ใช้เวลาเพียงไม่นาน ข่าวที่ผู้แข็งแกร่งระดับสูงของเผ่าวิญญาณเขียวถูกมหาเมธีแห่งเผ่ามนุษย์สังหารก็แพร่กระจายออกไปทันที
ทันทีที่เผ่าต่างแดนที่อยู่ติดกับเผ่าวิญญาณเขียวได้ยินข่าวนี้ ต่างก็ตกตะลึงและส่งคนไปสืบหาข้อมูลโดยรอบว่าข่าวดังกล่าวเป็นความจริงหรือไม่
หลังจากนั้นไม่นาน เรื่องนี้ก็สร้างความปั่นป่วนไปทั่วทั้งเสี่ยวหลิงเทียนโดยสมบูรณ์
ในเวลานี้ เรือยักษ์วิญญาณน้ำหมึกก็ได้เดินทางออกจากเขตที่ควบคุมโดยเผ่าวิญญาณเขียว และตรงไปยังอีกฟากของเสี่ยวหลิงเทียนที่เป็นสถานที่ตั้งของเผ่ามนุษย์
ไม่กี่วันต่อมา ณ อาณาเขตของเผ่ามนุษย์ บนยอดเขาขนาดยักษ์สูงเกือบหมื่นจั้ง ในตำหนักหินที่ดูเรียบง่าย ผู้แข็งแกร่งเผ่ามนุษย์หลายคนนั่งล้อมรอบโต๊ะหิน กำลังสนทนาพาทีกัน
เผ่ามนุษย์เหล่านี้เป็นชายสามคนและหญิงหนึ่งคน ซึ่งทั้งหมดล้วนมีพลังยุทธ์อยู่ในระดับผสานอินทรีย์หรือสูงกว่า ขณะสนทนากัน การแสดงออกของพวกเขาก็เคร่งขรึมมากเช่นกัน
“ข่าวไม่ผิดพลาดใช่หรือไม่ ที่ระดับมหาเมธีของเผ่ามนุษย์เป็นผู้สังหารผู้อาวุโสสามคนของเผ่าวิญญาณเขียวพร้อมกับวิญญาณบรรพบุรุษต้นไม้โบราณในคราเดียว” ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่มีผิวหนังสีดำถามขึ้นเสียงดัง
“ถึงแม้สายข่าวของเราจะไม่สามารถเข้าไปในทะเลเขียวได้ แต่ดูจากปฏิกิริยาตอบสนองของแต่ละเผ่าแล้ว ข่าวนี้น่าจะมีมูลความจริงอยู่หลายส่วน มิเช่นนั้น เผ่าวิญญาณเขียวคงไม่รีบถอนกำลังทั้งหมดกลับเข้าทะเลเขียวภายในเวลาสั้นๆ และเตรียมการปิดผนึกป่าโดยสมบูรณ์” ชายชราผมขาวอีกคนตอบพลางลูบเคราตนเอง
“แต่ว่าท่านกับข้าต่างก็รู้ดีว่าในเสี่ยวหลิงเทียน เผ่ามนุษย์ของพวกเราไม่เคยมีการกำเนิดของระดับมหาเมธีเลย ก่อนหน้านี้ไม่มีและไม่น่าจะเป็นไปได้ในอนาคตด้วยเช่นกัน” หญิงสาวสวยในชุดสีน้ำเงินตรงข้าม กล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว
“หากเป็นเมื่อก่อนคงกล่าวเช่นนี้ได้ แต่ตอนนี้พวกท่านลืมเซียนจันทราไปแล้วหรือ ด้วยความสามารถอันน่าทึ่งของเซียนจันทราที่บำเพ็ญเพียรจากระดับหลอมสุญตาไปยังระดับผสานอินทรีย์ได้ในระยะเวลาสั้นๆ ไม่แน่ว่ายังมีความหวังที่จะทำลายตำนานของเสี่ยวหลิงเทียนที่ไม่เคยมีมหาเมธีปรากฏขึ้นมาก่อนก็เป็นได้” ชายผู้มีใบหน้าเยือกเย็นกล่าวเช่นนั้น
