ระยะเวลาสองเดือนผ่านไปเร็วเพียงพริบตาเดียว
ในวันนี้ ในขณะที่หานลี่กำลังนั่งเงียบๆ อยู่ภายในห้องลับสูดลมหายใจฝึกปรือพลังอยู่นั้น ด้านนอกจู่ๆ ก็มีเสียงเคารพของจูกั่วเอ๋อร์ดังขึ้น
“ผู้อาวุโสหาน ใต้เท้าปี้อิ่งส่งคนมาเชิญท่านไปสักรอบหนึ่ง บอกว่าเวลาของการต่อสู้ระหว่างผู้แข็งแกร่งนั้นมาถึงแล้ว”
“รู้แล้ว ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ การเดินทางครั้งนี้ไม่รู้ว่าจะมีอันตรายหรือไม่ เจ้าและบรรพชนฮวาสือก็รออยู่ที่นี้เถิด” ดวงตาทั้งสองของหานลี่เปิดขึ้นมา เอ่ยกลับไปด้วยความใจเย็นประโยคหนึ่ง
ตามมาด้วยผิวกายของเขาเปล่งประกายออกมา แล้วกลายเป็นสายรุ้งกลมอันน่าประหลาดใจจากไป หลังจากที่สว่างวาบขึ้นมาแล้ว ก็พุ่งตรงทะลุกลางอากาศตรงประตูใหญ่จนลับตาไป
หลังจากนั้นอีกครึ่งชั่วยาม ภายในใจกลางป้อมปราการอาคารหลังใหญ่ที่สุดเหมือนว่าเป็นท้องพระโรง
หานลี่ในที่สุดก็ได้พบปี้อิ่ง เหวินซินเฟิ่งและชายหนุ่มรูปร่างสูงผอม ใบหน้าเต็มไปด้วยความเย็นชา ทั่วทั้งกายสวมชุดเกราะสีเงิน
“ท่านนี้คือพี่เหลยหยวน เป็นผู้ดูแลรับผิดชอบแผ่นดินใหญ่ฟ้าคำรามของกลุ่มพันธมิตรเรา สถานะเหมือนกันกับข้าในนภาสีเลือดไม่ต่างกัน สำหรับนักพรตเซวี่ยซานั้นระหว่างการเดินทางพบเข้ากับปัญหาเล็กน้อย ช้าที่สุดก็คงจะมาถึงในวันพรุ่งนี้ แต่ว่าตอนนี้พวกเรามาเริ่มก้าวแรกกันก่อนเถอะ หวังว่าทุกท่านคงจะไม่มีอะไรขัดข้อง” ปี้อิ่งเมื่อเห็นว่าหานลี่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา หลังจากที่เอ่ยแนะนำผู้เข้าร่วมการต่อสู้ของผู้แข็งแกร่งคนที่สี่ด้านข้างออกมาแล้ว จึงได้เอ่ยออกมาเช่นนี้ในทันที
“การต่อสู้ของผู้แข็งแกร่งครั้งนี้ในเมื่อท่านเป็นผู้รับผิดชอบ ผู้แซ่เหลยไม่มีทางทำเรื่องยื่นมือออกไปบงการแน่” ชายหนุ่มชุดเกราะสีเงินเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าไร้ซึ่งอารมณ์
หานลี่และเหวินซินเฟิ่งแน่นอนว่าย่อมไม่มีข้อคิดเห็นใด
เพราะเหตุนี้คนกลุ่มนี้หลังจากที่ปรึกษากันสองสามประโยคแล้ว ก็เดินออกไปจากท้องพระโรงในทันที
ด้านนอกอาคารขนาดใหญ่ ได้มีทหารชุดเกราะติดอาวุธยืนเรียงแถวกันหนาแน่น
