เวลาผ่านไปเล็กน้อย นอกจากลมร้อนที่พัดผ่านทะเลทราย บรรยากาศโดยรอบยังคงไม่มีสิ่งใดผิดปกติ
“เหตุใดจนป่านนี้แล้วยังไม่มาอีก เจ้าเด็กนั่นคงไม่ถอดใจหนีไปกลางคันหรอกนะ เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้ามารร้ายนั่นรู้ตัว เราจึงไม่ได้ส่งใครไปแอบดูสองคนนี้” ในที่สุดชายฉกรรจ์ที่มีขนสีแดงยาวก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป จึงหันไปถามกับชายชราร่างท้วมที่อยู่ด้านข้าง
“พี่เชอฉีอย่ากังวลไปเลย ในเมื่อพวกเราวางกับดักนี้ไว้แล้ว ย่อมมีโอกาสถึงสิบส่วน แม้ว่าจะไม่รู้ว่าเหตุใดเจ้ามารร้ายนั่นจึงไล่ล่าตามฆ่าสองคนนี้เป็นเวลานานถึงเพียงนี้ ทว่าจากการตรวจสอบครั้งก่อนแสดงให้เห็นว่า จนถึงตอนนี้มารร้ายก็ยังไม่มีความคิดที่จะเลิกราเลยแม้แต่น้อย ตราบใดที่เจ้าคนที่ถูกเรียกว่าหกปีกนั่นมีสติปัญญาเล็กน้อย การที่จะล่อมารร้ายมายังที่แห่งนี้คงไม่ใช่ปัญหา” ชายชราร่างท้วมตอบกลับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น
“ได้ยินท่านนักพรตกล่าวเช่นนี้ข้าก็วางใจ จะว่าไปแล้ว เจ้ามารร้ายนั่นเก่งกาจถึงเพียงนี้ ในครานี้นอกจากมหาเมธีทั้งสิบสองคนของพวกเราแล้ว ยังติดตั้งเขตอาคมฟ้าดินสองขั้วและใช้ภาพลมเหลืองที่เป็นสมบัติของเจิ้นจงแห่งสำนักโลหิตกระดูก เช่นนี้แล้ว ด้วยสมบัติชิ้นนี้และเขตอาคมฟ้าดินก็สามารถเอาชีวิตของมันได้อย่างแน่นอน เหตุใดยังต้องให้พวกเราลงมืออีก” ชายฉกรรจ์ขนยาวถามด้วยความสงสัยเล็กน้อย
“เรื่องนี้ผู้เฒ่าเองก็ไม่แน่ใจเช่นกัน แต่ในเมื่อนักพรตที่เป็นผู้รับผิดชอบเรื่องนี้พวกนั้นจริงจังถึงเพียงนี้ แน่นอนว่าต้องมีเหตุผล ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น ตราบใดที่มารร้ายนี่สามารถสังหารนักพรตมหาเมธีสามคนได้ในคราเดียวด้วยพลังของเขา และกล้าที่จะสังเวยวิญญาณนับล้านดวงที่แผ่นดินใหญ่นภาสีเลือดนี้อย่างไร้ยางอาย เช่นนั้นก็สมควรแล้วที่พวกเราจะปฏิบัติเช่นนี้ต่อเขา” ชายชราร่างท้วมกล่าวหลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
“ข้ายังสงสัยอยู่เล็กน้อยว่าคนผู้นี้มีที่มาอย่างไรและมาจากแห่งหนใด หรือว่าก่อนหน้านี้เขาจะบำเพ็ญเพียรอย่างสันโดษอยู่ที่ไหนสักแห่งมาโดยตลอด ไม่ก็เป็นผู้แข็งแกร่งที่ข้ามพรมแดนมาจากดินแดนอื่น” ชายฉกรรจ์ขนยาวถามออกมาอีกครั้งหลังจากครุ่นคิดอยู่สักพัก
เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องคิดมาก ไม่ว่าคนผู้นี้จะมีที่มาอย่างไร หรือทำเรื่องชั่วช้าสามานย์สักแค่ไหน พวกเราเหล่าพรรคขนาดใหญ่คงไม่สามารถปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไปได้ มิเช่นนั้นพรรคของพวกข้าคงไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ไหนและคงไม่มีที่ยืนในแผ่นดินใหญ่นภาสีเลือดนี้เป็นแน่” ชายร่างท้วมกล่าวลูบคางที่เต็มไปด้วยไขมัน พูดพลางหัวเราะเล็กน้อย
“ถูกของท่าน ทว่าข้าได้ยินมาว่าปี้อิ่งแห่งกลุ่มพันธมิตรการค้าเฮ่อเหลียน ฮูหยินหลิงอวิ๋นแห่งเขาหมื่นแมลงกู่และท่านชายเหอต้าแห่งหุบเขานภาคล้อย ก็ได้รับเชิญให้มาชมการกำจัดมารร้ายในครั้งนี้ด้วย หากทั้งสามคนลงมือ โชคคงไม่เข้าข้างมารร้ายตนนั้นเป็นแน่” ชายขนดกกะพริบตา พลันถอนหายใจ
“ฮ่าๆ ด้วยสถานะของทั้งสามคน พวกเขาจะร่วมมือกันเพื่อเอาชนะศัตรูได้อย่างไร อีกทั้งคนของพวกเราก็อยู่ที่นี่ จะมีโอกาสไหนให้พวกเขาได้แสดงฝีมือ” ชายร่างท้วมกล่าวด้วยสีหน้าพิลึกพิลั่น
ชายขนดกผงกศีรษะเมื่อได้ยินคำพูดนั้น แสดงสีหน้าครุ่นคิด
ในเวลาเดียวกัน ในเมืองใหญ่ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากทะเลทราย ในห้องโถงใหญ่ของหอคอยทองคำ ผู้อาวุโสระดับมหาเมธีอีกสี่คนที่มีกลิ่นอายต่างกันยืนอยู่ด้วยกัน จ้องมองดูม่านแสงสีขาวตรงกลาง
ภาพต่างๆ เปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่องในม่านแสง สะท้อนทุกมุมของทะเลทรายได้อย่างน่าประหลาดใจ
ชายชราในชุดคลุมสีเขียวที่เป็นหนึ่งในสี่มหาเมธีนั้น ที่แท้คือปี้อิ่ง
อีกสามคนเป็นชายวัยกลางคนในชุดคลุมนักปราชญ์ หญิงวัยกลางคนในชุดคลุมสีสันสดใสและชายฉกรรจ์ที่มีสง่าราศีและมีดวงตาราวกับอินทรีย์ในชุดคลุมยาวสีเลือด
ทั้งสี่คนมองดูภาพในม่านแสงอย่างเงียบๆ สีหน้าของพวกเขาสงบนิ่ง ไม่มีความคิดที่จะสนทนากันแม้แต่น้อย
…
ครึ่งวันต่อมา ที่ชายแดนของทะเลทรายมีเสียงผ่าอากาศดังขึ้น ผลึกแสงสายหนึ่งวิ่งออกมาด้วยความเร็วที่น่าสะพรึง พริบตาเดียวมันก็พุ่งเข้าไปในทะเลทราย
เกือบจะในเวลาเดียวกัน กลุ่มเมฆาเจ็ดสีก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า และเสียงผู้ชายที่มีน้ำเสียงเย็นชาดังออกมา
“ในครั้งนี้เจ้าทำให้ข้ามีน้ำโหจริงๆ เสียแล้ว ข้าเริ่มจะเบื่อการไล่ตามราวกับเกมแมวหยอกหนูแล้วเช่นกัน ดังนั้นวันนี้เรามาจบเกมนี้กันเถิด”
สิ้นเสียง กลุ่มเมฆเจ็ดสีก็ส่งเสียงดังสนั่น แปรเปลี่ยนเป็นประจุสายฟ้าเจ็ดสีไล่ตามไปอย่างกระชั้นชิด
