แผ่นดินใหญ่นภาสีเลือด ซึ่งเป็นดินแดนแห่งสัตว์อสูรที่มีชื่อเสียง หานลี่และพรรคพวกที่ร่วมเดินทางกันกำลังขับเรือเหาะที่ไม่สะดุดตาลอยละล่องอยู่กลางอากาศอยู่เหนือทะเลสาบขนาดใหญ่กลางทุ่งหญ้า
หานลี่ยืนอยู่ด้านหน้าของเรือเหาะ ใบหน้าไม่มีร่องรอยของความรู้สึกใด และมองไม่ออกว่าตอนนี้ในใจของเขากำลังครุ่นคิดถึงเรื่องใดกัน
จูกั่วเอ๋อร์แล้วบรรพชนฮวาสือที่ยืนอยู่ด้านหลังเล็กน้อยนั้น กลับมีความรู้สึกท้อแท้หดหู่อยู่บ้าง
ก่อนหน้านั้นไม่นาน พวกเขาเพิ่งจะตรวจสอบแท่นบูชาโบราณแห่งสุดท้ายในทุ่งหญ้าเสร็จสิ้น แต่ก็ไม่พบอะไรเลย ทำให้ทั้งสองรู้สึกคับข้องใจอยู่บ้าง
ทันใดนั้น บนกายของหานลี่ก็เกิดเสียงดังหึ่งๆ ออกมา
ท่าทางของหานลี่เปลี่ยนไป แขนเสื้อสั่นไหวขึ้น ชั่วขณะนั้นแผ่นอาคมสีฟ้าอ่อนก็ลอยออกมาจากด้านในนั้น พื้นผิวปรากฏอักษรสีเงินนับสิบออกมา จากนั้นก็มีลำแสงวิญญาณเปล่งประกายออกมาจางๆ
“ไป ไปยังเมืองเทียนหม่าที่อยู่ใกล้นี้กัน” สองตาของหานลี่ทั้งคู่หรี่ลง ออกเสียงสั่งออกมาโดยไม่ลังเล
บรรพชนฮวาสือถึงแม้ว่าจะรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ว่ามือกับบริกรรมออกไป แล้วหันเรือกลับไปยังอีกทางหนึ่ง แล้วพุ่งออกในทันที
“ผู้อาวุโสหาน เกิดเรื่องอะไรขึ้น หรือว่าจะเป็น “การต่อสู้ของผู้แข็งแกร่ง” นั้นจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว” จูกั่วเอ๋อร์กะพริบดวงตาคู่โตออกมา แล้วอดที่จะถามออกมาโดยตรงไม่ได้
เรื่องที่เกี่ยวข้องกับการต่อสู้ของผู้แข็งแกร่งนั้น หานลี่ถึงแม้ว่าจะไม่ได้บอกรายละเอียดทั้งหมดให้แก่
จูกั่วเอ๋อร์ทั้งสองคน แต่ก็เผยบางส่วนที่ไม่สำคัญออกมาแล้ว
จูกั่วเอ๋อร์ถึงแม้ว่าจะไม่รู้ว่าการต่อสู้ของผู้แข็งแกร่งนั้นคืออะไร แต่ก็รู้ว่าหานลี่ในช่วงเวลาหนึ่งจะต้องไปยังที่แห่งหนึ่งเพื่อต่อสู้กับผู้แข็งแกร่งบางส่วน จึงได้เอ่ยออกมาเช่นนี้
“ถึงเวลาแล้วจริงๆ เฮ่อเฮ่อ ตอนต้นในเมื่อรับผลประโยชน์จากกลุ่มพันธมิตรมาแล้ว ก็ไม่อาจที่จะกลับคำไม่ไปไม่ได้แล้ว” หานลี่เอ่ยตอบกลับไปอย่างไม่ใส่ใจ