กลางอากาศเหนือป้อมปราการ มีศาสตรายุทธ์เหาะเหินขนาดใหญ่ราวกับเกาะอยู่นับสิบ ถูกกดข่มอยู่กลางอากาศมืดมิด
ปี้อิ่งหลังจากที่ออกคำสั่งออกมาแล้ว ขณะนั้นทหารชุดเกราะเหล่านี้ทยอยกันเข้าไปใน “เกาะ” เหล่านี้ทันที
“มีเพียงแค่คนเหล่านี้ที่ติดตามพวกเราร่วมการต่อสู้ของผู้แข็งแกร่งอย่างนั้นหรือ?” ชายหนุ่มชุดเกราะเมื่อเห็นฉากนี้เข้า คิ้วก็ขมวดขึ้นแล้วเอ่ยถามออกมาประโยคหนึ่ง
“แน่นอนว่าไม่มีทาง คนเหล่านี้เป็นแค่ภายนอกเท่านั้น ข้าได้ตระเตรียมคนไปยังฐานที่มั่นเอาไว้นานแล้ว ครึ่งเดือนก่อนหน้านั้นได้ประจำจุดนัดพบเอาไว้เรียบร้อยแล้ว หากว่าพวกผีเหล่านั้นไม่คิดที่จะรักษาสัญญาหรือว่ามีแผนการอื่นใด แน่นอนว่าจะต้องทำให้พวกมันมีทางมาแต่ไร้ทางกลับไป” ปี้อิ่งเอ่ยตอบกลับมาโดยที่ไม่ต้องครุ่นคิด
ชายหนุ่มชุดเกราะเมื่อได้ยินแล้ว ก็พยักหน้าออกมาโดยที่ไม่เอ่ยอะไรออกมาอีก
คนกลุ่มนั้นและทหารชุดเกราะพากันเข้าไปยังศาตรายุทธ์เหาะเหินขนาดใหญ่กลางอากาศสูงนั้น จึงได้เกิดเป็นลำแสงหายเข้าไปยัง “เกาะ” ที่ใหญ่ที่สุดด้วยกัน
วินาทีถัดมา หลังจากที่ศาตรายุทธ์เหาะเหินเหล่านั้นเคลื่อนไหวแล้ว ก็ส่งเสียงดังคำรามออกมาแล้วเดินทางออกไปไกล
หลังจากนั้นเพียงครึ่งวัน กลุ่มผู้เดินทางนับสิบ “เกาะ” ก็มาถึงยังกลางอากาศเหนือเทือกเขาแปลกตา
ในกลางเทือกเขานี้ดูเหมือนราวกับว่าจะมองไม่เห็นเขตแดน ด้านหนึ่งเขียวชอุ่มเต็มไปด้วยนกและดอกไม้หอมหวน อีกด้านหนึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นไอดำมืด สายลมทมิฬพัดเป็นระลอก และราวกับว่าจะได้ยินเสียงร่ำร้องของผีเหล่านี้ดังลอยออกมา
หลังจากที่ “เกาะขนาดใหญ่ยักษ์” สั่นไหวขึ้นแล้ว ก็หยุดนิ่งอยู่ห่างจากเขตแดนมากกว่าสองลี้ ตามมาด้วยด้านบนนั้นเกิดเป็นลำแสงส่องประกายออกมา ทหารชุดเกราะแต่ละกลุ่มก็ทยอยกันลงมาจากด้านบนนั้น บ้างก็ใช้มือบริกรรมคาถาออกมา บ้างก็ยกมือออกมาข้างหนึ่ง อุปกรณ์สร้างเขตอาคมต่างๆ ลอยออกมา จากนั้นก็เริ่มก่อตัวขึ้นเป็นเขตอาคมขนาดใหญ่ด่านล่างนั้นในทันที
ยังมีบางคนที่ขว้างลำแสงลูกบอลสีสันต่างๆ ขึ้นไปบนท้องฟ้า
เสียงดังกึกก้องลอยออกมา!