หนึ่งหลีกหนี หนึ่งไล่ล่า เวลาผ่านไปหนึ่งกาน้ำชาก็ข้ามผ่านเขตทะเลทรายไปเกือบครึ่งมาจนมาถึงยังใจกลาง
ผลึกแสงที่อยู่ด้านหน้ารวมตัวกัน ภายใต้แสงจันทร์ตะขาบแปดปีกสีขาวราวกับหิมะและหญิงสาวสวยในชุดนางในสีเงินปรากฏตัวขึ้น
หลังจากตะขาบยักษ์ม้วนกลิ้งตัว ก็กลายเป็นชายหนุ่มในชุดคลุมสีขาวที่มีลวดลายวิญญาณสีเงินและสีทองประดับอยู่บนใบหน้า
ใบหน้าของชายหนุ่มซีดเซียวมาก ทันทีที่ปรากฏตัวขึ้น ก็หันศีรษะไปมองด้านหลังในทันที
เห็นเพียงแค่ฟ้าผ่าที่ด้านหลัง และสายฟ้าสายหนึ่งพุ่งมายังที่ที่ทั้งสองหยุดอยู่
รูม่านตาของลิ่วอี้หดตัว จิตใต้สำนึกถดถอยลง แสงจันทร์สว่างวาบอยู่ด้านหลัง ปีกทั้งแปดที่เกือบจะโปร่งแสงก็สว่างขึ้นอีกครั้ง แล้วแปรเปลี่ยนเป็นตะขาบยักษ์แปดปีกอีกครั้งเพื่อหลบหนีต่อไป
ในขณะนี้เอง เกิดเสียงดังก้องขึ้นระหว่างฟ้าดิน แผ่นดินสั่นสะเทือน และแรงดูดที่มองไม่เห็นแผ่ออกมาจากส่วนลึกของพื้นดิน
ภายใต้การสั่นไหวของสายฟ้าเจ็ดสี ลิ่วอี้พลันถูกแรงดูดนี้ให้ลอยขึ้นกลางอากาศโดยไม่ยินยอม และชายหนุ่มที่ดูอ่อนแอในชุดคลุมสีดำก็ปรากฏตัวขึ้น
ที่แท้เป็น “หม่าเหลียง” เซียนแท้ผู้จุติมายังโลก
ในทะเลทรายเบื้องล่าง ลำแสงหลากหลายสีสันมากมายส่องทะลุผ่านทรายและพุ่งตรงเข้าไปในก้อนเมฆ
ในขณะที่แผ่นดินสั่นไหว เขตอาคมเลิศล้ำที่มองไม่เห็นจุดสิ้นสุดก็ค่อยๆ โผล่ออกมาจากพื้นดิน เหล่าสาวกเซวี่ยเต้าปรากฏตัวขึ้นอย่างหนาแน่น และกลายเป็นกองทัพลึกลับ เริ่มยืมพลังจากเขตอาคมเลิศล้ำผ่านการท่องคาถาที่มีศาสตรายุทธ์เป็นสื่อกลาง
ท้องฟ้าพลันสว่างไสว หลังจากชั้นของเขตต้องห้ามที่มองไม่เห็นหายไป เขตอาคมแสงขนาดใหญ่ที่ปกคลุมทั่วทั้งท้องฟ้าก็ปรากฏขึ้น
แล้วค่อยๆ กดลงไปในทิศทางด้านล่าง พลันความผันผวนอันน่าอัศจรรย์ก็เติมเต็มความว่างเปล่าทั้งหมดโดยทันที
ชายหนุ่มชุดดำยืนอยู่ระหว่างเขตอาคมขนาดใหญ่ทั้งสอง มองเหล่าสาวกเซวี่ยเต้าที่มากมายเหมือนมดจากระยะไกล
ในเวลานี้ เงาคนได้ก่อตัวขึ้นในเขตอาคมแสงกลางอากาศ ผู้ฝึกยุทธ์ทั้งสิบสองคนแสดงตัวออกมา หลังจากแปรปรวนอยู่ครู่หนึ่ง พลันปรากฏล้อมรอบชายชุดดำ
ล้วนอยู่ห่างไกลออกไป แล้วจ้องมองมาที่เขาไม่หยุด ด้วยสายตาเย็นชา
ชายชุดดำที่ถูกล้อมให้หยุดนิ่งอยู่กลางอากาศไม่ได้ตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ที่น่าตกใจนี้ แต่เขากลับกวาดตามองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉย ร่างกายถูกปกคลุมไปด้วยรัศมีแสง เสียงแตกสลายที่แหลมเสียดหูดังออกมา ร่างกายพลันกลับเข้าสู่ภาวะปกติ