“ถึงแม้ว่ากลุ่มพันธมิตรการค้าเฮ่อเหลียนจะมีกองกำลังของมหายานมากมาย ยังต้องเชิญให้ผู้อาวุโสลงมือช่วยเหลือ เห็นได้ว่าการต่อสู้ของผู้แข็งแกร่งในครั้งนี้กว่าครึ่งคงจะไม่ง่ายนัก ผู้อาวุโสคงต้องระวังสักเล็กน้อย” จูกั่วเอ๋อร์ดูเป็นกังวลอยู่หลายส่วน “วางใจได้ ด้วยอิทธิฤทธิ์ของข้าในตอนนี้ ผู้ที่สามารถคุกคามข้าได้ในโลกนี้มีเพียงแค่ไม่กี่คน และต่อให้จะไม่ชนะคู่ต่อสู้ ข้าจะถอยออกมาโดยปลอดภัยก็ไม่เป็นอันใด” หลังจากที่หานลี่ยิ้มออกมาแล้ว เอ่ยตอบออกมาอย่างมั่นใจ
เมื่อเห็นว่าหานลี่มั่นใจเช่นนี้ จูกั่วเอ๋อร์และบรรพชนฮวาสือสบตากันแล้ว ก็รู้สึกวางใจขึ้นไม่น้อย
หลังจากนั้นครึ่งเดือน หานลี่และคนอื่นๆ ในที่สุดก็ลอยออกจากทุ่งหญ้าแห่งนั้น มาถึงยังเมืองขนาดใหญ่ใกล้ๆ กับทุ่งหญ้า
เมืองนี้แตกต่างจากเมืองทั่วๆ ไป ด้านนอกกำแพงเมืองใหญ่นั้นปลูกไผ่สีดำเขียวเอาไว้เป็นแถวหนา เรียงเป็นแถวแนวกำแพงล้อมรอบเมืองเอาไว้ตรงกลาง
อีกทั้งบนกำแพงเมืองนี้ ทุกช่วงระยะห่างหนึ่งลี้ก็จะมีรูปปั้นม้าบินสูงตระหง่านสิบจั้งอยู่ ทั่วทั้งตัวมีสีเทาขาว ปีกราวกับว่ามีชีวิต ท่าทางก็ดูไม่เหมือนกัน
หานลี่และคนอื่นๆ ที่อยู่บนเรือเหาะนั้นไม่แม้แต่จะลงจอดยังประตูเมือง แต่กลับผ่านเข้าไปกลางอากาศเหนือเมืองไปอย่างใหญ่โต ท่ามกลางสายตาตื่นตกใจของผู้บำเพ็ญเพียงระดับล่างระดับกลางมากมาย แล้วกระแทกเข้ากับเขตต้องห้ามที่ดูเหมือนว่าจะมองไม่เห็นของเมืองนี้
แต่ว่าเรือเหาะลำนี้เพียงแค่ลดระดับเล็กน้อย แล้วสั่นไหวขึ้นอีกครั้งพุ่งตรงไปยังใจกลางเมืองขนาดใหญ่นี้
“บรรพชนมหายาน”
ด้านล่างนั้นก็มีหลายคนร้องเสียงหลงออกมาในทันที
ทหารยามที่อยู่บนกำแพงเดิมนั้นมีท่าทีระแวดระวังภัยอยู่ก็ตื่นตะลึงออกมาในทันที จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นมาใช้แววตาเลื่อมใสขึ้นมามองไปยังเรือเหาะที่อยู่ไกลๆ นั้น
ทำได้เพียงแต่ปล่อยให้เรือเหาะลำนั้นเข้าไปยังเขตต้องห้ามของเมืองโดยไม่สนใจ ผู้ที่อยู่ในระดับผสานอินทรีย์ทั่วไปแล้วไม่อาจทำเช่นนี้ได้ มีเพียงแค่ผู้ที่อยู่ในขั้นของมหายานขึ้นเท่านั้นถึงจะมีอิทธิฤทธิ์เช่นนี้
และถึงแม้ว่าเมืองทั่วไปจะมีข้อห้ามเข้มงวดไม่ให้คนภายนอกบินขึ้นไปกลางอากาศ แต่ว่าสำหรับผู้ที่อยู่ในขั้นของมหายานไปจนถึงระดับผสานอินทรีย์ที่แข็งแกร่งบางท่านแล้ว ส่วนมากแล้วจะถูกละเลยไป