กำแพงเมืองสูงบางส่วนและอาคารรูปร่างแตกต่างกันออกไปพากันพังทลายลงมา เพียงแค่พริบตาเดียวป้อมปราการขนาดเล็กก็โผล่ขึ้นมาจากกลางอากาศ
ในขณะเดียวกันหุ่นเชิดพร้อมอาวุธเองก็ถูกทหารชุดเกราะดึงออกมาจากกำไลเก็บของ ปรากฏออกมาจากกลางอากาศไปยังบนกำแพงเมือง แล้วก็เริ่มเคลื่อนไหวลาดตระเวนไปมา
ส่วนหานลี่ปี้อิ่งและคนอื่นๆ เหาะออกมาจากเกาะขนาดยักษ์แล้ว กลับพากันมองไปยังเส้นแบ่งเขตแดนที่อยู่ไกลๆ ออกไปของฝ่ายตรงข้ามด้วยกัน
“นักพรตทั้งหลายโปรดมองดูเถิด ยอดเขาหนาวเหน็บทั้งห้าที่ดูเหมือนราวกับนิ้วมือ ก็คือสถานที่ที่พวกเรานัดหมายทำการประลองกัน และเมื่อสงครามครั้งใหญ่เริ่มต้นขึ้น พวกเราทั้งห้าก็ตรงไปยังยอดเขาทั้งห้านั้น และเมื่อผู้ที่เข้าร่วมการต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายมากันจนครบแล้ว แน่นอนว่าจะมีปรมาจารย์เขตอาคมของทั้งสองฝ่าย ต่างก็เริ่มใช้เขตอาคมสองแห่งเพื่อสร้างเขตต้องห้ามป้องกันเอาไว้ ครอบคลุมผู้ต่อสู้เอาไว้ด้านใน และมีเพียงแค่ผู้นำของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเอ่ยออกมาว่า “ยอมแพ้” สองคำนี้ หรือไม่หลังจากที่ล้มตายกันไปแล้ว เขตต้องห้ามป้องกันทั้งสองแห่งนี้ก็จะสลายไปเอง” ปี้อิ่งเอ่ยแนะนำให้แก่หานลี่และคนอื่นๆ ด้วยท่าทีเคร่งขรึมถึงรูปแบบของการต่อสู้ระหว่างผู้แข็งแกร่งโดยประมาณ
“ฝ่ายตรงข้ามคงจะไม่เล่นตุกติกอะไรกับเขตต้องห้ามนี้หรอกนะ” หลังจากที่ดวงตาของเหวินซินเฟิ่งเป็นประกาย ก็เอ่ยถามออกมาในทันที
“วางใจได้ เขตต้องห้ามทั้งสองนี้เหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน ไม่ได้ซับซ้อนอะไร สองฝ่ายสร้างเสร็จแล้วยังให้ปรมาจารย์เขตอาคมร่วมกันตรวจสอบอีกรอบหนึ่ง เมื่อดูว่าไม่มีข้อผิดพลาดอะไรแล้วถึงได้ให้คนของตนเข้าไปยังด้านในนั้น” หลังจากที่ปี้อิ่งยิ้มออกมาแล้ว ก็เอ่ยอธิบายต่ออีกสองประโยค
“หากบนยอดเขาใดยอดเขาหนึ่งสำเร็จอย่างรวดเร็ว จะอนุญาตให้ผู้ที่ชนะเข้าร่วมต่อสู้บนยอดเขาอื่นหรือไม่?” หานลี่แววตาเป็นประกายแล้วเอ่ยถามออกมาประโยคหนึ่ง
“เรื่องนี้ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ตกลงกันเอาไว้ก่อน แต่การต่อสู้ของผู้แข็งแกร่งในครั้งนี้ในเมื่อเพื่อแย่งชิงอำนาจในการควบคุมดินแดนนี้แล้ว แน่นอนว่าย่อมวัดจากพลังโดยรวมของทั้งสองฝ่าย” ปี้อิ่งลูบลงไปยังเคราสั้นของเขา เอ่ยตอบกลับมาด้วยความหมายโดยนัยยะลึกซึ้ง