“พวกเจ้ากล้ามากที่ก่อกองกำลังซุ่มโจมตีข้า ในเมื่อใช้คนเยอะถึงเพียงนี้ ดูเหมือนว่าจะต้องการให้ข้าสิ้นชีพที่นี่กระมัง” แม้ชายชุดดำจะเผชิญหน้ากับสองเขตอาคมฟ้าดินและผู้ฝึกยุทธ์ระดับมหาเมธีมากมายถึงเพียงนี้ กลับเอ่ยกลั้วเสียงหัวเราะเยาะ
“หึ นายท่านกล้าที่จะสังเวยโลหิตของวิญญาณนับล้านดวงภายในแผ่นดินใหญ่นี้ คงจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น” นักพรตผู้หนึ่งที่ถูกห่อหุ้มด้วยไอโลหิตกล่าวพร้อมสูดหายใจ
“แน่นอนว่าข้าต้องคาดเดาไว้อยู่แล้ว แต่ไม่คิดว่าพวกเจ้าจะสมรู้ร่วมคิดกับพวกเขาสองคน เอาล่ะ เดิมทีเกมแห่งการล่าสังหารนี้ได้เปิดฉากขึ้นแล้ว หลังจากที่จัดการกับพวกเจ้า ข้าจะไปสังหารสองคนนั้นด้วยน้ำมือของข้าเอง” ชายหนุ่มชุดดำเหลือบมองพวกของลิ่วอี้ที่ถอยห่างออกไปอย่างเงียบๆ แล้วเอ่ยเบาๆ
“ช่างเป็นคำพูดใหญ่โตเสียจริง ดูเหมือนว่าเขาจะไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา อย่ามัวสนทนาเรื่องไร้แก่นสารกับเจ้ามารร้ายนี่ต่อไปเลย ลงมือเถิด!” ชายชราอีกคนผู้เป็นผู้รับใช้ระดับล่าง กลับกลอกตาไปมาแล้วตะโกนเสียงต่ำ
สิ้นเสียงนั้น แขนเสื้อของชายชราผู้พลันสะบัด มีเสียงดังออกมาจากร่างกายของเขาชัดเจน ทันใดนั้น กระบี่บินสีโลหิตนับสิบเล่มก็บินออกมาจากร่างกายเขา
นักพรตคนอื่นเห็นดังนั้น ต่างก็ทำท่าทางร่ายคาถาอาคมออกมา ของวิเศษหลายชนิดต่างก็หลั่งไหลออกมา
ในเวลาเดียวกันนี้เอง เขตอาคมบนฟ้าและบนดินทั้งสองต่างก็ส่งเสียงคำรามออกมา อักษรรูนนับไม่ถ้วนหลั่งไหลออกมา แล้วค่อยๆ หมุนวนอย่างช้าๆ
มีแสงระยิบระยับบนท้องฟ้า และหลังจากนั้นครู่หนึ่ง กลายเป็นกระจกขนาดมหึมาที่ราวกับปกคลุมท้องฟ้าได้
พื้นผิวของกระจกนี้ถูกปกคลุมไปด้วยเงิน แต่หลังจากเสียงคำราม ด้ายเงินจำนวนนับไม่ถ้วนก็ร่วงหล่นลงมาราวกับฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก
ในเขตอาคมที่อยู่บนผืนดิน กลุ่มแสงสีขาวลอยออกมา เงาคนจำนวนมากถูกจมหายเข้าไปในกลุ่มแสงนั้นโดยทันที แล้วควบแน่นกลายเป็นตัวอักษร “เฟิง” ขนาดใหญ่
ตัวอักษร “เฟิง” ปรากฏขึ้น
ชายหนุ่มชุดดำรับรู้เพียงว่าอากาศที่อยู่รอบๆ แปรปรวนไป และกฎแห่งอาคมที่ผันผวนเป็นเพราะมีมันเป็นศูนย์กลาง
ชายหนุ่มชุดดำที่เผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ มุมปากของเขากลับกระตุกเป็นรอยยิ้ม