และแน่นอนว่าขึ้นอยู่กับระดับและจำนวนของผู้แข็งแกร่งที่คุ้มกันเมืองด้วย แต่ละเมืองจะแตกต่างกันออกไป
เมืองเทียนหม่าถึงแม้ว่าจะไม่เล็ก แต่ว่าผู้แข็งแกร่งที่ดูแลคุ้มกันเมืองนี้นั้นกลับไม่มีบรรพชนมหายานเลย มีเพียงแค่ผู้บำเพ็ญเพียรในระดับผสานอินทรีย์เท่านั้น ทหารยามเหล่านี้ไม่มีทางที่จะกล้ายั่วยุบรรพชนมหายานท่านนี้เป็นแน่
เพราะว่าสามารถใช้ศาตรายุทธ์เหาะเหินเช่นนี้ เพียงแค่ชั่วครู่เดียว หานลี่และคนอื่นๆ จึงได้ปรากฏยังอาคารขนาดใหญ่ของกลุ่มพันธมิตรตรงใจกลางเมือง
หานลี่เก็บเรือเหาะนั้นกลับมา ในตอนที่เพิ่งจะลงจากกลางอากาศนั้น ปรากฏชายหญิงสองแถวเดินออกมาจากกลางอาคาร ทั้งหมดพากันทำความเคารพให้แก่หานลี่ ชายชราผมหงอกอายุราวหกสิบเจ็ดสิบปีเป็นผู้ที่เอ่ยทำความเคารพออกมาเป็นคนแรก
“คารวะผู้อาวุโสหาน ชนรุ่นหลังและคนอื่นๆ ได้รับข่าวมาจากสาขาหลักมาหลายวันแล้ว และได้เตรียมเขตอาคมส่งตัวเอาไว้เสร็จเรียบร้อยแล้วขอรับ ผู้อาวุโสต้องการจะพักผ่อนยังที่ชนรุ่นหลังก่อนหรือไม่ แล้วค่อยออกเดินทางในภายหลัง?”
“กลุ่มพันธมิตรการค้าของพวกเจ้าช่างทำงานกันได้เรียบร้อยยิ่งนัก พักผ่อนคงไม่จำเป็น รีบไปเตรียมเรื่องส่งตัวเถอะ” แววตาของหานลี่เฉียบคมราวกับมีดมองไปยังใบหน้าของชายชรา จากนั้นก็เอ่ยออกมาอย่างเรียบเฉยประโยคหนึ่ง
“ขอรับ ชนรุ่นหลังจะนำทางให้แก่ผู้อาวุโสเดี่ยวนี้” ชายชราก้มศีรษะลง เอ่ยตอบออกมาอย่างไม่ลังเล
หานลี่พยักหน้าออกมา แล้วเดินนำหน้าออกไปก้าวใหญ่ไปยังประตูบานใหญ่ด้านหน้าของเขา
จูกั่วเอ๋อร์และบรรพชนฮวาสือแน่นอนว่าย่อมติดตามไปทางด้านหลัง
หลังจากนั้นเพียงไม่นาน หานลี่ก็มาปรากฏตัวยังห้องโถงลับใต้ดิน
ตรงใจกลางของห้องโถงนั้น มีเขตอาคมสีเงินจางๆ ที่เต็มไปด้วยอักขระวิญญาณแน่นหนา
หานลี่ทำเพียงแค่เหลือบตามองออกไปเพียงครู่ คิ้วก็ขมวดมุ่นขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็เอ่ยปากถามออกมาประโยคหนึ่ง
“เขตอาคมส่งตัวนี้คลอบคลุมไปทั่วท้องฟ้า สถานที่จะส่งตัวไปนั้นใช่ดินแดนเล็กๆ นั่นใช่หรือไม่?”
