่วนตรงขอบแอ่งน้ำนั้น กลับมีคนอยู่สามกลุ่มที่มาถึงยังที่นี้ก่อนหานลี่อยู่ก้าวหนึ่ง และกำลังจ้องมองผู้อื่นอยู่ด้วยสายตาเย็นชา
เมื่อลำแสงสีฟ้ามาบรรจบกัน หานลี่กับเซวี่ยพั่วก็ปรากฏออกมายืนเคียงกันอยู่ ณ ที่แห่งหนึ่ง
“สวบ” ดังออกมา กลุ่มคนทั้งสามต่างก็เลื่อนสายตามามอง รัศมีความน่าสะพรึงกลัวจากหนึ่งในนั้น ทำให้ใบหน้าประดุจหยกของเซวี่ยพั่วเปลี่ยนไป อดไม่ได้ที่จะก้าวถอยหลังไปสองก้าว
และในตอนนี้เอง ร่างกายของหานลี่ก็ค่อยๆ สั่นไหว จากนั้นปกป้องเซวี่ยพั่วเอาไว้ด้านหลังของตนโดยที่ไม่ต้องครุ่นคิด ขณะเดียวกันก็ปล่อยจิตวิญญาณบนกายตนออกมากดข่มเบาๆ
เสียง “ปัง” ดังออกมา
เซวี่ยพั่วรู้สึกได้ว่าพลังแข็งแกร่งที่พุ่งเข้ามานั้นถูกจิตวิญญาณของหานลี่กดเอาไว้จนกระจัดกระจายออกไป ใบหน้าจึงได้ดูผ่อนคลายลง แล้วจึงค่อยๆ แอบกวาดตามองไปยังผู้อื่น
หานลี่เหลือบมองไปยังลำแสงห้าสีอันน่าประหลาดบนแอ่งน้ำนั้น แล้วจึงได้เหลือบมองไปผู้อื่น
คนจำนวนน้อยที่สุดเห็นจะเป็นคู่สามีภรรยาวัยกลางคน ชายหนุ่มมีคิ้วเข้มร่างกายใหญ่ยักษ์ สีผิวเข้ม ดูท่าทางเป็นคนซื่อตรง ส่วนหญิงสาวกลับดูมีเสน่ห์งดงาม ทั่วทั้งกายเผยพลังแห่งความเย้ายวนอันน่าอัศจรรย์ออกมา
ดูเหมือนว่าจะเป็นคนสองประเภทที่แตกต่างกัน ยืนเคียงข้างกันอยู่ กลับให้ความรู้สึกกลมกลืนกันต่อผู้อื่นอย่างน่าประหลาด
แต่ว่าทั้งสองคนนี้ หญิงสาวคนนั้นเผยความกดดันทางจิตวิญญาณของมหายานออกมาอย่างชัดเจน ส่วนรัศมีของชายหนุ่มคนนั้นกลับไม่อาจคาดคะเนได้ ต่อให้เป็นหานลี่ที่มองเข้าไปก็ไม่อาจจะมองออกว่าพลังยุทธ์ของชายหนุ่มผู้นั้นอยู่ในขั้นใด และดูเหมือนว่าบนกายของฝ่ายตรงข้ามนั้นมีเคล็ดวิชาลับที่คอยสกัดการใช้ใจจิตสัมผัสตรวจสอบอยู่
หานลี่รู้สึกประหลาดใจขึ้นมาเล็กน้อย แต่ทว่านาทีถัดไปหลังจากที่สายตาของเขาเคลื่อนไป ก็ไปตกอยู่อีกด้านหนึ่งบนกายของเด็กหนุ่มทั้งห้าที่แต่งกายปกติ
เด็กหนุ่มเหล่านี้ดูเหมือนว่าจะมีอายุไม่ถึงยี่สิบปี ไม่เพียงแต่รูปร่างหน้าตาและเสื้อผ้าที่เหมือนพิมพ์เดียวกันแล้ว พฤติกรรมและท่าทางก็ดูเหมือนราวกับว่าเป็นคนคนเดียวกัน แววตาดูเย็นชาไม่มีร่องรอยของความอบอุ่นเลย และดูเหมือนว่าจะมีพลังยุทธ์อยู่ในขั้นของผสานอินทรีย์
หลังจากที่หานลี่ใช้จิตสัมผัสตรวจดูพลังของคนทั้งห้าไปแล้ว ก็เผยท่าทางดูครุ่นคิดออกมา เมื่อหลังจากที่กะพริบตาแล้ว เขาก็มองไปยังกลุ่มคนกลุ่มสุดท้าย
