ชายเครายาวโบกมืออีกครั้ง กองทัพอสูรทะเลที่อยู่ข้างหลังเขาเคลื่อนตัวต่อไปด้านหน้าในทันที
แต่ในขณะนั้น มีความผันผวนอย่างกะทันหันในอากาศที่อยู่ใกล้เคียง ลำแสงผลึกสายหนึ่งก็พุ่งออกมาโดยไม่มีสัญญาณแม้แต่น้อย สั่นไหวเล็กน้อยก็ย้ายตัวไปปรากฏต่อหน้าชายเครายาว และกลายเป็นคลื่นแสงม้วนตัวออกมา
ชายเครายาวตกใจ ทว่าก็อ้าปากพ่นก้อนแสงสีม่วงออกมาทันที เมื่อลมพัดขึ้นก็กลายเป็นโล่ขนาดใหญ่ที่ปกคลุมไปด้วยชั้นของลวดลายสีม่วง
ในเวลาเดียวกันเขาก็ทำท่าทางร่ายคาถา ร่างกายส่งเสียง ม่านน้ำสีน้ำเงินเข้มชั้นหนึ่งโผล่ออกมา ห่อหุ้มร่างกายเขาไว้ภายใน
ตูม ตูม! เมื่อโล่ยักษ์และม่านแสงและลำแสงประสานกัน แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ราวกับกระดาษแผ่นหนึ่ง
ผลึกลำแสงเพียงวนรอบชายเคราขาวราวประจุสายฟ้าและตัดร่างของเขาออกเป็นสองส่วนจากช่วงเอว ขณะที่ชายเครายาวมีสีหน้าตกใจ
ปัง!
ร่างของชายเครายาวที่แยกออกจากกันผ่านไปครู่หนึ่งกลับระเบิดออกเป็นฟองอากาศนับไม่ถ้วน
ฟองอากาศโปร่งใสพุ่งออกไปทุกทิศทุกทางอย่างหนาแน่น
ในขณะนี้ผลึกลำแสงมารวมกัน ก่อตัวเป็นคนร่างเล็กสีทองที่มความสูงประมาณหนึ่งชุ่น นิ้วมือหนึ่งชี้ไปยังอากาศด้านหนึ่ง ปราณกระบี่ที่มองไม่เห็นถูกปล่อยออกมาอย่างเลือนราง ม้วนตัวครอบคลุมฟองอากาศฟองหนึ่งอย่างรวดเร็ว ฟองอากาศนั้นหมุนไปรอบๆ แปรเปลี่ยนเป็นคนร่างเล็กที่มีหน้าตาเหมือนกับชายเคราขาวทุกประการ
แม้ว่าจะมีของวิเศษมากมายที่ปกป้องร่างกายของเขา แต่ของวิเศษทั้งหมดก็แตกสลายออกท่ามกลางปราณกระบี่อันแหลมคม หลังจากคนร่างเล็กกรีดร้อง ก็หายไปในกระบี่แสงที่วาบขึ้น
จากการปรากฏตัวของแสงผลึกไปจนถึงการกำจัดชายที่มีเครายาว มันเป็นเพียงชั่วพริบตา
เต่ายักษ์ภายใต้ชายเครายาวและกองทัพของอสูรทะเลที่อยู่ข้างหลังเขาไม่มีโอกาสตั้งตัวเลย และเมื่อพวกมันรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้น ก็ย่อมตกใจและโกรธเป็นธรรมดา
หลังจากเสียงคำรามของอสูรทะเลหลายสิบตัว คลื่นทะเลก็กลิ้งขึ้นไปบนท้องฟ้า ลำแสงวิญญาณก็กะพริบอย่างดุเดือด และการโจมตีทุกประเภทก็พุ่งตรงไปยังคนร่างเล็กสีทองราวกับหยาดฝน