“ข้าน้อยเข้าใจแล้ว”
ถึงแม้ว่าคำตอบของอีกฝ่ายจะฟังดูคลุมเครืออยู่เล็กน้อย หานลี่ก็ยังเผยรอยยิ้มอย่างแจ่มแจ้งออกมา
“การต่อสู้ในครั้งนี้ไม่ได้มีข้อจำกัดอะไร ขอเพียงแค่สามารถโจมตีฆ่าฝ่ายตรงข้ามแล้ว สมบัติล้ำค่าที่มีอิทธิฤทธิ์ใดก็สามารถใช้ได้ทั้งสิ้น แน่นอนว่าเมื่อพลังยุทธ์มาถึงขั้นนี้ของพวกเรา โจมตีเอาชนะฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ยากอะไร แต่ถ้าหากจำต้องฆ่าจริงๆ แล้วละก็ เกรงว่าคงจะเป็นเรื่องที่ยากยิ่งนัก อีกทั้งอีกฝ่ายก็คงจะไม่ใช่บุคคลธรรมดาทั่วไป เคล็ดวิชาและวิทยายุทธ์ที่บำเพ็ญเพียรมาบางส่วนกับที่พวกเราพบเห็นนั้นค่อนข้างที่แตกต่างกัน นักพรตทุกท่านได้โปรดเพิ่มความระวังสักเล็กน้อย” ปี้อิ่งก็เอ่ยสมทบออกมาอีกประโยคหนึ่ง
“พี่ปี้วางใจได้ ข้าเองก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยพบเจอกับบรรดาผู้แข็งแกร่งของพวกภูตผีเหล่านั้น ได้เตรียม
ศาตราวุธวิเศษเอาไว้แต่เนิ่นแล้ว และถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะแตกต่างจากภูตผีธรรมดาอยู่เล็กน้อย เชื่อว่าคงต้องมีประโยชน์อยู่บ้าง” เหวินซินเฟิ่งใช้นิ้วหยกลูบไล้สัตว์อสูรในอ้อมแขนแล้ว จากนั้นก็เอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มหวาน
“อิทธิฤทธิ์ของเหวินเซียนจื่อ เดิมก็สามารถควบคุมพวกผีเหล่านั้นอยู่หลายส่วน ยังเตรียมสมบัติล้ำค่าบางอย่างอีก เชื่อว่าโอกาสชนะคงจะไม่น้อยไปแน่” ปี้อิ่งเมื่อได้ยินแล้วก็ยินดียิ่งนัก
“เรื่องนี้ก็ยากที่จะพูดไป ข้าได้ยินมาว่าผู้ที่ถูกเรียกว่าราชายมโลกทั้งสิบนั้น ต่างก็เป็นภูตผีที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนของอีกฝ่ายแล้ว หากว่าลงมือขึ้นมาจริงๆ แล้ว เชื่อว่าคงจะรับมือได้ไม่ง่ายนัก” เหวินซินเฟิ่งส่ายศีรษะแล้วเอ่ยออกมา
“ฮาฮา เซียนจื่อถ่อมตนเกินไปแล้ว อีกฝ่ายถึงแม้ว่าจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่ธรรมดา แต่ว่าพวกเราทั้งห้านั้นมีผู้ใดที่ดูง่ายดายบ้าง เชื่อว่าหลังจากที่การต่อสู้ครั้งนี้จบลงแล้ว จะต้องทำให้ผู้แซ่ปี้พอใจเป็นแน่ พอกันก่อนเถิด ทุกท่านเชิญเข้ามาพักผ่อนยังที่พักชั่วคราวด้านล่างนี้กันก่อนเถอะ รอจนนักพรตเซวี่ยซามารวมตัวกันแล้ว ข้าค่อยส่งคนไปยังยอดเขาทั้งห้านั้นเพื่อสร้างเขตอาคม เชื่อว่าพวกผีเหล่านั้นของแดนยมโลกก็คงจะถึงที่แห่งนั้นแล้ว” ปี้อิ่งเอ่ยมาพร้อมเหลือบมองไปยังท่ามกลางไอดำมืดที่ม้วนตัวออกมาอยู่ตรงเขตแดนนั้น