คนกลุ่มสุดท้าย นับว่าเป็นกลุ่มคนที่มีจำนวนมากที่สุด มีมากกว่าร้อยคน คนเหล่านี้ส่วนมากแล้วอยู่ในขั้นของระดับหลอมสูญ และยังระดับผสานอินทรีย์อยู่สองสามคนรวมอยู่ด้วย ทุกคนต่างก็รวมตัวกันกลายเป็นเขตอาคมลึกลับ ล้อมรอบชายผู้สง่างามสวมผ้าแพรร่างใหญ่เอาไว้
ดวงตาของชายร่างใหญ่ดูเหมือนว่าจะมีประกายสีเลือดอยู่ พลังบนกายของเขาก็ดูจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เป็นบรรพชนของมหายานที่แท้จริง
หานลี่เพียงแต่เหลือบมองดูชายร่างใหญ่ที่อยู่ตรงกลางผู้นั้นแวบเดียว จากนั้นก็มองไปยังผู้อื่นที่อยู่ด้านข้าง ราวกับว่ากำลังสนใจในเขตอาคมที่คนอื่นๆ สร้างขึ้นมา
คนทั้งสามกลุ่มนี้แน่นอนว่าก็มองออกหานลี่นั้นอยู่ในขั้นของมหายาน ใช้ท่าทางที่เหมือนกันมองอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ส่วนเซวี่ยพั่วที่ยืนอยู่ด้านหลังเขานั้นไม่มีใครสนใจมากนัก
เห็นได้ชัดว่าในสายตาของคนเหล่านี้นั้น สำหรับหญิงสาวที่มีพลังยุทธ์อยู่เพียงในขั้นของระดับหลอมสูญนั้นไม่มีคุณสมบัติใดให้นำมาใส่ใจ
แต่กลับกันเป็นหานลี่มหายานผู้แปลกหน้าคนนี้ บนกายนั้นกลับมีพลังบางอย่างที่เหมือนจะมีหรือไม่มีอย่างแปลกประหลาดออกมา ทำให้คนทั้งสามกลุ่มตื่นตัวขึ้นมา
แต่ทว่าในขณะนี้ที่กลุ่มคนทั้งสี่ต่างฝ่ายต่างยึดเอาพื้นที่รอบขอบแอ่งน้ำเอาไว้ ทำเพียงแค่ลอยอยู่อย่างเงียบสงบอยู่กลางอากาศเท่านั้น และไม่มีความคิดที่จะเอ่ยปากพูดคุยกัน
จู่ๆ ตรงขอบฟ้าก็มีลำแสงวิญญาณสว่างวาบขึ้น จากนั้นก็มีลำแสงจากคนละทิศทางกันปรากฏขึ้นส่งเสียงดังพุ่งไปยังแอ่งน้ำด้วยเช่นกัน
หลังจากที่เสียงดังทะลุอากาศนั้นจบลงแล้ว สองกลุ่มคนที่ขี่ลำแสงมานั้นก็ถึงบริเวณแอ่งน้ำใกล้ๆ กัน แล้วก็เผยกายออกมา
หลังจากที่หานลี่จ้องมองกลุ่มคนชัดเจนแล้วนั้น ท่าทีเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ว่าก็กลับคืนกลับมาเป็นปกติในทันที
ส่วนกลุ่มคนด้านหลังนั้น เป็นชายสองคนและหญิงหนึ่งคนยืนอยู่ด้วยกัน
ชายคนหนึ่งใบหน้าถูกหน้ากากสีขาวปกปิดเอาไว้อย่างมิดชิด ส่วนอีกหนึ่งชายหนึ่งหญิงนั้นคือนักพรตหนุ่มและหญิงชราผมขาว
ซึ่งก็คือเซียวหมิง นักพรตชิงผิง ฮูหยินวั่นฮวามหายานทั้งสามที่มาถึงพร้อมกัน
ส่วนอีกกลุ่มคนนั้น กลับเป็นชายชราสามคนหน้าตาน่าเกลียดรูปร่างผอมบาง