เมื่อคนร่างเล็กสีทองเห็นสถานการณ์นี้ แสงเย็นวาบในดวงตาของเขา ร่างกายของเขาพร่าเลือน ทันใดนั้น ท้องฟ้าก็เต็มไปด้วยเงาของชายร่างเล็ก และปราณกระบี่ขนาดใหญ่ที่มองไม่เห็นม้วนตัวลงมาจากท้องฟ้า ไม่เพียงแต่ทำลายการโจมตีทั้งหมด ทั้งยังพุ่งลงไปกลางกองทัพอสูรทะเลอย่างไม่ปราณี
ปราณกระบี่ที่มองไม่เห็นเหล่านี้มีความคมอย่างหาที่เปรียบมิได้ และแม้แต่มหาเมธีธรรมดาก็ไม่กล้าตั้งรับมันโดยตรง แน่นอนว่าอสูรทะเลธรรมดาย่อมไม่สามารถต้านทานได้
อสูรทะเลจำนวนมากถูกฟันผ่าทันทีด้วยปราณกระบี่เพียงครั้งเดียว ย้อมสีน้ำทะเลให้แดงฉานด้วยเลือดของอสูรเหล่านี้
คราวนี้ในที่สุดเหล่าอสูรทะเลก็รู้สึกหวาดผวา หลังจากที่มีบางตัวส่งเสียงร้อยโหยหวน อสูรทะเลที่เหลือก็หนีหัวซุกหัวซุนไปทุกทิศทุกทาง
ภาพมายาของคนร่างเล็กบนท้องฟ้าหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว และกลายเป็นคนร่างเล็กสีทองอีกครั้ง หลังจากมองดูอสูรทะเลที่วิ่งหนีไปในระยะไกลอย่างเย็นชา ก็คว้าไปที่ความว่างเปล่าเหนือผิวน้ำด้วยมือหนึ่ง ทันใดนั้น สร้อยข้อมือสำหรับเก็บของก็พุ่งออกมาจากที่ที่ชายเครายาวล้มลง และสร้อยข้อมืออันวาววับก็ตกลงมาอยู่ในมือเล็กๆ
คนร่างเล็กเพียงเหลือบมองและไหวไหล่ ร่างของเขาก็หายไปในความว่างเปล่า
ในเวลาเดียวกัน ที่ด้านหน้าของเรือศักดิ์สิทธิ์วิญญาณน้ำหมึก หานลี่เก็บแสงสีฟ้าในดวงตาของเขาและพึมพำกับตัวเอง
“เอาล่ะ แขกที่ไม่ได้รับเชิญเหล่านี้ถูกขับไล่ไปแล้ว ตอนนี้สามารถรอฟังข่าวได้อย่างสบายใจ”
จูกั่วเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ข้างหลังได้ยินคำพูดของหานลี่ กะพริบตาปริบๆ ท่าทีดูสับสนเล็กน้อย
หลังจากนั้นไม่นานหานลี่ก็หลับตาลงนั่งโคจรพลังอีกครั้ง
ครึ่งวันต่อมา เมื่อแสงแดดบนท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง ทันใดนั้นยันต์ผืนหนึ่งบินออกมาจากทะเล
หานลี่ลืมตาขึ้นแล้วคว้ายันต์ไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง
ปัง!
เครื่องรางดังกล่าวระเบิดออก กลายเป็นลูกบอลเพลิงสีแดง ในเวลาเดียวกัน ข้อความถูกส่งตรงไปยังจิตสัมผัสของหานลี่ ทำให้เกิดความปิติยินดีปรากฏบนใบหน้าของเขา
“ผู้อาวุโส หรือว่า…” จูกั่วเอ๋อร์เห็นดังนี้ อดไม่ได้ที่จะถามขึ้น
“ใช่แล้ว ในที่สุดก็พบสถานที่ที่ดูเหมือนเป็นที่ตั้งของทางเข้าแล้ว ไปกันเถอะ พวกเราบังคับเรือตรงไปยังที่นั่น” หานลี่ลุกขึ้นยืนแล้วหัวเราะออกมา