“ดวงตาของผู้อาวุโสเป็นดั่งคบเพลิง ใต้เท้าปี้อิ่งนั้นให้ผู้อาวุโสตรงไปยังดินแดนเล็กๆ นั่นโดยที่ไม่ต้องไปรวมตัวกับผู้อื่น” ชายชราเอ่ยตอบกลับไปตามตรง
“ในเมื่อเป็นนักพรตปี้ที่เตรียมการเอาไว้ คาดว่าทางด้านนั้นก็คงจัดเตรียมเอาไว้โดยประมาณแล้ว เริ่มส่งตัวกันเถอะ” หานลี่ค่อยๆ ยิ้มออกมาเล็กน้อย จากนั้นก็เดินเข้าไปยังกลางเขตอาคมนั้น
เมื่อเกิดความเคลื่อนไหว พวกของจูกั่วเอ๋อร์ทั้งสองคนเพียงชั่วพริบตาก็เข้ามาอยู่ด้านในนั้น
หลังจากที่ชายชราส่งเสียงตอบรับออกมาแล้ว มือข้างหนึ่งก็พลิกขึ้นมา ฝ่ามือก็มีป้ายหยกสีฟ้าอ่อนแผ่นหนึ่งออกมา หลังจากที่สั่นไหวขึ้น ลำแสงสีเงินก็ม้วนตัวลอยออกมา แล้วหายวับเข้าไปยังเขตอาคม
วินาทีถัดมา ทั่วทั้งเขตอาคมก็ส่งเสียงดังหึ่งๆ ลำแสงสีเงินส่องประกาย พวกของหานลี่ทั้งสามคนก็พร่ามัวแล้วหายไป
…
อีกด้านหนึ่งของดินแดน เขตอาคมในที่โล่งแจ้งล้อมรอบด้วยต้นไม้เขียวชอุ่ม หลังจากที่ลำแสงสว่างวาบขึ้นมา หานลี่ทั้งสามคนเพียงแค่พริบตาก็ถูกส่งออกมา
“พี่หาน ในที่สุดท่านก็มาถึงตรงตามเวลา หลายปีไม่พบกัน ทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือไม่?” น้ำเสียงดูอบอุ่นดังลอยออกมาจากด้านหลังของต้นไม้บริเวณใกล้เคียง
ตามมาด้วยต้นไม้ตรงนั้นกลับราวกับมีชีวิตขึ้นมาจริงๆ แล้วก็มีคนเดินมาจากด้านในนั้นสองคน
ด้านหน้านั้นเป็นชายชราผู้หนึ่ง ใบหน้าเหี่ยวเหลือง สวมชุดสีเขียว ทั่วทั้งใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
ส่วนด้านหลังนั้นสาวงามสวมชุดแพร ในมือนั้นอุ้มสัตว์อสูรขนเงินตัวเล็กเอาไว้ ใบหน้างามสง่า ท่าทางเย็นชาผิดปกติ
“นักพรตปี้อิ่ง?” หานลี่หลังจากที่จ้องมองชายชราแล้ว หลังจากที่สัมผัสได้ถึงพลังที่คุ้นเคยบนกายของอีกฝ่ายแล้ว ก็เลิกคิ้วขึ้นแล้วเอ่ยถามออกมา
“ไม่ผิด เป็นผู้ชราเอง ในวันนั้นที่ใช้ภาพกลืนกินพระพุทธเจ้าพบกันท่านนั้น หวังว่านักพรตจะไม่เก็บมาใส่ใจ การต่อสู้ของผู้แข็งแกร่งในครั้งนี้ ยังต้องพึ่งพาการช่วยเหลือจากพี่หานอีก” ปี้อิ่งเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้ม
“พี่ปี้เกรงใจกันเกินไปแล้ว ข้าน้อยวันนั้นในเมื่อรับปากแล้ว ลงแรงในครั้งนี้เป็นความชอบธรรมที่ไม่อาจละทิ้งได้” หานลี่เองก็เผยรอยยิ้มออกมาเช่นกัน
