สามวันต่อมา ในห้องโถงของเรือขนาดใหญ่สีดำ นั่งอยู่บนตำแหน่งประธานพร้อมกับชายสามคนและหญิงหนึ่งคน สี่คนนี้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์
หนานกงหวั่นมาพร้อมกับสีหน้าอ่อนโยน
“เข้าพบผู้อาวุโสหาน”
ทันทีที่ทั้งสี่คนเดินเข้ามาในห้องโถง โค้งตัวคำนับไปทางหานลี่
“ลุกขึ้นเถิด ข้าคิดว่าพวกท่านคงรับรู้ถึงความสัมพันธ์ของข้ากับหนานกงหวั่นแล้ว จุดประสงค์หลักของการมาพบข้าในครั้งนี้ ข้าก็รับรู้มาบ้างแล้ว” หานลี่โบกมือและกล่าวเบาๆ
“พวกข้าคิดว่าความสามารถของตนเองไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้ใด เป็นเพราะข้อจำกัดของเสี่ยวหลิงเทียนที่ทำให้ไม่สามารถพัฒนาไปได้ไกลกว่านี้ หากผู้อาวุโสพาพวกเรากลับไปยังแดนวิญญาณ ข้าน้อยและคนอื่นๆ จะจดจำบุญคุณในครั้งนี้ไว้ในใจและไม่มีวันลืมเลือนอย่างแน่นอน” ชายชราผมขาวก้มศีรษะลงเล็กน้อย เป็นตัวแทนในการเอ่ยแสดงความเคารพแทนคนอื่นๆ
“หวั่นเอ๋อร์ได้รับการดูแลจากพวกท่านในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หากทุกท่านต้องการกลับไปแดนวิญญาณกับข้า ย่อมไม่ใช่ปัญหา แต่ก่อนหน้านั้น ทุกท่านต้องจัดการทุกอย่างในเสี่ยวหลิงเทียนให้ดีเสียก่อน สิ่งที่ข้าไม่ต้องการให้เกิดขึ้นคือเรื่องที่เมื่อพวกเราจากไป เผ่ามนุษย์ที่เหลืออยู่จะถูกเผ่าอื่นๆ ทำให้เป็นทาสในทันที” หานลี่กล่าวช้าๆ
เมื่อชายชราผมชาวและคนอื่นๆ ได้ยินถ้อยคำเหล่านั้น หัวใจของพวกเขาพลันหวาดหวั่น สาวงามในชุดสีน้ำเงินครุ่นคิดเล็กน้อย ก้าวไปข้างหน้าแล้วเอ่ยด้วยความเคารพ
“พวกข้าพร้อมรับคำสั่งจากผู้อาวุโสหาน ไม่มีบ่ายเบี่ยงอย่างแน่นอน”
คนอื่นอีกสามคนต่างผงกศีรษะตอบรับ
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะมอบหมายหน้าที่ให้ หลังจากที่พวกเจ้ากลับไปแล้ว ให้เลือกหนึ่งร้อยคนที่โดดเด่นที่สุดในบรรดาชนรุ่นหลัง ข้าจะพาพวกเขากลับไปเผ่าวิญญาณกับพวกเจ้าด้วย บอกพวกเขาด้วยว่า ข้าจะส่งคนกลับมาที่เสี่ยวหลิงเทียนอีกครั้งเป็นครั้งคราว แล้วจะนำศิษย์กลุ่มถัดไปที่มีคุณสมบัติโดดเด่นที่สุดออกไป เรื่องพวกนี้ ให้พวกท่านจัดการก็แล้วกัน” หานลี่สั่งโดยไม่เกรงใจ
“ผู้อาวุโสโปรดวางใจ พวกข้าจะจัดการเรื่องนี้อย่างเหมาะสม จะไม่ทำให้ผู้อาวุโสต้องผิดหวัง” ชายชราผมขาวรีบตอบรับ
