“ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าเซียนแท้ผู้นั้นจะตามกัดพวกเราไม่ปล่อยราวกับสุนัขบ้า แต่เจ้าไม่ต้องกังวลไป เขาไม่มีทางตามหาพวกเราพบก่อนที่ของเหลววิญญาณจะหมด” เมื่อได้ยินดังนั้น ลิ่วอี้ลืมตาแล้วกล่าวด้วยความเกลียดชัง
“นั่นเป็นเพราะคำพูดก่อนหน้านี้ของเจ้าน่าหงุดหงิดไม่น้อย และนั่นทำให้เขาเกลียดเจ้าลึกเข้ากระดูกดำ จึงได้ตามไล่ล่าเราเช่นนี้” ปิงเฝิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูก
“เจ้าจะรู้อันใด หากไม่ใช่ข้าใช้คำพูดให้สภาพจิตใจเจ้าผิดปกติเสียก่อน ในตอนแรกเริ่มจะมีโอกาสร่ายเคล็ดวิชาลับเพื่อสร้างระยะห่างได้อย่างไร หากไม่ได้ผล คงทำได้เพียงแต่ออกจากแผ่นดินใหญ่นี้แล้วกลับไปที่เฟิงหยวนก่อนค่อยว่ากันอีกที ข้าไม่เชื่อหรอก เขาจะยังไล่ล่าพวกเราในทวีปอื่นต่อไปอีกหรือ?” ลิ่วอี้กล่าวอย่างเย็นชา
“การออกจากแผ่นดินใหญ่นภาสีเลือดนับว่าเป็นความคิดที่ไม่เลว คนคนนั้นมายังแผ่นดินใหญ่นี้ในฐานะเซียนแท้ แน่นอนว่าต้องมีบางสิ่งสำคัญที่ต้องทำ เมื่อข้ากลับไปยังแผ่นดินใหญ่เฟิงหยวน เจ้าคนนี้คงจะกังวลเป็นอย่างมาก ไม่แน่ว่าเขาอาจจะไม่ไล่ตามพวกเราอีกต่อไป” ดวงตาของปิงเฝิงเป็นประกายเมื่อได้ยินดังนั้น
“หากเป็นเช่นนี้จริงๆ ย่อมเป็นเรื่องดีที่สุด” ลิ่วอี้พยักหน้ารับ
พวกเขาทั้งสองใช้เวลาพักผ่อนอยู่นานกว่าครึ่งวัน ก็ไม่กล้าที่จะอยู่กลางหุบเขาอีกต่อไป กลายเป็นลำแสงอันน่าตื่นตะลึงพุ่งออกจากภูเขาลูกเล็กๆ และหลบหนีต่อไป
แต่คราวนี้ ตอนที่พวกเขากำลังพุ่งตัวอยู่กลางอากาศ มวลอากาศโดยรอบก็ผันผวน เงาคนจางๆ สี่เงาปรากฏออกมาในพริบตา ปล่อยกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง
ลิ่วอี้และปิงเฝิงตกใจ ร่างกายพลันหยุดอยู่กลางอากาศ มองสำรวจผู้มาเยือนทั้งสี่คนเล็กน้อย
พบเพียงแค่ทั้งสี่คนนี้มีการแต่งกายที่ต่างกัน ชายสองหญิงสอง เห็นได้ชัดว่าพลังยุทธ์ของพวกเขาอยู่ในระดับมหาเมธี
“พวกท่านทั้งสี่มีธุระอันใดกัน จึงมาหาข้าน้อยโดยเฉพาะ?” ลิ่วอี้ถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำหลังจากหรี่ตามองสำรวจผู้มาเยือนทั้งสี่
“ท่านคงเป็นนักพรตหกปีก หากเป็นท่าน พวกข้าสี่คนก็อยู่ที่นี่เพื่อรอท่านนักพรตโดยเฉพาะ” ชายหน้าเขียวสวมชุดคลุมสีแดงเลือดกล่าวด้วยท่าทางแปลก ๆ
“โอ้ พวกเจ้ารู้จักข้าจริงๆ ด้วย ข้าคงไม่ได้ไปทำให้นักพรตคนไหนในระดับเดียวกันที่นภาสีเลือดขุ่นเคืองใจหรอกนะ” สีหน้าของลิ่วอี้เปลี่ยนไปเล็กน้อย ถามอย่างเย็นชา