ปี้อิ่งเมื่อได้ยินแล้วก็หัวเราะฮาฮาออกมา กายหันไปอีกด้านหนึ่ง และเอ่ยแนะนำหญิงสาวงามที่อยู่ด้านข้างให้แก่หานลี่
“ท่านนี้คือผู้อาวุโสในกลุ่มพันธมิตรของพวกเราผู้อาวุโสเหวินซินเฟิ่ง เกิดในสำนักใจลวง พลังแข็งแกร่งยิ่งนัก ถือเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งอันดับสองในหมู่ผู้อาวุโสของนภาสีเลือด และก็เป็นหนึ่งในผู้ที่จะร่วมต่อสู้ในครั้งนี้ด้วย”
“สำนักใจลวง? ลัทธินี้เหมือนว่าข้าจะเคยได้ยินมาก่อน ว่ากันว่าเป็นลัทธิที่ใหญ่ที่สุดในทางเหนือของนภาสีเลือด ถึงแม้ว่าจะมีลูกศิษย์ไม่มากนัก แต่ต่างก็เป็นผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกันทั้งสิ้น” ใบหน้าของหานลี่เผยความประหลาดใจแล้วเอ่ยออกมา
ผ่านการเดินทางมาหลายปีในแผ่นดินใหญ่นภาสีเลือด เขาเองก็ไม่ใช่ว่าจะเหมือนในตอนต้นที่ไม่คุ้นเคยกับกองกำลังมากมายเหล่านั้นแล้ว เมื่อได้ยินคำของปี้อิ่ง ก็รู้ที่มาของอีกฝ่ายได้ในทันที อดไม่ได้ที่จะแปลกใจออกมา
สำนักที่แข็งแกร่งไม่น้อยไปกว่าสำนักโลหิตกระดูกเช่นนี้ ก็เข้าร่วมกับกลุ่มพันธมิตรการค้าเฮ่อเหลียนด้วยเช่นกัน ดูเหมือนว่าจะขัดแย้งกันกับเหตุผลอยู่ไม่น้อย
และดูเหมือนว่ามองความสงสัยในใจของหานลี่ออก เหวินซินเฟิ่งหลังจากที่ยิ้มออกมาแล้ว เอ่ยกับหานลี่ออกมาด้วยน้ำเสียงรื่นรมย์
“นักพรตหานไม่ต้องรู้สึกแปลกใจไป ปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งสำนักของเรา จริงๆ แล้วก็มาจากกลุ่มพันธมิตรการค้า และตั้งแต่ที่สำนักของเราก่อตั้งขึ้นมา ก็ร่วมเป็นร่วมตายกับกลุ่มพันธมิตรมาโดยตลอด เพราะฉะนั้นข้าจึงรับหน้าที่เป็นผู้อาวุโสของกลุ่มพันธมิตร ก็เป็นเรื่องที่ควรแล้ว”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี้เอง เป็นเรื่องที่ข้าน้อยเห็นได้ยากยิ่งนัก” หานลี่เมื่อได้ยินแล้ว ถึงได้รู้สึกตะลึงออกมาเล็กน้อย
“พี่หานเชิญตามผู้ชราเข้าไปพักผ่อนยังที่พักกันก่อนเถอะ ตอนนี้มียังมีระยะห่างจากการต่อสู้ของผู้แข็งแกร่งเพียงแค่สองเดือนเท่านั้น นักพรตเหลยและนักพรตเซวี่ยซาเองก็คงจะมาถึงหลังจากนี้อีกไม่นานนี้แล้ว นักพรตหากว่ายังต้องการอะไรอีก รีบเอ่ยออกมาเป็นพอ กลุ่มพันธมิตรของเราจะต้องพยายามอย่างเต็มที่” ปี้อิ่งเอ่ยออกมาพลางพร้อมทั้งนำหานลี่และคนอื่นๆ เดินมาตามทางเล็กๆ