วินาทีถัดมา กลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวก็ปะทุออกมาจากร่างของเขา ในเวลาเดียวกันโซ่สีม่วงทองหลายเส้นก็ปรากฏขึ้นบนผิวกายของเขา โซ่พวกนั้นล้วนแต่ส่องแสงเจิดจ้าจนแสบตาออกมา
ใจกลางทะเลทรายมืดสนิทไปทุกหนแห่ง พลังปราณฟ้าดินล้วนหลั่งไหลอย่างบ้าคลั่งเข้าไปยังจุดหนึ่งราวกับกรวย
…
ที่ชายขอบของทะเลทราย ชายผู้สวมหน้ากากที่ไม่รู้ว่าปรากฏตัวอยู่กลางอากาศเมื่อใด นั่นคือผู้อาวุโสสูงสุดเซียวหมิงของสำนักเซวี่ยเต้า
เดิมทีเขายืนอยู่กลางอากาศโดยเอามือไพล่หลัง แต่เมื่อกลิ่นอายแห่งการทำลายล้างพุ่งออกมาจากระยะไกล ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปในทันใด
“เขตอาคมฟ้าดินไม่มีทางที่จะหยุดยั้งคนผู้นี้ได้ ดูเหมือนว่าการไม่ใช่ของวิเศษชิ้นนั้นคงเลี่ยงไม่ได้จริงๆ”
เซียวหมิงใช้จิตสัมผัสของเขาเพื่อสัมผัสถึงความแปรปรวนที่ระเบิดออกมาในระยะไกล แล้วบ่นอย่างเคร่งขรึมเล็กน้อย
ทันทีที่สิ้นเสียง เขาอ้าปากคายม้วนกระดาษสีเหลืองอร่ามออกมา
ม้วนหนังสือนี้หมุนไปรอบๆ ด้านหน้าเขา และค่อยๆ คลี่ออกในแนวตั้ง เผยให้เห็นแผนที่ภูมิประเทศทะเลทราย
รูปร่างของทะเลทรายบนแผนที่นี้เหมือนกับทะเลทรายที่อยู่ตรงหน้าเขาทุกประการ
เซียวหมิงใช้นิ้วแตะแผนที่ข้างหน้าเขาอย่างเงียบๆ ทันใดนั้นวัตถุที่อยู่ตรงหน้าเขาสั่นสะท้าน ทะเลทรายในภาพวาดซึ่งเดิมดูเหมือนของไม่มีชีวิต ก็บิดตัวไปมาราวกับมีชีวิตขึ้นมาในทันใด
ในการตอบสนองต่อสิ่งนี้ ภายใต้เม็ดทรายบนพื้นผิวของทะเลทรายทั้งหมดเริ่มม้วนตัวอย่างดุเดือดด้วยกฎเกณฑ์บางอย่าง
“จงพัด”
เซียวหมิงเปลี่ยนท่าในการร่ายคาถา แล้วตะโกนใส่ภาพตรงหน้าของเขาอีกครั้ง
ทันทีที่ภาพของชายแดนทะเลทรายบิดเบี้ยว หมอกสีเหลืองจางๆ ก็ปรากฏขึ้นและเริ่มลอยตัวขึ้นอย่างช้าๆ
ในเวลาเดียวกัน ด้านหน้าของเซียวหมิงบิดเบี้ยวกลุ่มหมอกสีเหลืองโผล่ขึ้นมาจากอากาศ และในพริบตาพลันรวมตัวกันเป็นพายุหมุนขึ้นไปยังท้องฟ้าทีละสาย ยิ่งนานไปยิ่งมากขึ้น แล้วมารวมตัวกันเป็นแนวพายุ
กำแพงลมสีเหลืองซึ่งมองไม่เห็นว่าสูงเท่าไหร่ กลายเป็นภาพลวงตาในทันที
เหตุการณ์เดียวกันก็ปรากฏขึ้นพร้อมกันที่ชายขอบของทะเลทรายทั้งหมด
“ไป”
เซียวหมิงสะบัดแขนเสื้อ ร่ายคาถาโดยไม่ลังแลแม้เพียงนิด
ทันใดนั้นกำแพงลมทั้งหมดพลันส่งเสียงดัง หมุนวนออกมาจากใจกลางของทะเลทรายในทุกทิศทุกทาง ทำให้เกิดพายุทรายขึ้น ยิ่งพัดพาก็ยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