“ท่านนักพรตโปรดอย่าเข้าใจผิด ครั้งนี้ข้าไม่ได้มาเพื่อสร้างความยุ่งเหยิงให้แก่ท่าน เพียงแค่อยากจะขอให้ท่านนักพรตหกปีกช่วยเหลือเรื่องเล็กน้อยสักเรื่อง” ชายหน้าเขียวตอบด้วยรอยยิ้มบาง
“ช่วยเหลือ! หากเจ้าขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นด้วยท่าทีเช่นนี้ ข้าคงช่วยเจ้าหรอก!” ลิ่วอี้ที่เดิมทีเป็นเพราะถูกตามล่าสังหาร ตอนนี้เมื่อเห็นรูปลักษณ์ที่เลวร้ายของมหาเมธีชาวนภาสีเลือดทั้งสี่ เขาก็ไม่สามารถระงับความดุร้ายไว้ในใจได้ จึงตะโกนออกมาอย่างแข็งกร้าว
หากว่าคนพวกนี้ไม่สามารถให้คำตอบที่น่าพอใจได้ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะลงมือโดยทันที
อย่างไรก็ตามด้วยเคล็ดวิชาหลีกหนีอันแข็งแกร่งของเขา แม้ว่าเขาจะไม่สามารถเอาชนะการร่วมมือกันของคนทั้งสี่ ทว่าก็เป็นเรื่องง่ายที่จะสามารถพาปิงเฝิงหลบหนีไปด้วยกันได้
“ท่านนักพรตหกปีกอย่าโมโหไปเลย เรื่องที่พวกข้าขอให้ท่านช่วยในครานี้ ไม่เพียงแต่เป็นผลดีสำหรับพวกข้า แต่ยังช่วยจัดการปัญหาใหญ่ของท่านด้วย มิใช่ว่าตอนนี้ท่านนักพรตหกปีกกำลังถูกคนตามสังหารมาโดนตลอดหรือ” สีหน้าของชายหน้าเขียวไม่แปรเปลี่ยน กลับย้อนถามมาคืนด้วยความมั่นใจ
“เจ้าหมายความเช่นไร” ลิ่วอี้หวาดกลัวอยู่ภายในใจ บนใบหน้าไม่ปรากฏร่อยรอยความดุร้ายอีกต่อไป
“ง่ายมาก เรื่องที่พวกข้าต้องการให้ท่านทำคือล่อให้คนที่กำลังตามสังหารท่านอยู่ไปยังสถานที่พิเศษแห่งหนึ่ง ตราบใดที่เขากล้าที่จะตามไปยังที่นั่น ย่อมไม่มีทางที่จะได้กลับมา นี่ไม่ใช่เรื่องที่พวกเราได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่ายหรอกหรือ!” ชายหน้าเขียวเอ่ย
“พวกเจ้าคิดจะซุ่มโจมตีเขา?” ในครานี้ลิ่วอี้ตกใจมากจริงๆ
“มิผิด พวกข้ามีความคิดเช่นนั้นจริงๆ แต่การจะทำเรื่องนี้ให้สำเร็จ จำเป็นต้องได้รับการร่วมมือจากพวกท่านทั้งสอง” ชายหน้าเขียวยอมรับอย่างตรงไปตรงมา
ปิงเฝิงที่อยู่ด้านข้างเมื่อได้ยินดังนั้นรู้สึกตกใจเป็นอย่างยิ่ง
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนที่ตามล่าพวกข้าคือผู้ใด แค่พวกเจ้าสี่คนจะสามารถช่วยข้าได้หรือ” ลิ่วอี้พูดพลางหัวเราะเยาะหลังจากผ่านไปครู่หนึ่งด้วยความประหลาดใจ
“ใครว่าผู้ที่เข้าร่วมแผนการนี้จะมีแค่พวกเราสี่คน ฮ่าๆ ไม่ว่าคนคนนั้นจะมีที่มาที่ไปเยี่ยงไร ในเมื่อกล้าที่จะสังเวยโลหิตของดวงวิญญาณนับล้านดวงภายใต้แผ่นดินใหญ่นภาสีเลือดของพวกเรา แม้ว่าจะเป็นเซียนแท้ที่มาจุติยังโลกก็ตาม ในครานี้ก็อย่าหวังที่จะได้ออกไปจากแผ่นดินใหญ่นภาสีเลือดแบบมีลมหายใจ” ชายหน้าเขียวเผยสีหน้าลำพองใจ