“ดีมาก นอกจากนี้ ก่อนออกเดินทางกลับไปแดนวิญญาณ ข้าจะไปที่เขตอื่นๆ ของเสี่ยวหลิงเทียนเพื่อสั่งสอนเผ่าอื่นๆ สักเล็กน้อย ให้พวกเขาไม่กล้าที่จะมารุกรานเผ่ามนุษย์ ขณะเดียวกัน ก็จะทิ้งสมบัติสำคัญไว้ให้พวกเจ้าเพื่อที่แม้จะไม่มีผู้แข็งแกร่งระดับผสานอินทรีย์อยู่ใยเผ่า ก็ยังสามารถที่จะรับมือกับการรุกรานของคนต่างเผ่าได้ หากมีของพวกนี้สำรองไว้ แม้ว่าแดนนี้จะไม่มีผู้แข็งแกร่งเผ่ามนุษย์ ก็ไม่ต้องกังวลว่าเรื่องที่เผ่าอื่นๆ จะมารุกรานและจับเผ่ามนุษย์ไปเป็นทาสจะเกิดขึ้น” หานลี่อธิบายต่ออย่างไม่รีบร้อน
ผู้แข็งแกร่งเผ่ามนุษย์ตรงหน้าเมื่อได้ฟังคำพูดนี้ ทั้งตกใจและยินดี ต่างโค้งตัวตอบรับ ด้วยการเตรียมการนี้ เผ่าพันธุ์มนุษย์ในเสี่ยวหลิงเทียนสามารถกล่าวได้ว่าไร้กังวล
หลังจากผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านี้สอบถามหานลี่เกี่ยวกับการอพยพออกจากเสี่ยวหลิงเทียนอีกเล็กน้อย พวกเขาก็กล่าวอำลาและจากไป
ตั้งแต่ต้นจนจบ หนานกงหวั่นเพียงแค่นั่งอยู่ข้างๆ และยิ้มโดยไม่พูดอะไรสักคำ
เมื่อคนเหล่านี้จากไป นางก็ยิ้มหวานให้หานลี่
“สามี รอพวกเขาเลือกชนรุ่นหลังที่เหมาะสม เกรงว่าจะใช้เวลาไม่น้อยเลย ในระหว่างนี้ ข้าไปยังเขตอื่นๆ ของเสี่ยวหลิงเทียนกับท่านด้วยดีกว่า แม้ว่าข้าจะปิดด่านมาทั้งปี ทว่าก็คุ้นเคยกับเสี่ยวหลิงเทียนมากกว่าท่าน”
“ในเมื่อหวั่นเอ๋อร์เอ่ยเช่นนั้นก็ไม่มีปัญหา เดิมทีข้าก็คิดจะพาเจ้าไปด้วยอยู่แล้ว” หานลี่ตอบกลับด้วยรอยยิ้มบางๆ
…
สองวันต่อมา หานลี่ให้บรรพชนฮวาสือนำหุ่นเชิดกลุ่มหนึ่งไปจากเรือศักดิ์สิทธิ์วิญญาณน้ำหมึกเพื่อรวบรวมวัตถุดิบที่เป็นเอกลักษณ์ของเสี่ยวหลิงเทียน แล้วจึงพาหนานกงหวั่นไปจากเรือยักษ์เช่นเดียวกัน
จูกั่วเอ๋อร์ที่หนานกงหวั่นรับเป็นศิษย์อย่างเป็นทางการ ก็เฝ้าสังเกตการณ์อยู่ที่เรือยักษ์
ครึ่งเดือนต่อมา ท่ามกลางภูเขาไฟหลายลูกที่ปกคลุมไปด้วยหินหลายก้อน สิ่งมีชีวิตที่ร่างกายครึ่งบนเป็นมนุษย์ส่วนท่อนล่างเป็นสิ่งมีชีวิตประหลาดที่ร่างกายเกือบจะโปร่งแสงตัวหนึ่ง กำลังเคลื่อนตัวหลบหนีบางอย่างอย่างบ้าคลั่ง
ท้องฟ้าส่งเสียงคำรามเสียงดัง มือขนาดใหญ่สีทองที่ราวกับจะปกคลุมท้องฟ้าทั้งหมดโผล่ออกมา แล้วเคลื่อนตัวลงมาเรื่อยๆ ระหว่างนั้นก็มีเสียงสวดมนต์ภาษาสันสกฤตดังคลอไปด้วย แรงกดมหาศาลพุ่งลงมา
สัตว์ประหลาดที่เกือบจะโปร่งแสงด้านล่าง ตื่นตกใจในทันที รีบเคลื่อนตัวออกไปไกลกว่าร้อยจั้งด้วยความเร็วที่มากกว่านี้เป็นเท่าตัว