เมื่อจูกั่วเอ๋อร์ได้ยินสิ่งนี้ ก็ย่อมรู้สึกยินดีด้วยเช่นกัน
ภายใต้การกระตุ้นของหานลี่ ม่านแสงสีดำก่อตัวขึ้นปกคลุมรอบเรือขนาดยักษ์ทันทีและค่อยๆ จมลงสู่ทะเล
ครึ่งชั่วยามต่อมา ในสถานที่ลับที่ก้นทะเลที่เต็มไปด้วยพืชก้นทะเลหลากสีสัน หุ่นเชิดหลายร้อยตัวรวมตัวกันอย่างเรียบร้อยที่ด้านหน้าหินสีแดงเข้ม
บรรพชนฮวาสือและทุเหย่ายืนอยู่หน้ากลุ่มหุ่นเชิด ชี้ไปที่ก้อนหินสีแดงเข้ม
น้ำทะเลที่ไกลๆ สั่นไหว เรือยักษ์สีดำส่งเสียงหวูดร้อง บินมาจากระยะไกลราวกับปีศาจทะเล เมื่อแสงวูบวาบขึ้นเหนือหินสีแดงเข้ม หานลี่ซึ่งยืนอยู่บนหัวเรือก็ทำท่าทางร่ายคาถาด้วยมือข้างหนึ่ง
ม่านแสงสีดำบนเรือแบ่งก้อนแสงออกมาและจากนั้นมันก็ลอยขึ้นอย่างรวดเร็ว ครอบคลุมหลายลี้ในทันที ทำให้น้ำทะเลที่อยู่ใกล้เคียงทั้งหมดถูกผลักออกจากม่านแสง
“อาจารย์หาน”
“นักพรตหาน”
บรรพชนฮวาสือและมังกรวารีในร่างมนุษย์แสดงความเคารพเมื่อเห็นสิ่งนี้
“ที่นี่คือตำแหน่งที่พวกเจ้าค้นพบ?”
ร่างกายของหานลี่พร่าเลือนหายไปจากบนเรือยักษ์มาปรากฏขึ้นที่ด้านหน้าของก้อนหินยักษ์สีแดง แล้วมองพิจารณามัน
“ถูกต้อง หลังจากข้าและผู้อาวุโสถูคำนวณซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็ไม่น่าจะผิด พวกเราสัมผัสได้ถึงความผันผวนของมิติบางส่วนที่รั่วไหลออกมาจากที่นี่” บรรพชนฮวาสือกล่าวอย่างเคารพ
“ท่านฮวาสือกล่าวถูกต้องแล้ว ข้ามีความมั่นใจมากถึงแปดส่วนว่านี่ต้องเป็นปากทางเข้าที่ท่านต้องการตามหาอย่างแน่นอน” ถูเหย่าเอ่ยอย่างมั่นใจ
“ลำบากพี่ถูแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าขอเข้าไปดูก่อนแล้วค่อยว่ากันใหม่ กั่วเอ๋อร์เจ้ามานี่หน่อย” หานลี่พยักหน้า หันไปโบกมือเรียกจูกั่วเอ๋อร์ที่ยังคงอยู่บนเรือยักษ์ให้ลงมาด้านล่าง
จูกั่วเอ๋อร์เห็นดังนั้น จึงรีบเหาะลงมายืนข้างหานลี่อย่างรวดเร็ว
“เจ้าเข้าไปกับข้า ตรวจสอบดูว่าที่นี่ใช่ปากทางเข้าเสี่ยวหลิงเทียนจริงๆ หรือไม่ หากว่าใช่ ค่อยให้
ฮวาสือนำเรือยักษ์และเหล่าหุ่นเชิดตามเข้าไป” หานลี่สั่งการ
“เจ้าค่ะ”
“รับบัญชา ท่านอาจารย์”
จูกั่วเอ๋อร์และฮวาสือตอบรับพร้อมกัน
แม้ว่าถูเหย่าจะรู้สึกว่าการกระทำของหานลี่นั้นมีความเสี่ยงเล็กน้อย แต่เมื่อนึกถึงพลังอันน่าทึ่งที่เขาแสดงไว้ก่อนหน้านี้ หลังจากลังเลอยู่พักหนึ่ง เขาก็ยังไม่ได้พูดอะไรที่เป็นการห้ามปรามใดๆ