“ฮ่าๆ ดี…ดียิ่งนัก ในเมื่อท่านนักพรตพูดเช่นนี้ เรื่องที่ต้องการให้ช่วยเหลือ ข้าตกลง” หลังจากที่ฟังจบ
ลิ่วอี้ก็หัวเราะออกมายกใหญ่ จึงตอบตกลง
แม้ชายหน้าเขียวจะรู้สึกแปลกประหลาดกับการแสดงออกของลิ่วอี้เล็กน้อย แต่ในเมื่อเขาตอบตกลงที่จะช่วยเหลือแล้ว ย่อมมิอยากคิดสิ่งใดให้มากความ จึงสะบัดแขนเสื้อส่งม้วนคัมภีร์หยกไปยังคู่สนทนา
“ด้านในระบุตำแหน่งที่ต้องการล่อมารร้ายตนนั้นไว้แล้ว ขอเพียงแค่สามารถนำทางมันไปที่นั่นได้ เจ้าปีศาจนั่นจะได้พบกับจุดจบเป็นแน่ ข้าเชื่อว่าท่านนักพรตหกปีกจะไม่ทำให้พวกข้าผิดหวังอย่างแน่นอน” น้ำเสียงของชายหน้าเขียวแฝงความนัยบางอย่าง
“วางใจเถิด แม้ว่าจะเป็นการทำเพื่อชีวิตของตนเอง ข้าก็จะไม่ทำให้เรื่องนี้ล้มเหลวอย่างแน่นอน” ลิ่วอี้สงบสติอารมณ์อยู่ครู่หนึ่ง หลังจากรับม้วนคัมภีร์หยก เขาก็ตอบกลับอย่างสุขุม
“ยอดเยี่ยมมาก เช่นนั้นขอให้ท่านนักพรตประสบความสำเร็จ พวกข้ายังมีธุระที่ต้องไปจัดการ คงต้องขอตัวก่อน” ชายหน้าเขียวพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ กำหมัดกล่าวลา
เกิดคลื่นความผันผวนขึ้น!
มหาเมธีทั้งสี่หายไปจากจุดเดิมที่เคยอยู่โดยไร้ร่องรอยเช่นเดียวกับเขามา
ลิ่วอี้ยังคงอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน ใบหน้าเต็มใบด้วยสีหน้าใคร่คราญบางอย่าง
“ลิ่วอี้ เจ้าจะไปเป็นเหยื่อล่อจริงๆ หรือ” ปิงเฝิงถามออกมาหนึ่งประโยค
“ตราบใดที่สามารถขจัดปัญหากวนใจนี้ออกไปได้ การเป็นเหยื่อล่อเพียงแค่ครั้งเดียวจะนับเป็นสิ่งใดกัน เมื่อเทียบกับการกลับไปยังเฟิงหยวนที่มีความเสี่ยงสูงแล้ว แผนการนี้ดูจะเป็นไปได้ยิ่งกว่า” ลิ่วอี้กล่าวอย่างช้าๆ
“ไม่ใช่ว่าเจ้าเคยเห็นฉากที่อีกฝ่ายสามารถสังหารผู้ฝึกยุทธ์ระดับมหาเมธีทั้งสามคนได้ในคราเดียวด้วยตาของตนแล้วหรอกหรือ พึ่งมหาเมธีพวกนี้จะสามารถสังหารเจ้าคนบ้าจากแดนเซียนนี้ลงได้จริงหรือ” ท่าทีของปิงเฝิงเต็มไปด้วยความสงสัย
“เจ้าคงได้ยินประโยค ‘แม้ว่าจะเป็นเซียนแท้ที่มาจุติยังโลกก็ตาม…ก็อย่าหวังที่จะได้ออกไปจากแผ่นดินใหญ่นภาสีเลือดแบบมีลมหายใจ’ ที่พวกเขากล่าวเมื่อครู่ ในเมื่อพวกเขากล้าที่จะพูดจาใหญ่โตเช่นนี้ เห็นทีคงจัดเตรียมลูกศิษย์ไว้เป็นจำนวนมาก ทว่าคงไม่มีผู้ใดทันคิดว่าต้องต่อกรกับเซียนแท้ เป็นเช่นนี้ก็ดี กล้าที่จะใช้ข้าเป็นเหยื่อล่อ เช่นนั้นก็ให้พวกเขาสู้กันเองแล้วเจ็บหนักกันทั้งสองฝ่าย” มุมปากของลิ่วอี้ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเยาะเย้ย