มือขนาดใหญ่ที่ค่อยๆ ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้าอย่างช้าๆ นิ้วทั้งห้ารวมเป็นหนึ่ง พร่าเลือนลงแล้วไปปรากฏขึ้นที่เหนือสิ่งมีชีวิตโปร่งแสง สายฟ้าผ่าลงจากนิ้วมือทั้งห้า
เสียงกรีดร้องดังขึ้น
แม้ว่าสิ่งมีชีวิตโปร่งแสงจะมีสมบัติปกป้องร่างกายมากมาย อีกทั้งยังมีร่างกายที่พิเศษ ทว่าภายใต้การโจมตีของมือยักษ์สีทอง พวกมันก็ล้วนแต่ไร้ประโยชน์ ราวกับตบแมลงวันให้หายไป
เสียง “ปึง” ดังขึ้น ฝ่ามือขนาดใหญ่กะพริบหายไป
ท้องฟ้าแปรปรวนเล็กน้อย เงาร่างของชายหนึ่งหญิงหนึ่งโผล่ออกมาเคียงข้างกัน
ที่แท้เป็นหานลี่และหนานกงหวั่น
หนานกงหวั่นที่ในเวลานี้มองไปยังวิญญาณศักดิ์สิทธิ์โปร่งแสงที่อยู่ด้านล่างด้วยอารามตกใจ
“นี่คือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในเผ่าวิญาณวายุ เขาเกือบจะก้าวผ่านประตูของมหาเมธี แต่ไม่สามารถต้านทานการโจมตีครั้งเดียวของท่านได้ ดูเหมือนว่าสามีจะไม่ใช่มหาเมธีทั่วไปจริงๆ สินะ ตอนนี้ข้าเชื่อคำพูดก่อนหน้านี้ของท่านโดยสมบูรณ์แล้ว”
“อย่างไรนะ แสดงว่าก่อนหน้านี้หวั่นเอ๋อร์ไม่ได้เชื่อคำพูดของข้าเลยน่ะสิ!” หานลี่มีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกเมื่อได้ยินเช่นนี้
“ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่สามีกล่าวนั้นไม่ใช่มหาเมธีธรรมดา อีกทั้งยังเก่งกาจถึงเพียงนี้ ด้วยพลังยุทธ์ของท่าน คงจะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของแดนวิญญาณล่ะสิ” หนานกงหวั่นถอนหายใจเบาๆ แล้วเอ่ยถามอีกครั้งด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ฮ่าๆ เรื่องนี้รอเจ้ากลับไปถึงแดนวิญญาณก็จะรู้เอง เอาล่ะ ไปกันเถอะ เป้าหมายต่อไป คงจะเป็น ‘กังจิ้น’ ผู้แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าตั๊กแตนยักษ์” หานลี่หัวเราะเสียงดัง เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
หนานกงหวั่นได้ยินเช่นนี้ก็มองหานลี่ด้วยแววตาว่างเปล่า ไม่พูดโต้ตอบอะไรกลับไปอีก
หานลี่สะบัดแขนเสื้อหนึ่งครั้ง หลังจากรัศมีแสงสีเงินม้วนออกมา ทั้งสองคนก็กลายเป็นลำแสงทะยานออกไป
…
หนึ่งเดือนต่อมา แมลงขนาดใหญ่ที่มีรูปร่างคล้ายกับตั๊กแตนสีเทาเขียวนับหมื่นตัวพุ่งออกมาจากม่านแสงสีเทาไม่หยุดราวกับสายธาร
ภายใต้การปกคลุมของม่านแสงสีเทา ภูเขาลูกเล็กสีดำที่สูงกว่าร้อยจั้ง ที่ยอดเขามีหานลี่และหนานกงหวั่นยืนเคียงข้างกัน