“ย่อมไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึงความสามารถของเซียนจันทรา ใช้เวลาเพียงแค่สองพันปีก็สามารถขึ้นเป็นผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งของเผ่ามนุษย์เรา และยังสามารถต่อกรกับวิญญาณบรรพบุรุษต้นไม้โบราณของเผ่าวิญญาณเขียวโดยไม่พ่ายแพ้ ทว่ายังคงเป็นไปได้ยากที่เขาจะสามารถเข้าสู่ระดับมหาเมธี เนื่องด้วยพลังวิญญาณของเสี่ยวหลิงเทียนมีไม่เพียงพอที่จะทำให้นางก้าวเข้าสู่ระดับมหาเมธี” สีหน้าของหญิงงามในชุดน้ำเงินกระตุกเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำว่า “เซียนจันทรา” ทว่ายังคงส่ายศีรษะตอบกลับ
“เป็นไปได้ยาก แต่ด้วยความสามารถอันน่าทึ่งของเซียนจันทรา ยังคงมีโอกาสอยู่” ชายที่เยือกเย็นโต้กลับอย่างหยาบคาย
“หากเซียนจันทราสามารถก้าวไปสู่ระดับมหาเมธีได้ สำหรับพวกเราเผ่ามนุษย์ในเสี่ยวหลิงเทียนแล้วย่อมเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่ง ทว่าด้วยสถานการณ์ตอนนี้ของเซียนจันทรา อย่างน้อยต้องใช้เวลาหลายร้อยปีเพื่อข้ามผ่านการแบ่งระดับนี้ จริงสิ ตอนนี้ท่านเซียนกำลังฝึกฝนเคล็ดวิชาลับแขนงหนึ่งที่สำคัญมาก ไม่รู้ว่าจะสามารถเข้าร่วมการชุมนุมในครั้งนี้ได้หรือไม่” ชายชราผมขาวเอ่ยอย่างใจเย็น
“ท่านนักพรตเถี่ยโปรดวางใจ แม้ว่าเซียนจันทราจะไม่สามารถออกจากด่านได้ในตอนนี้ แต่ข้าได้ส่งรายงานที่เกี่ยวข้องไปยังสถานที่ปิดด่านของนางแล้ว เชื่อว่าอีกไม่นานคงจะมีข่าวคราวมาถึงพวกเราในไม่ช้า” ชายผอมเพรียวที่ปิดปากเงียบไม่พูดอะไรก่อนหน้านี้ จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นมาเบาๆ
“เยี่ยมมาก เรื่องใหญ่เช่นนี้หากท่านเซียนไม่เข้าร่วมการปรึกษาหารือในครั้งนี้ ผู้เฒ่าคงไม่สบายใจเป็นอย่างมาก ทีนี้มาพูดคุยกันเถิด ว่ามหาเมธีเผ่ามนุษย์ผู้นี้โผล่มาจากไหนกัน” ชายชราผมขาวพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ แล้วถามขึ้นอีกครั้ง
“จะมาจากที่ไหนได้อีก ข้ามั่นใจมากว่าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับมหาเมธีที่บุกเข้ามาจากโลกภายนอก” หญิงงามชุดน้ำเงินเลิกคิ้ว
“นี่เป็นเรื่องที่เป็นไปได้มากที่สุด ทว่าเนื่องจากคนผู้นี้จะเป็นเผ่ามนุษย์ เขาต้องมาจากแดนวิญญาณอย่างแน่นอน อีกทั้งยังมีวิธีบุกเข้ามาในเสี่ยวหลิงเทียน แน่นอนว่าก็ต้องกลับออกไปในเส้นทางเดียวกับตอนเข้ามา เรื่องนี้สำหรับข้าแล้ว นับว่าเป็นโอกาสครั้งหนึ่งในชีวิตที่จะได้ไปสู่แดนวิญญาณ” ชายผิวคล้ำกล่าวอย่างเห็นด้วย
“มีเพียงแค่แดนวิญญาณเท่านั้นที่พวกเราจะมีโอกาสได้ก้าวเข้าสู่ระดับมหาเมธี แม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีเผ่าที่เคยค้นพบทางออกจากแดนนี้ ทว่าน่าเสียดายที่ไม่มีผู้ใดสามารถต้านทานพลังของส่วนต่อประสานระหว่างแดนที่น่าสะพรึงกลัวได้ ทำได้เพียงมองอย่างทอดถอนใจ หากมหาเมธีผู้นี้บุกเข้ามาจากโลกภายนอกจริงๆ ก็เป็นโอกาสอันดีสำหรับเผ่ามนุษย์ในเสี่ยวหลิงเทียน” หลังจากคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ชายที่เยือกเย็นก็กล่าวด้วยแววตาที่ลุกโชน