ต่อมา หานลี่ที่ร่างกายถูกล้อมไปด้วยรัศมีแสง นำจูกั่วเอ๋อร์ห่อเข้ามาด้วย กลายเป็นก้อนแสงสีทองพุ่งเข้าไปยังก้อนหินใหญ่สีแดง
หลังจากที่พื้นผิวพร่าเลือนและบิดเบี้ยว ทั้งสองคนก็หายเข้าไปโดยไม่หลงเหลือแม้แต่เงา หลงเหลือเพียงก้อนหินยักษ์ที่ดูธรรมดา
ด้านนอกเหลือเพียงบรรพชนฮวาสือ ถูเหย่าและหุ่นเชิดกลุ่มหนึ่งที่ยังคงรออย่างเงียบ ๆ
อีกด้านหนึ่ง หานลี่และจูกั่วเอ๋อร์เมื่อเข้ามาในก้อนหินยักษ์สีแดงเข้ม รัศมีแสงก็ควบแน่น ร่างนั้นนิ่งมากราวกับติดอยู่ในเขตต้องห้ามบางอย่าง ในเวลาเดียวกัน ความผันผวนของมิติที่เดิมสัมผัสได้อย่างจางๆ จากภายนอกนั้นรุนแรงมาก และกลุ่มของม่านแสงเจ็ดสีก็ปรากฏขึ้นไม่ไกลข้างหน้า ค่อยๆ หมุนวนโดยไม่หยุด
หลังจากหานลี่กวาดจิตสัมผัสสำรวจม่านแสงเจ็ดสีด้านหน้า สีหน้าเขาก็ดีขึ้นมาก ตะโกนออกมาเสียงดัง ร่างกายขยายใหญ่โตขึ้นกลายเป็นวานรยักษ์ขนทองที่สูงกว่าสิบจั้ง
หลังจากที่ร่างกายของเขาเปลี่ยนไป เขาก็กลับกระปรี้กระเปร่าทันที และหลังจากจับจูกั่วเอ๋อร์ข้างๆ ด้วยมืออันใหญ่ เขาก็ก้าวไปยังม่านแสงเจ็ดสี
เสียงจ๋อมดังขึ้น
หลังจากที่ลิงยักษ์พุ่งเข้าไปในม่านแสง ร่างทั้งร่างก็หายวับไปในคลื่นแปลกประหลาด
ในโลกอื่น ไหนสักแห่งในป่าทึบ มีเสียงดังสะเทือนเลือนลั่นไปทั่วผืนปฐพี
ต้นสนเขียวขจีขนาดใหญ่ต้นหนึ่งถูกแสงสีทองเจาะทะลุผ่านเป็นรูนับไม่ถ้วน และหลังจากที่ต้นไม้สั่นสะท้าน ทั่วทั้งต้นก็ระเบิดออกเป็นเศษไม้นับไม่ถ้วน เหลือเพียงหลุมดินขนาดใหญ่ลึกหลายจั้งในสถานที่เดิม
ที่จุดที่อยู่เหนือหลุมมากกว่าสิบจั้ง ม่านแสงเจ็ดสีกำลังหมุนไม่หยุด และหลังจากที่มันควบแน่นเข้าหากัน เงาสองเงาก็บินออกมาจากมัน
ชายหนึ่ง หญิงหนึ่ง ที่แท้คือหานลี่และจูกั่วเอ๋อร์ที่กลับมาอยู่ในรูปลักษณ์เดิม
หานลี่เพียงแค่มองสำรวจรอบด้าน คิ้วก็ขมวด
“พลังวิญญาณที่นี่ด้อยกว่าโลกวิญญาณเล็กน้อย กั่วเอ๋อร์ ที่นี่อาจจะเป็นเสี่ยวหลิงเทียน”
“ผู้อาวุโสหานโปรดรอสักครู่ แม้ว่าข้าจะคิดว่าความเข้มข้นของพลังงานทางจิตวิญญาณใกล้เคียงกันมาก ทว่ารอให้ข้าตรวจสอบอย่างละเอียดอีกสักหน่อย จะสามารถทราบได้ว่าที่นี่ใช่เสี่ยวหลิงเทียนหรือไม่” จูกั่วเอ๋อร์กล่าวอย่างตื่นเต้นหลังจากสำรวจไปรอบๆ