ในขณะเดียวกัน กลางไอดำมืดที่ม้วนตัวออกมาไกลนับร้อยลี้นั้น มี “ยอดเขา” สีขาวสูงพันจั้งนับร้อยลูก ลอยอยู่เหนืออากาศสูงอย่างเงียบๆ
บนยอดเขาเหล่านี้มีร่างเงาดำมืดมากมายอยู่ทั่วทุกทิศทาง มีภูตผีนับไม่ถ้วนบินวนไปมาไม่หยุดนิ่ง
หากว่ามีผู้บำเพ็ญเพียรที่ฝึกวิชาเนตรวิญญาณอยู่ ณ ที่แห่งนี้แล้ว ก็สามารถที่จะมองผ่านสายลมทมิฬเข้าไปเห็น “ยอดเขา” สีขาวเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน
ยอดเขาเหล่านี้พื้นผิวไม่เรียบเนียนสม่ำเสมอ เพลิงกระดูกสว่างวาบขึ้นจางๆ ซึ่งเกิดมาจากการสะสมของกองกระดูกนับไม่ถ้วน
ตรงทางออกเหล่านี้ของยอดเขา กลับมีภูตผีมีเขี้ยวใบหน้าสีฟ้าเข้าๆ ออกๆ แต่ละตนล้วนแต่มีพลังไม่ได้อ่อนแอ และดูดุร้าย
ท่ามกลางยอดเขาเหล่านี้มีลูกหนึ่งที่แตกต่างออกไปจากเขากระดูกขาวอื่นๆ บริเวณใกล้เคียงนั้นมีผีร้ายสวมชุดเกราะกระดูกนับพัน ในมือถืออาวุธต่างๆ เดินไปมาลาดตระเวนอยู่
ในท้องพระโรงสีแดงเลือดดำมืดกลางเขากระดูก มีร่างเงาพร่ามัวมองไม่ชัดเจนจำนวนหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนเก้าสีดำเข้ม กำลังเอ่ยถึงอะไรบางอย่างอยู่
“เพียงเพื่อดินแดนเล็กนั้น ถึงกับให้พวกเราทั้งห้าออกมาด้วยกัน ไม่ใช่ว่าประเมินฝ่ายตรงข้ามสูงจนเกินไป เพียงแค่มอบกองทัพมาให้ข้าหนึ่งล้านนาย ข้าเพียงแค่คนเดียวสามารถทลายฐานที่มั่นของอีกฝ่ายได้แล้ว แล้วทำไมถึงยังต้องจัดการต่อสู้ของผู้แข็งแกร่งอะไรนี้ขึ้นด้วย เป็นเรื่องที่เกินความจำเป็นเสียจริง” ร่างเงาสีดำกายสูงใหญ่เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ฮึ่ม อย่าไปประเมินอีกฝ่ายต่ำจนเกินไป สิ่งมีชีวิตเล่านี้หากว่ารับมือได้ง่ายแล้วจริงๆ ราชาผีที่รับผิดชอบเรื่องนี้ในตอนแรกก็คงไม่หลังจากที่ต่อสู้กับผู้แข็งแกร่งของอีกฝ่ายมาหลายครั้งแล้ว ทั้งหมดล้วนแต่ได้รับบาดเจ็บกับมา อีกทั้งยังปล่อยให้กองกำลังของพวกเราถูกจัดการ และไม่อาจจะก้าวไปข้างหน้าได้แม้แต่ครึ่งก้าว คิดว่าการต่อสู้ในครั้งนี้ อีกฝ่ายก็คงจะส่งผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขาออกมา อย่าได้ประมาทจนเกินไป ไม่งั้นครั้งนี้หากว่าพลิกคว่ำไปแล้ว เมื่อกลับไปแล้วราชาเชียนหลุนไม่รู้ว่าพวกเขาจะหัวเราะเยาะพวกเราอย่างไร สำหรับเจ้าแห่งยมโลกเองก็ไม่รู้ว่าจะรายงานอย่างไร” ร่างเงาดำเรียวบางอีกกายหนึ่งกลับเอ่ยออกมาเบาๆ