“ถ้าหากเจ้าเซียนแท้บ้านั่นสามารถหลุดรอดจากการซุ่มโจมตีได้จะทำเช่นไร เรื่องที่จะล่อเขาไปยังกับดักที่วางไว้ เขาไม่มีทางที่จะมองไม่ออก และเมื่อเขาโกรธ เกรงว่าการจะหยุดเขาคงจะไม่ง่ายเหมือนแมวหยอกหนูอย่างตอนนี้ หากเขาใช้กำลังทั้งหมดของเขา สถานการณ์ของพวกเราคงจะเลวร้ายลงยิ่งกว่าตอนนี้” ปิงเฝิงครุ่นคิดอยู่สักพัก จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ยังคงแฝงไปด้วยความลังเล
“ข้าก็คิดถึงเรื่องนี้อยู่เช่นกัน แม้ว่าเจ้าบ้านั่นจะเป็นเซียนแท้ แต่ก็เป็นเซียนแท้ที่ถูกผนึกพลังส่วนใหญ่เอาไว้ ภายใต้การซุ่มโจมตีของมหาเมธีมากมายถึงเพียงนี้ ด้วยระดับความแข็งแกร่งที่สูงเสียดฟ้าของเขา คงหลุดจากการล้อมได้อย่างแน่นอน แต่พลังปราณส่วนใหญ่ของเขาก็คงเสียหายหลายส่วนเช่นกัน ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น ไม่รู้ว่าเขาจะใช้เวลาพักฟื้นนานเท่าไร คงไม่คิดที่จะไล่ล่าพวกเราต่อ เช่นนั้นการตัดสินใจในครั้งนี้ จะเป็นโอกาสอันดีสำหรับเราที่จะสามารถกำจัดปัญหากวนใจนี้ได้ ถึงแม้ว่ามันจะเสี่ยง แต่ก็คุ้มค่าที่จะลองทำ” ลิ่วอี้กล่าวด้วยรอยยิ้มเยาะ
ในครั้งนี้ปิงเฝิงดูเหมือนว่าจะคล้อยตามการโน้มน้าวของลิ่วอี้ หลังจากพิจารณาแล้ว จึงผงกหัวรับ
“เยี่ยม ในเมื่อเจ้าไม่มีความเห็นอันใด เช่นนั้นข้าขอดูสักหน่อยว่าพวกเขาเตรียมสถานที่แบบใดไว้สำหรับการซุ่มโจมตี” ลิ่วอี้เอ่ยขึ้นพลางนำม้วนคัมภีร์หยกมาแตะที่หน้าผาก จึงถ่ายเทจิตสัมผัสลงไป
“ไปกันเถิด ข้ารู้ตำแหน่งแล้ว เจ้าเซียนแท้บ้านั่นน่าจะตามมาในไม่ช้านี้” หลังจากนำม้วนคัมภีร์หยกลงมา ลิ่วอี้ก็กล่าวโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย แล้วเหาะนำกลายเป็นเส้นแสงออกไปก่อนคนแรก
หลังจากปิงเฝิงถอนหายใจ จึงออกตัวเหาะไปกลางอากาศตามลิ่วอี้ไปติดๆ
บนท้องฟ้าที่ไม่รู้ว่าห่างไกลออกไปเท่าไร ชายหนุ่มชุดคลุมสีดำที่ดูแข็งแกร่งกำลังควบคุมก้อนเมฆอันวิจิตรให้บินไปยังทิศทางหนึ่งอย่างไม่รีบร้อน
…
ในเวลาเดียวกัน ที่ด้านหน้าของแท่นบูชา หานลี่ที่เพิ่งถ่ายเทพลังอาคมเข้าไปยังแท่นบูชาเสร็จ ก็ลืมตาขึ้นด้วยความประหลาดใจ
“ข้าพบแล้ว แท่นบูชานี้แสดงพิกัดทางเข้าเสี่ยวหลิงเทียน”
“ผู้อาวุโสหาน เรื่องนี้จริงหรือ” จูกั่วเอ๋อร์ที่ยืนถ่ายเทอาคมด้วยกันอยู่ด้านข้างได้ยินดังนั้น พลันตื่นตัวขึ้นมาทันที