จากนั้นเด็กสาวก็พลิกมือข้างหนึ่ง ศาสตรายุทธ์ชิ้นหนึ่งที่อยู่ในรูปแบบผ้าเช็ดหน้าไหมปรากฏขึ้นในมือ
นางโยนผ้าเช็ดหน้าออกไปด้านหน้า นิ้วมือจิ้มไปอย่างรวดเร็วที่ผ้าเช็ดหน้าผืนนั้น ทันใดนั้นรัศมีแสงสีขาวก็ม้วนตัวออกมา แผนที่ที่ชัดเจนมากแผ่นหนึ่งปรากฏขึ้น
“เคล็ดวิชาลับของข้าได้ผล ที่นี่คือเสี่ยวหลิงเทียนอย่างไม่ต้องสงสัย ขอดูหน่อยว่าตอนนี้พวกเราอยู่ที่ไหน…โอ้ ที่แท้อยู่ในทะเลเขียวของเสี่ยงหลิงเทียน” จูกั่วเอ๋อร์ตอบกลับด้วยความดีใจ ทว่าหลังจากที่ตรวจสอบแผนที่บนผ้าเช็ดหน้าอย่างละเอียด ก็ส่งเสียงต่ำออกมาดูเหมือนแปลกใจเป็นอย่างมาก
“ไม่ว่าที่นี่จะเป็นที่ไหน ในเมื่อเป็นเสี่ยวหลิงเทียนไม่ผิดแน่ เช่นนั้นก็ดี เจ้ารออยู่ที่นี่ ข้าจะไปรับพวก
ฮวาสือมาที่นี่ เส้นทางมาที่นี่ผ่านมาได้ยากกว่าที่ข้าคิดไว้ ให้พึ่งฮวาสือเพียงคนเดียวเพื่อพาคนอื่นๆ มาที่นี่คงจะเป็นเรื่องที่ยากเกินไป” หานลี่พยักหน้ารับ เอ่ยคำสั่งการออกมา
เมื่อจูกั่วเอ๋อร์ได้ยินคำสั่ง จึงโค้งตัวตอบรับ
เช่นนั้นร่างของหานลี่พลันสั่นคลอนแล้วมุ่งสู่ม่านแสงเจ็ดสีอีกครั้ง
ผ่านไปไม่ถึงหนึ่งกาน้ำชา อากาศเหนือหลุมดินก็สั่นคลอนอีกครั้ง เรือเหาะสีดำที่หดตัวเล็กลงหลายส่วนค่อยๆ บินออกมา
ทันทีที่เรือแล่นออกไป มันก็กลับคืนสู่ขนาดเท่าเนินเขาในทันที และที่หัวเรือก็มีร่างหานลี่และบรรพชน
ฮวาสือยืนอยู่
ส่วนถูเหย่าและลูกสาว พวกเขากล่าวขอบคุณหานลี่อีกครั้งที่ทางด้านนู้น กล่าวคำอำลาและจากไป
จูกั่วเอ๋อร์เห็นดังนี้ ก็เหาะขึ้นมาบนเรือด้วยรอยยิ้ม
“เอาล่ะกั่วเอ๋อร์ เจ้าสามารถเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับทะเลเขียวแห่งนี้ให้พวกเราฟัง นอกจากนี้ ยังสามารถบอกเล่าเกี่ยวกับที่ที่เจ้าเคยอาศัยอยู่ ที่ข้ามาเสี่ยงหลิงเทียนในครานี้ เป็นเพราะต้องการพูดคุยกับแม่ของเจ้า” หานลี่กล่าวกับจูกั่วเอ๋อร์ด้วยรอยยิ้ม
“ทะเลสีเขียวเป็นสถานที่ที่เผ่าวิญญาณสีเขียวอาศัยอยู่ และวิญญาณสีเขียวเป็นเผ่าพันธุ์ที่ทรงพลังที่สุดของเสี่ยวหลิงเทียน และเป็นศัตรูตัวฉกาจของเผ่าพันธุ์มนุษย์เสี่ยวหลิงเทียนของเรา สำหรับที่ที่กั่วเอ๋อร์เคยอาศัยอยู่ แน่นอนว่าต้องเป็นเขตที่เผ่ามนุษย์รวมตัวกัน ซึ่งอยู่คนละฝั่งตรงกันข้ามกับที่ตั้งของทะเลสีเขียว อีกฟากของเสี่ยวหลิงเทียนที่ไกลออกไปมาก” จูกั่วเอ๋อร์ตอบด้วยความหดหู่ใจเล็กน้อย