“ในเมื่อพี่ปี้เอ่ยออกมาเช่นนี้แล้ว ข้าน้อยหากว่ามีอะไรที่ต้องการจริงๆ แล้ว แน่นอนว่าย่อมไม่เกรงใจ” หานลี่เอ่ยตอบออกมาพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย
ภายใต้การนำทางของพวกปี้อิ่งทั้งสองคน คนทั้งกลุ่มนี้เพียงแค่ครู่เดียวก็เดินออกมาจากป่าไม้ที่ล้อมรอบเอาไว้ ปรากฏยังด้านหน้ากลุ่มอาคารขนาดใหญ่ที่คล้ายกับป้อมปราการ
“ที่นี้นั้นหนึ่งในฐานที่มั่นสามสิบหกแห่งที่กลุ่มพันธมิตรของเราก่อตั้งขึ้น และยังห่างจากฐานที่มั่นที่ใกล้ที่สุดของพื้นที่ควบคุมของเหล่าผีพวกนั้นในแดนยมโลกอีกด้วย ห่างออกไปหนึ่งล้านลี้ก็จะเป็นที่ตั้งของผีเหล่านั้น เมื่อถึงเวลาต่อสู้แล้ว ก็จะสร้างขึ้นในเขตควบคุมของพวกเราทั้งสองฝ่ายหรือตรงจุดแบ่งเขตแดน เมื่อถึงเวลานั้นนอกจากพวกเราที่เข้าร่วมการต่อสู้ของผู้แข็งแกร่งแล้ว แน่นอนว่ายังจะส่งกองทัพออกไปอีกด้วย เผื่อเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น…” ปี้อิ่งนำหานลี่และคนอื่นๆ มายังป้อมปราการ ขณะเดียวกันก็ไม่หยุดที่เอ่ยแนะนำออกมา
ด้านหน้าประตูใหญ่ของป้อมปราการ มีทหารยามชุดเกราะระดับกลางระดับสูงนับร้อยคนคอยคุ้มกันอยู่
บนกำแพงสูงนับร้อยจั้งราวกับหน้าผา ยังมีเหล่าหุ่นเชิดดำเข้มที่มีรูปลักษณ์ครึ่งมนุษย์ครึ่งอสูรเดินไปมาอยู่อีกด้วย
กลางอากาศเหนือป้อมปราการกลับมีรัศมีลำแสงหลากหลายสีปรากฏออกมา เขตต้องห้ามต่างๆ หนาแน่นสั่นไหวขึ้นมา แล้วปกคลุมไปทั่วทั้งพื้นที่เล็กๆ
ทั่วทั้งป้อมปราการถูกป้องกันเอาไว้อย่างแน่นหนา
เมื่อมีปี้อิ่งเป็นคนนำทางอยู่ด้านหน้าแล้ว ทหารยามที่คุ้มกันอยู่ตรงประตูใหญ่แน่นอนว่าย่อมไม่ขัดขวางแม้แต่น้อย กลับกันหลังจากที่คำนับออกมาด้วยความเคารพแล้ว ก็รีบถอยกลับไปด้านหลังสองก้าว
กลุ่มคนนั้นเดินเข้าไปด้านในป้อมปราการด้วยท่าทีใหญ่โต
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม หานลี่ก็อยู่ด้านในหอคอยเดี่ยวแห่งหนึ่งที่อยู่ภายในป้อมปราการ และนั่งทำสมาธิอยู่ภายในชั้นบนสุดของหอคอยแห่งนั้น
และเพื่อรับมือสำหรับการต่อสู้ของผู้แข็งแกร่งในครั้งนี้ เขาได้สั่งให้จูกั่วเอ๋อร์และบรรพชนฮวาสือคอยผลัดกันเฝ้าอยู่ด้านนอก ส่วนตนนั้นอยู่ภายในห้องลับนั่งทำสมาธิฝึกปรือพลัง เตรียมพร้อมพักฟื้นให้ดี