“อย่างไรก็ตาม พวกเราไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับแดนวิญญาณมากนัก ไม่ว่ามหาเมธีผู้นี้จะมาจากแดนวิญญาณจริงหรือไม่ เป็นผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์จริงหรือเปล่า เรื่องนี้ยังไม่เป็นที่ประจักษ์ แต่มีสิ่งหนึ่งที่แน่นอน คนผู้นี้คงจะมายังที่อยู่อาศัยของเผ่ามนุษย์ในแดนนี้อย่างแน่นอน ดังนั้นจึงต้องเตรียมการป้องกันไว้บ้าง หากคนผู้นี้ไม่เห็นแก่การเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกันและมีความคิดที่จะทำร้าย พวกเราก็จำเป็นต้องเตรียมการต่อสู้” ชายชราผมขาวเอ่ยอย่างผู้มากประสบการณ์
“คำพูดของไป๋เวิงนั้นมีเหตุผล ทว่าบุคคลนั้นสามารถสังหารวิญญาณบรรพบุรุษต้นไม้โบราณทั้งสามที่ติดกับเผ่าวิญญาณเขียวได้ในคราเดียว อิทธิฤทธิ์คงมากเกินกว่าที่จะจินตนาการได้ เมื่อเวลานั้นมาถึงเซียนจันทราจำเป็นต้องออกมาต่อกรกับเขา เพราะท้ายที่สุดแล้วท่านเซียนเป็นคนเดียวในหมู่พวกเราที่มีความแข็งแกร่งใกล้เคียงกับมหาเมธีที่แท้จริง” ชายผู้เยือกเย็นเอ่ยด้วยประกายเย็นเยียบในแววตาของเขา
“ข้าเกรงว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่เซียนจันทราจะออกมาจากด่านในเร็ววัน อีกทั้งที่ที่นางอยู่ในตอนนี้…” ชายร่างผอมขมวดคิ้วและต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง
ในเวลานี้เอง มีเสียงดังชัดเจนดังขึ้นอยู่นอกตำหนัก แสงสีเงินพุ่งมา หลังจากกะพริบไม่กี่ที ก็ไปหมุนวนอยู่ที่ท้องฟ้าเหนือทุกคน กลายเป็นกระบี่เล็กสีเงินเล่มหนึ่งร่วงหล่นลงมาที่โต๊ะหินด้านหน้าของพวกเขา
บนกระบี่เล่มเล็กสีเงิน มีม้วนคัมภีร์หยกสีขาวซีดถูกเสียบไว้อยู่ในแนวนอน
เมื่อเห็นดังนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าต่างกัน
หลังจากที่ชายชราผมขาวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ยกมือขึ้นและทำให้ม้วนคัมภีร์หยกหลุดจากกระบี่สีเงิน
หลังกระบี่เล่มเล็กสั่นคลอน มันก็กลายเป็นแสงสีเงินจากไป หลังจากนั้นไม่นาน ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยที่ประตูตำหนัก
สายตาของคนอื่นๆ ตกอยู่ที่สิ่งของในมือของชายชราผมขาว
ผู้เฒ่าวางแผ่นม้วนคัมภีร์หยกบนหน้าผากของเขาและหลับตาลงเล็กน้อยเพื่อใช้จิตสัมผัสตรวจสอบด้านใน