ที่ด้ายหลังสุดของเหล่าแมลงยักษ์ที่ดุร้าย เงาร่างหนึ่งที่มีขนาดใหญ่กว่าแมลงยักษ์ตัวอื่นสี่ถึงห้าเท่า มันคือแมลงประหลาดที่มีใบหน้าเป็นมนุษย์ กำลังมองไปที่หานลี่และหนานกงหวั่นที่อยู่ใต้ม่านแสงอย่างเคร่งเครียด
บนร่างกายของแมลงประหลาดตัวนี้มีแถบสีดำแปลกๆ ส่องประกายอยู่ไม่หยุด แมลงยักษ์ตัวอื่นได้รับอิทธิพลจากสิ่งนี้ และถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีเลือดจางๆ
“ความสามารถในการควบคุมเผ่าพันธุ์เดียวกันจำนวนมากในเวลาเดียวกันและกระตุ้นความแข็งแกร่งของพวกมันให้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาสั้น ๆ ถือเป็นอิทธิฤทธิ์ที่ไม่เลวเลย ทว่าวิธีการคุมฝูงแมลงนี้ไม่มีประโยชน์กับข้าเลยแม้แต่น้อย” เสียงของหานลี่ดังขึ้นเบาๆ จากม่านแสง
ตามมาด้วยเสียงฟ้าร้อง บอลแสงที่มีขนาดใหญ่เท่าห้องโผล่ออกมา ลอยขึ้นไปตามลม ก็ระเบิดออกด้วยเสียงสะเทือนเลือนลั่นไปทั่วผืนปฐพี
ทันใดนั้น เส้นใยสีทองเรียวยาวจำนวนนับไม่ถ้วนก็พุ่งออกมาจากการระเบิด หลังจากที่พวกมันพัวพันกัน ตาข่ายสีทองขนาดใหญ่ก็ร่วงลงมาจากท้องฟ้า ครอบคลุมฝูงแมลงยักษ์ด้ายล่างเกือบจะทั้งหมด
ได้ยินเพียงแค่เสียงฟ้าผ่าดังมาจากด้านในตาข่ายสีทอง แมลงยักษ์ทั้งหมดล้วนถูกลำแสงอัสนีแผดเผาจนเป็นเถ้าถ่านในทันที
ทว่าตั๊กแตนหน้าคนนั่นกลับส่งเสียงแหบต่ำออกมา อ้าปากพ่นก้อนของเหลวสีเขียวดำ ขึ้นไปยังม่านสายฟ้าที่อยู่เหนือศีรษะจนกลายเป็นรูขนาดใหญ่ และมีแสงทะลุผ่านรูนั้นไป
เสียง “ซ่า” ดังขึ้น
ปีกคู่หนึ่งงอกออกมาจากด้านหลังของตั๊กแตนตนนี้ โบกสะบัดอย่างรุนแรง ต้องการใช้เคล็ดวิชาลับเฉพาะตัวเพื่อหลบหนี
อากาศใกล้ๆ แมลงหน้าคนสั่นไหว กระบี่แสงสีเขียวพุ่งออกมา หลังจากกะพริบ ก็ฟาดฟันแมลงยักษ์ออกเป็นสองท่อนด้วยความเร็วที่คาดไม่ถึง
ตามมาด้วยการหมุนวนของกระบี่แสงนี้ แปรเปลี่ยนเป็นม่านแสงสีเขียวห่อหุ้มร่างกายทั้งสองท่อนของแมลงขนาดใหญ่ไว้ภายใน
เมื่อกระบี่สีเขียวสลายออก แม้แต่จิตวิญญาณดั้งเดิมของแมลงหน้าคนนี้เปลี่ยนเป็นหมอกสีเลือดแล้วสลายหายไปชั่วนิรันดร์
…
หนึ่งเดือนต่อมา ในเขตต้องห้ามของเผ่าเสี้ยวพระจันทร์ซึ่งเป็นเผ่าที่มีจำนวนประชากรมากที่สุดในเสี่ยวหลิงเทียน ผู้เฒ่าสามคนของเผ่านำคนนับหมื่นจัดตั้งเขตอาคมขนาดใหญ่โดยใช้ประโยชน์จากภูมิประเทศ เพื่อตั้งรับการโจมตีของหานลี่และหนานกงหวั่น