“ผู้แข็งแกร่งที่สุดในฝ่ายตรงข้าม? ตรงกับความต้องการของข้าพอดี ค้อนล็อคห้าหัวใจพลังหยินของข้ากำลังขาดจิตวิญญาณของผู้แข็งแกร่งเพื่อทำเป็นศาตรายุทธ์วิญญาณพอดี หากว่าสามารถฆ่าฝ่ายตรงข้ามได้แล้ว คิดว่าศาตรายุทธ์ชิ้นนี้ของข้าก็คงจะสร้างสำเร็จแล้ว” ร่างเงาดำสูงใหญ่ตนแรกเอ่ยตอบออกมาอย่างไม่ใส่ใจ ราวกับว่ายังไม่ได้เก็บมันมาใส่ใจ
“น่าเสียดายที่เจ้าแห่งยมโลกกำลังต่อสู้อยู่ในช่วงเวลาสำคัญกับเผ่าผีรัตติกาลเพื่อแย่งชิงดินแดนยมโลกอีกแห่งหนึ่ง ไม่อาจที่จะปลีกตัวออกมาได้ ไม่เช่นนั้นแล้วด้วยอิทธิฤทธิ์ของเขาที่ไม่น้อยไปกว่าเหล่าเซียนแท้จริงของแดนสวรรค์เข้าร่วมการต่อสู้ของผู้แข็งแกร่งในครั้งนี้แล้วละก็ ฝ่ายตรงข้ามแม้แต่โอกาสอันน้อยนิดก็คงจะไม่มี” ร่างเงาดำที่เปิดปากเอ่ยออกมาพร้อมทั้งถอนหายใจ
“พลังของเผ่าผีรัตติกาลเองก็มีอยู่ไม่น้อย อิทธิฤทธิ์ของหัวหน้าเผ่าของพวกเขาว่ากันว่าไม่อาจหยั่งรู้ได้ มีเพียงแค่เจ้าแห่งยมโลกเท่านั้นที่จะต่อกรด้วยได้ อีกทั้งเมื่อเทียบกันแล้วดินแดนนี้ยังต้องการเวลาอีกหลายปีถึงจะกลายเป็นดินแดนเล็กๆ ของยมโลกได้ และแน่นอนว่าแดนยมโลกที่เป็นมาแต่ก่อสร้างนั้นย่อมสำคัญกว่า” ร่างเงาดำเรียวบางเอ่ยออกมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน
“ในเมื่อพวกเรามาถึงยังที่นี้แล้ว การต่อสู้อีกหลายวันหลังจากนี้ แน่นอนว่าทุกคนจะต้องลงมือ ตรงจุดนี้ไม่จำเป็นต้องเอ่ยออกมาให้มากความแล้ว ด้วยพลังของพวกเรา สุดท้ายแล้วโอกาสชนะก็มีมากกว่าเจ็ดแปดส่วน ที่สำคัญก็คือหลังจากที่ชนะแล้ว ฝ่ายตรงข้ามจะรักษาสัญญาหรือไม่ แล้วถอนตัวออกจากพื้นที่ควบคุมนั้นจริงหรือไม่ ราชาชีเชี่ยว มือดีเหล่านั้นเจ้าเตรียมเอาไว้พร้อมแล้วหรือ” น้ำเสียงมืดมนราวกับงูพิษ จู่ๆ ก็ดังลอยออกมาจากร่างเงาดำที่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาตั้งแต่ต้น
เมื่อได้ยินคำพูดนี้แล้ว ร่างเงาดำทั้งหลายก่อนหน้านี้กายยืดตรงขึ้นโดยที่ไม่รู้ตัว จากนั้นก็เงียบเสียงลงในทันที