ผ่านไปครู่หนึ่ง สีหน้าของชายชราเปลี่ยนไป เขาลืมตาขึ้นด้วยความปิติยินดี
“ที่แท้เป็นกระบี่ส่งสารจากเซียนจันทรา ท่านนักพรตสัญญาว่า เมื่อมหาเมธีผู้นั้นเข้าสู่เขตตั้งถิ่นฐานของเผ่ามนุษย์ เขาจะไปพบคนผู้นั้นพร้อมกับพวกเรา”
“เป็นเช่นนี้ก็ดี หากมีท่านมาด้วยกัน ข้าก็เบาใจขึ้นมาก” เมื่อได้ยินดังนั้น ชายร่างผอมก็เอ่ยด้วยท่าทางยินดีมาก
คนอื่นก็มีท่าทีผ่อนคลายเช่นเดียวกัน
หลังจากหารือกันเสร็จ ทุกคนก็ออกจากตำหนักหินและเริ่มเตรียมการบางอย่าง
ณ หุบเขาที่ซ่อนอยู่อีกแห่งหนึ่ง ในห้องลับที่ทางออกถูกชั้นน้ำแข็งปิดไว้ บนวงล้อสีเงินที่สว่างราวกับดวงจันทรา หญิงสาวร่างเพรียวบางในชุดขาวนั่งขัดสมาธิคิดอะไรเงียบๆ อยู่บนนั้น
ร่างของหญิงสาวราวกับรูปปั้นที่ไม่ขยับเขยื้อนใดๆ ทว่าเผยให้เห็นถึงกิริยาท่าทางที่ไม่สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจน ใบหน้าราวกับหยกสลักมีแสงสีเงินปกคลุมอยู่จางๆ ทำให้ไม่สามารถมองเห็นใบหน้าที่แท้จริงของนางได้
…
กว่าครึ่งเดือนต่อมา เหนือทิวเขาที่เรียงรายต่อเนื่องกันที่ชายแดนของเผ่ามนุษย์ มีเสียงคำรามดังขึ้น เรือยักษ์สีดำราวกับภูเขาลูกเล็ก บินผ่านมาในอากาศ หลังจะสั่นเล็กน้อย ก็พุ่งตรงออกไปยังส่วนลึกของเขตการตั้งถิ่นฐานของเผ่ามนุษย์
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับล่างที่อยู่ ณ เทือกเขาด้านล่างเห็นสถานการณ์เช่นนี้ อดไม่ได้ที่จะตื่นตะลึง
เผ่ามนุษย์เหล่านี้อยู่ในส่วนลึกของเสี่ยวหลิงเทียน ทำให้ไม่เคยเห็นศาสตรายุทธ์ที่บินได้ขนาดใหญ่นี้มาก่อน
อย่างไรก็ตาม มีบางคนที่มีจิตใจห่วงผู้อื่น ทันทีที่เห็นเรือยักษ์สีดำ ก็รีบส่งข่าวนี้ไปให้แก่ผู้ที่อยู่ด้านหลังโดยตรงผ่านศาสตรายุทธ์บางอย่าง
ดังนั้นแม้ว่าเรือศักดิ์สิทธิ์วิญญาณน้ำหมึกจะสะดุดตาอย่างยิ่ง ทว่าก็ไม่มีผู้ใดออกไปหยุดยั้งในขณะที่มันเคลื่อนที่ผ่านน่านฟ้าเหนือเขตที่ตั้งของเผ่ามนุษย์
สองวันต่อมา หลังจากบินข้ามทะเลสาบกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง เรือยักษ์สีดำก็หยุดอยู่ระหว่างเนินเขาหลายลูกที่แปลกตา
“ผู้อาวุโสหาน ที่นั่นคือสถานที่พำนักของท่านแม่ นอกจากข้าและท่านแม่แล้ว ยังมีท่านลุงท่านอาและพี่สาวน้องสาวคนอื่นๆ อาศัยอยู่ในภูเขาลูกอื่นอีก” เสียงของหญิงสาวเต็มไปด้วยความปิติยินดีดังมาจากเรือยักษ์ที่ลอยอยู่กลางอากาศ
ตามมาด้วยแสงสีเงินที่สว่างวาบ จูกั่วเอ๋อร์รีบลงจากเรือลำใหญ่ด้วยความตื่นเต้นอย่างมาก และมุ่งตรงไปยังเนินเขาลูกหนึ่ง