“ใช่แล้ว คุ้มแล้วที่ข้าใช้เวลานานถึงขนาดนี้ ไม่เสียเวลาเปล่าจริงๆ” หานลี่ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม ระหว่างที่เอ่ยก็ถ่ายเทพลังอาคมไม่หยุด ม่านแสงรูปวงกลมขนาดใหญ่ที่ลอยอยู่เหนือแท่นบูชาก็พังทลายลง
“ผู้อาวุโสหาน ในเมื่อรู้แล้วว่าทางเข้าอยู่ที่ใด เช่นนั้นพวกเรารีบไปกันเถิด” จูกั่วเอ๋อร์เอ่ยด้วยความดีใจ
“อย่าตื่นตูมไป ตามที่แผนที่นภาสีเลือดแสดงให้เห็น ทางเข้าของเสี่ยวหลิงเทียนไม่ได้อยู่ในแผ่นดินใหญ่นภาสีเลือดอีกต่อไป แต่อยู่ในส่วนลึกของทะเลที่ห่างไกลจากแผ่นดินใหญ่” หานลี่ขมวดคิ้วนึกถึงแผนที่ทั้งหมดของแผ่นดินใหญ่นภาสีเลือด แล้วนำตำแหน่งที่ตั้งมาเปรียบเทียบกัน เมื่อได้พิกัดแห่งใหม่แล้ว จึงเอ่ยออกมา
“อยู่ในส่วนลึกใต้ทะเล? ทางเข้านี้เกรงว่าจะหาเจอได้ไม่ง่ายเสียแล้ว” จูกั่วเอ๋อร์ตื่นตะลึงเมื่อได้ยินคำพูดนี้
“อย่าห่วงเลย ข้าเคยคาดเดาเกี่ยวกับสถานการณ์เช่นนี้ไว้แล้ว ฮวาสือ เมื่อถึงตอนนั้นเจ้าต้องเป็นผู้ลงมือ” หานลี่หัวเราะเล็กน้อย หันไปสั่งการกับบรรพชนฮวาสือที่ยืนประสานมืออยู่ด้านข้าง
“อาจารย์หานโปรดวางใจ สำหรับข้าแล้วโลกใต้ทะเลก็เหมือนกับบ้านเกิดของศิษย์ เรื่องหาทางเข้าให้เป็นหน้าที่ของข้าเถิด” บรรพชนฮวาสือตอบกลับอย่างเคารพ
หานลี่ได้ยินเช่นนี้ ก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ร่างกายมีแสงส่องสว่าง แล้วเหาะตัวออกนำทั้งสองคนไปในท้องฟ้า
ใช้เวลาเพียงเล็กน้อย ก็มาถึงบนเรือขนาดยักษ์
ผ่านไปครู่หนึ่ง เรือสีดำขนาดยักษ์ก็สั่นเล็กน้อย ส่งเสียงหวูดร้องแล้วเคลื่อนตัวออกไปกลางอากาศ
…
เจ็ดวันต่อมา กลางทะเลทรายลับแห่งหนึ่ง ชายสวมหน้ากากผู้หนึ่งยืนเอามือไพล่หลังอยู่บนเนินทราย มองไปยังท้องฟ้าอย่างสงบ
ทางด้านใต้ของเนินทรายนั้น ถูกคนใช้พลังอาคมขุดออกเป็นที่ว่างได้สักพักแล้ว สาวกนับหมื่นคนของสำนักเซวี่ยเต้า ยืนเตรียมพร้อมอยู่ที่นั่นอย่างหนาแน่นโดยไม่มีเสียงพูดใดเล็ดลอดออกมา
ที่ที่เหล่าสาวกยืนอยู่ เขตอาคมเลิศล้ำที่เกือบจะปกคลุมทะเลทรายเล็กๆ ได้ถูกติดตั้งเสร็จเรียบร้อย หินวิญญาณคุณภาพสูงนับพันก้อนถูกฝังอยู่ในนั้น และกลุ่มสาวกพิเศษที่ในมือมีจานแปดเหลี่ยมกำลังนั่งขัดสมาธินิ่งๆ อยู่รอบตาค่าย
บนท้องฟ้าราวกับถูกปกคลุมไปด้วยเมฆดำนับพันลี้ เขตอาคมแสงพิเศษก็ถูกเตรียมไว้เรียบร้อยนานแล้ว แต่มันถูกบดไว้ไว้ด้วยเขตต้องห้ามลึกลับชนิดหนึ่งที่มองไม่เห็นอย่างเข้มงวด
ใจกลางเขตอาคมแสงพิเศษ ผู้ฝึกยุทธ์ระดับมหาเมธีของแผ่นดินใหญ่นภาสีเลือดนับสิบคนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่