ทั้งสามคนนี้ไม่ว่าจะมีท่าทีที่ว่างเปล่า หรือว่าตื่นเต้นนั้น แต่รัศมีบนกายของพวกเขาก็เผยความแข็งแกร่งออกมา และพวกเขาก็คือบรรพชนมหายานทั้งสามท่านนั่นเอง
มหายานหกท่านมาถึงในเวลาพร้อมกัน นอกจากหานลี่แล้ว คนอีกสามกลุ่ม สีหน้าก็ดูเปลี่ยนไป
ในเวลานี้ หลังจากที่เซียวหมิงกวาดตามองดูผู้อื่นแล้ว ก็มองเห็นว่าหานลี่เองก็อยู่ด้วย รูม่านตาของเขาหดลงทันที จากนั้นเอ่ยออกมาเบาๆ พร้อมกับเสียงหัวเราะ
“ที่แท้นักพรตหานเองก็มาที่นี้เช่นกัน หากว่ารู้เช่นนี้ตั้งแต่ต้น ผู้แซ่เซียวก็คงจะร่วมเดินทางมาด้วยแล้ว พี่หานก่อนหน้านี้เคยเอ่ยเอาไว้ว่ามีเรื่องสำคัญให้ต้องทำ? หรือว่าจะหมายถึงพระราชวังเทียนติ่งอย่างนั้นหรือ?”
“ไม่ผิดแล้ว ข้าน้อยเองก็ไม่คาดคิดว่าเรื่องที่นักพรตเซียวจะทำนั้น กลับเป็นเป้าหมายเดียวกับผู้แซ่หาน ไม่งั้น วันนั้นก็คงไม่เอ่ยคำพูดเช่นนั้นออกมา” หานลี่ตอบไปอย่างสงบ แลไม่ได้เผยท่าทีประหลาดใจจนเกินไป
“ข้าเชื่อว่าด้วยสถานะของนักพรตแล้ว คงจะไม่กล่าวคำหลอกลวงออกมา แต่ว่าก็เป็นที่น่าเสียดายยิ่งนัก ข้ากับนักพรตได้เจอกันแล้ว แต่เดิมต้องการจะต้อนรับให้ดีสักรอบหนึ่ง” ชายผู้สวมหน้ากากถอนหายใจออกมา ราวกับว่ารู้สึกถึงความเสียดายจริงๆ
“เฮ่อเฮ่อ บรรพชนปีศาจผู้ยิ่งใหญ่โด่งดัง เมื่อไรกันที่เปลี่ยนไปเป็นอารมณ์อ่อนไหวเช่นนี้ เพียงแค่เวลาไม่กี่ปีที่ไม่เจอกัน กักตนจนนานเกินไป อารมณ์ก็เลยดูเปลี่ยนไปมาสินะ” หญิงสาวจากคู่นักพรตนั้น จู่ก็เอ่ยออกมาพร้อมกับเสียงหัวเราะ
“ที่แท้ก็เป็นบรรพชนอู๋โก้วกับหวาซีเซียนจื่อคู่สามีภรรยานั่นเอง ได้ยินมาว่าพี่อู๋โก้วในปีนั้นได้พบกับมังกรร้าย เมื่อสิ้นสุดการต่อสู้แล้วก็กลับมาพร้อมกับอาการบาดเจ็บ ไม่ทราบว่าตอนนี้ฟื้นคืนพลังปราณมาแล้วหรือยัง” เซียวหมิงเมื่อได้ยินเข้า ก็หันกลับไม่มองยังหญิงสาวทรงเสน่ห์และชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านข้าง เอ่ยถามออกมาด้วยรอยยิ้มเช่นกัน
“ขอบคุณนักพรตเซียวที่เป็นห่วง สามีข้าไม่เพียงแต่ฟื้นคืนพลังปราณกลับมาแล้ว หลายปีมายังมีอีกหลายโอกาส มาตอนนี้พลังความแข็งแกร่งไม่ได้ลดน้อยลงไปกว่าก่อนหน้านี้อีกด้วย” หวาซีเซียนจื่อไม่ทันได้รอให้ชายที่ยืนอยู่ด้านข้างได้เอ่ยตอบ ก็แย่งตอบออกมาเสียก่อน
‘บรรพชนอู๋โก้ว’ ท่านนั้น ทำเพียงแค่ยิ้ม ‘อย่างเรียบง่ายและซื่อสัตย์’ ออกมา ราวกับว่าไม่ได้จะตั้งใจเอ่ยปากออกมา เซียวหมิงเมื่อเห็นเข้า คิ้วก็แอบขมวดขึ้น สายตาจ้องมองไปที่คู่มหายานที่มีชื่อเสียงอยู่ในแผ่นดินใหญ่นภาสีเลือดอย่างแปลกประหลาด แต่หลังจากที่เกิดเปลี่ยนใจแล้วขึ้นมา ก็ไม่ได้สนใจอะไรอีกแล้วหันไปมองยังชายร่างใหญ่ในชุดผ้าแพร