“ดูเหมือนว่าเจ้าหนูนี่จะคิดถึงบ้านเกิดจริงๆ มิเช่นนั้นนางคงไม่รีบออกไปโดยไม่บอกกล่าวกันเช่นนี้” เสียงกลั้วหัวเราะของชายหนุ่มผู้หนึ่งดังขึ้นจากเรือยักษ์
“อาจารย์หาน กั่วเอ๋อร์ไม่เคยอยู่ห่างจากบ้านเกิดนานขนาดนี้มาก่อน คราวนี้ในที่สุดนางก็ได้กลับมาพบเจอญาติของนาง ย่อมเก็บอาการดีใจไว้ไม่อยู่” อีกเสียงที่เจือไปด้วยความเคารพยิ่งดังขึ้น
สิ้นเสียงพูด แสงสีเขียวอ่อนๆ ส่องประกายในอากาศ หานลี่พร้อมกับบรรพชนฮวาสือปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหน้าของเรือยักษ์ มองลงไปที่เนินเขาหลายลูกด้านล่าง
ในเวลานี้ หลังจูกั่วเอ๋อร์สั่นคลอน ก็หายเข้าไปในกำแพงหินที่ไหล่เขาโดยไม่เห็นแม้แต่เงา
หานลี่หัวเราะเล็กน้อย รอเวลาอย่างเงียบๆ อยู่บนท้องฟ้า
เขาในตอนนี้ ย่อมสามารถสัมผัสได้ว่ามีใครบางคนกำลังศาสตรายุทธ์บางอย่างสังเกตการณ์ตัวเองและเรือยักษ์อยู่บนยอดเขาอีกแห่งหนึ่งอย่างเงียบๆ
เวลาผ่านไปหนึ่งมื้ออาหารเต็มๆ มีรัศมีแสงส่องสว่างขึ้นที่กำแพงหินที่จูกั่วเอ๋อร์หายตัวไป หญิงสาวที่แต่งตัวเรียบง่ายนางหนึ่งเดินออกมาจากที่นั่น
เมื่อเห็นใบหน้าของนาง ก็สามารถบอกได้ว่าดูคล้ายคลึงกับจูกั่วเอ๋อร์ และหญิงสาวที่มีดวงตาสีแดงที่อยู่ด้านข้างก็คือจูกั่วเอ๋อร์ที่ก่อนหน้านี้หายเข้าไปในกำแพงหินนั่นเอง
“ข้าน้อยหลิงเฟยเซียนแสดงความเคารพต่อท่านผู้อาวุโส! ได้ยินกั่วเอ๋อร์เล่าให้ฟังว่า ครั้งนี้โชคดีอย่างมากที่ได้ท่านผู้อาวุโสช่วยชีวิต จึงสามารถใช้ชีวิตที่โลกภายนอกได้ ข้าน้อยรู้สึกขอบคุณอย่างหาที่สุดมิได้” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองไปยังหานลี่และบรรพชนฮวาสือที่อยู่กลางอากาศ และโค้งตัวแสดงความเคารพพร้อมกับจูกั่วเอ๋อร์จากที่ไกลๆ ในทันที
“เจ้าคงเป็นแม่ของจูกั่วเอ๋อร์ ที่แท้พลังยุทธ์ของเจ้าก็ไม่อ่อนแอ ลุกขึ้นเถิด ที่ข้ามาในครั้งนี้นอกจากจะส่งจูกั่วเอ๋อร์กลับบ้านแล้ว ยังมีเรื่องอยากจะถามเจ้าสักหน่อย” หานลี่กวาดตาสำรวจหญิงสาวจากบนอากาศ พบว่านางมีพลังยุทธ์อยู่ในระดับหลอมสุญตา หลังจากสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาก็เอ่ยขึ้น
“เจ้าค่ะ เชิญท่านผู้อาวุโสไปยังที่พำนักของข้าเพื่อสนทนากัน แม้ว่าที่นั่นจะไม่มีชาวิญญาณหรือสุราวิญญาณ ทว่ามีผลไม้วิญญาณหลายชนิดที่ไม่ค่อยพบเห็นได้ในโลกภายนอก หวังว่าผู้อาวุโสจะได้ลิ้มลองสักหน่อย” หลังจากหญิงสาวลุกขึ้น ก็กล่าวอย่างเคารพ
“โอ้ ในเมื่อเจ้ามีเจตนาเช่นนี้ เช่นนั้นข้าก็ยินดีรับไว้ ฮวาสือ เจ้ารออยู่ด้านนอกเถอะ” หลังหานลี่พยักหน้า เขาก็ออกคำสั่งแก่บรรพชนฮวาสือด้านข้างเขา