ผลลัพธ์คือเวลาผ่านไปไม่ถึงหนึ่งกาน้ำชา ก็ถูกพลังของหานลี่แต่เพียงผู้เดียวสังหารคนนับพันและทำลายเขตอาคมจนสิ้นซาก
ร่างเนื้อของผู้เฒ่าทั้งสามของเผ่าเสี้ยวพระจันทร์ก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ด้วยการโจมตีของหานลี่
…
สองเดือนต่อมา ในหนองน้ำที่เต็มไปด้วยแก๊สพิษและพืชเน่าเสีย ผู้เฒ่าแห่งเผ่านิทราราตรีที่รู้จักกันในนามว่าเป็นเผ่าที่ลึกลับที่สุดในเสี่ยวหลิงเทียน ได้แสดงเจตจำนงที่จะยอมจำนนต่อหานลี่และสาบานด้วยพิษของเขาว่าชั่วชีวิตนี้ จะไม่ออกจากหนองน้ำแห่งนี้แม้แต่ก้าวเดียว
…
ในเวลาไม่นาน หานลี่และหนานกงหวั่นได้เดินทางผ่านเขตของต่างเผ่าพันธุ์ทั้งหมดในเสี่ยวหลิงเทียน
บ้างก็สังหารผู้วิเศษของเผ่าพันธุ์ประหลาดเหล่านี้ลง บ้างก็ยอมจำนน ภายในระยะเวลาไม่นาน เผ่าพันธุ์ประหลาดทั้งหมด ต่างก็สั่นสะท้านราวกับจะถึงคราวอวสาน
หลังข่าวนี้ส่งมาถึงยังเผ่ามนุษย์ ย่อมยินดีเป็นอย่างมาก
ทุกวันนี้ เรื่องราวเกี่ยวกับหานลี่มหาเมธีมนุษย์ผู้มาจากต่างแดน เผ่ามนุษย์เกือบทุกคนได้ยินกันไปทั่ว แม้แต่เด็กสามขวบยังรับรู้เรื่องนี้บ้าง ในเวลานี้ หลังจากการแข่งขันที่ดุเดือดในการเลือกคนจากเผ่า ในที่สุดก็เลือกชนรุ่นหลังที่มีความสามารถโดดเด่นร้อยคนออกมาได้
สามเดือนต่อมา เมื่อเรือยักษ์สีดำเข้าสู่ทะเลสีเขียวอีกครั้ง เรือศักดิ์สิทธิ์วิญญาณน้ำหมึกไม่เพียงแต่บรรทุกพวกของหานลี่ แต่ยังมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์หลายคนและชนรุ่นหลังอีกกลุ่มหนึ่ง
เผ่าวิญญาณเขียวที่อยู่ในทะเลเขียว เลือกที่จะซ่อนตัวและไม่กล้าที่จะเข้าใกล้รัศมีหมื่นลี้โดยรอบเรือขนาดยักษ์
ท่ามกลางเสียงร้องคำราม ในที่สุดเรือยักษ์ก็หยุดอยู่เหนือต้นไม้ที่สูงตระหง่านเสียดฟ้า
หานลี่ที่อยู่ด้านหน้าเรือกวาดตาดูด้านล่างเล็กน้อย ร่ายคาถาบางอย่างด้วยมือข้าเดียว แล้ววาดมือลงไปยังอากาศเบื้องล่าง
ต้นไม้ขนาดใหญ่เกิดการสั่นไหวในทันที หลังม่านแสงสีจางม้วนตัวออกมา ทัศนียภาพทั้งหมดก็แปรเปลี่ยนไปในทันที
“ไปกันเถอะ ไม่รู้ว่าเมื่อใดจะได้มาที่นี่อีกครั้ง” หานลี่พึมพำราวกับบอกกับตัวเอง ใช้เท้าข้างหนึ่งกระทบพื้นเรือยักษ์เบาๆ
ทันใดนั้น เรือยักษ์สีดำส่งเสียงหวูดดังพุ่งทะลุอากาศ พุ่งเข้าสู่ม่านแสงสีจางด้านล่าง และหดตัวอย่างรวดเร็วระหว่างทาง ในที่สุดก็หันวับไปอย่างไร้ร่องรอยในชั่วพริบตา