“เจ้าสำนักเฝิง ไม่คิดว่าท่านที่เป็นผู้ก่อตั้งสำนัก จะเสี่ยงออกมาด้วยตนเอง อีกทั้งยังนำลูกศิษย์ในสำนักออกมามากมายถึงเพียงนี้ ไม่กลัวว่าจะนำผู้มีฝีมือในสำนักมาฝังกลบที่นี้ทั้งหมดอีกหรือ แล้วทำให้สำนักของท่านอายุสั้นลงอย่างนั้นหรือ?” เซียวหมิงดูเหมือนว่าจะเป็นศัตรูกับฝ่ายตรงข้าม น้ำเสียงจึงได้เปลี่ยนไปดูเย็นชา
“หืม เจ้าเองยังมาได้แล้วทำไมข้าถึงมาไม่ได้ หรือว่าเทียนติ่งเจินเหรินนี้จะต้องเป็นคนของสำนักกระดูกโลหิตเท่านั้น? อีกอย่างหนึ่งข้าแต่เดิมนั้นก็อาศัยวิธีของเขตอาคมจัดตั้งสำนักขึ้นมา ครั้งนี้ต้องการสมบัติล้ำค่าของพระราชวังเทียนติ่ง แน่นอนว่าจะต้องนำลูกศิษย์ออกมาให้เพียงพอต่อการสร้างเขตอาคม ส่วนเรื่องที่ว่าสำนักของข้าจะอายุสั้นหรือไม่นั้น ก็คงไม่จำเป็นต้องให้พี่เซียวมาถามไถ่” ชายร่างใหญ่ในชุดแพรส่งเสียงฮึมฮัมออกมา ท่ามกลางลูกศิษย์มากมาย เอ่ยออกมาอย่างไม่เกรงใจ
เซียวหมิงเมื่อได้ยินคำตอบของชายร่างใหญ่เช่นนี้ แววตาก็ปรากฏร่องรอยดุร้ายพาดผ่านมา แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาให้มากความเช่นกัน จากนั้นก็หันไปมองยังกลุ่มชายหนุ่มไม่มีชื่อที่มีลักษณะเหมือนกัน กำหมัดแล้วเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
“ชื่อเสียงของนักพรตเซวี่ยเหอ ผู้แซ่เซียวเองก็เคยได้ยินมานานแล้ว นักพรตสามารถละทิ้งพลังยุทธ์เดิมของมหายานได้ นำปราณก่อกำเนิดแบ่งออกมาเป็นห้าส่วน เวลาฝึกฝนก็ฝึกพร้อมกันทั้งห้ากาย วางแผนที่จะสำเร็จถึงขั้นมหายานพร้อมกัน ความเพียรพยายามนั้นข้าน้อยคงไม่อาจเทียบได้” เซียวหมิงเผชิญหน้าเข้าชายหนุ่มทั้งห้าที่มีพลังยุทธ์ไม่เกินไปจากระดับผสานอินทรีย์ แววกลับเผยความหวาดกลัวออกมาในคราวแรก จากนั้นก็เอ่ยตอบกลับไปด้วยความเกรงใจผิดปกติ
“ที่ข้าทำเช่นนี้ ก็เพียงแต่ความพยายามอยากมีชีวิตอยู่ในความตายเท่านั้น เป็นเพียงแค่ชื่อเสียงบ้าๆ บอๆ เท่านั้น เซวี่ยเหอก็ได้ยินชื่อเสียงของท่านมานานแล้ว” ชายหนุ่มทั้งห้าตอบออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาสีหน้าไม่เปลี่ยน ราวกับว่าสูญเสียความรู้สึกไปแล้วจริงๆ
เซียวหมิงยิ้มออกมาเล็กน้อย ในตอนที่คิดจะเอ่ยอะไรออกมาอีกนั้น สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที ดวงตาจับจ้องไปที่เสาลำแสงทั้งห้านั้น
นาทีถัดมา เสาที่แต่เดิมนั้นมีขนาดใหญ่มหึมาอย่างประหลาดนั้น จู่ๆ ก็ส่งเสียงดังหึ่งหึ่งออกมา จากนั้นก็แผ่ขยายไปทั่วทุกทิศอย่างรวดเร็วโดยไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ความเร็วนั้นราวกับเพียงแค่เสียงวาบขึ้นมาเสาลำแสงนั้นก็กลายเป็นหมอกแสงห้าสี ปกคลุมไปทั่วทั้งแอ่งน้ำนั้นไว้ด้านใน
ในเวลานี้ เซียวหมิง หานลี่และคนอื่นๆ ไม่จำต้องให้ผู้ใดเอ่ยเตือนออกมา ก็พุ่งออกมาด้านนอกของแอ่งน้ำนั้นก่อนแล้วก้าวหนึ่งแล้วยืนมองทุกอย่างเบื้องหน้าด้วยท่าทีเคร่งขรึม
ภายในม่านแสงห้าสีนั้นเกิดเสียงดังกึกก้องออกมา ตามมาด้วยเกิดความสั่นไหวไปในพื้นที่กว้างพันลี้หรือเหนืออากาศขึ้นไป จากนั้นก็แตกแยกออกเป็นร่องสีขาวขุ่นกลางอากาศ และเมื่อเวลาผ่านไปก็กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ภาพเงาของพระราชวังวิจิตรประหลาดปรากฏขึ้นตรงร่องนั้น
หลังจากที่เสียงดังคำรามนั้นหยุดลง ม่านแสงทั้งห้าสีก็ส่องประกายขึ้น กลายเป็นลำแสงนับไม่ถ้วนม้วนตัวเข้าไปยังช่องว่างนั้น แล้วจึงปิดผนึกทางเข้าทั้งหมดเอาไว้
ตามมาด้วยท้องฟ้าเหนือแอ่งน้ำนั้นสั่นไหวขึ้นอย่างรุนแรงอีกครั้ง กลางอากาศนั้นปรากฏประตูสูงนับหมื่นจั้งขึ้นมา ห้าสีสัน ภายนอกประดับไปด้วยอักรูนสีทองเงินนับไม่ถ้วน ราวกับว่าไม่ใช่ของในโลกมนุษย์อย่างไรอย่างนั้น
หานลี่เมื่อเห็นอักษรรูนสีเงินทองตรงประตูแล้ว รูม่านตาก็หดลง
อักษรรูนสีเงินทองเหล่านี้เป็นอักษรจ้วนทองและอักษรสลักเงินที่มีเฉพาะในแดนเซียนเท่านั้น
เทียนติ่งเจินเหรินท่านนี้สมแล้วกับเป็นผู้ที่สำเร็จทยานขึ้นสู่สวรรค์ในตอนนั้น ถึงกับเชี่ยวชาญในตำราจิตวิญญาณทั้งสองชนิดนี้ของแดนเซียน
“และนี้ก็คือประตูใหญ่ของพระราชวังเทียนติ่ง ขอเพียงแค่มีความสามารถเปิดมันออกแล้วเข้าไปยังด้านในได้ ก็สามารถใช้กุญแจทำลายผนึกด้านหลัง เข้าไปยังพระราชวังเทียนติ่ง” ดวงตาคู่สวยของหวาซีเซียนจื่อจ้องเขม็งไปยังประตูบานใหญ่ ใบหน้าเผยท่าทีหลงไหลออกมา
“หืม ประตูนี้ปรากฏออกมาแล้ว เกรงว่าอีกพริบตาเดียวผู้อื่นก็คงจะมาถึงแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าเองก็ไม่เกรงใจแล้ว ขอตัวเข้าไปด้านในก่อนก็แล้วกัน” ความโลภเผยออกมาบนใบหน้าของชายชุดแพรร่างใหญ่เช่นกัน แล้วก็เอ่ยออกมาอย่างไม่เกรงใจ