A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน – ตอนที่ 2393 หายนะทางทิศตะวันออก

สองคนนี้คือลิ่วอี้และปิงเฝิงที่ถูกไล่ล่าโดยเซียนแท้ไปจนถึงแผ่นดินใหญ่อื่น

“เรื่องนี้ยังต้องเอ่ยถึงอีกหรือ เรื่องส่วนใหญ่ก็มาจากการร่วมมือกับสำนักโลหิตกระดูกเพื่อซุ่มโจมตีที่แผ่นดินใหญ่นภาสีเลือด ทำให้เขาพิโรธถึงเพียงนี้ ทว่าเรื่องมันผ่านไปแล้ว พูดไปก็ไม่มีประโยชน์ เจ้ามีแผนที่จะสลัดความหายนะที่ตามติดอยู่ด้านหลังหรือไม่ ในครานี้ เพียงไม่ถึงสองชั่วยามเขาก็สามารถไล่ตามพวกเราทัน” ปิงเฝิงตอบด้วยน้ำเสียงกรุ่นโกรธ

“หากยังมีหนทางอื่น เหตุใดข้าจะทำให้ตัวเองสูญเสียพลังปราณมากถึงเพียงนี้ ฮ่าๆ ดูเหมือนว่าครั้งนี้เจ้ากับข้าจะมีชะตากรรมร่วมกันแล้ว” ลิ่วอี้กล่าวช้าๆ

“เพ่ย ใครอยากมีชะตากรรมร่วมกับเจ้า เจ้ารีบนั่งสมาธิ ข้าจะใช้เคล็ดวิชาลับช่วยเหลือเจ้าอีกแรง” ปิงเฝิงส่งเสียงสบถเบาๆ

“พลังของเจ้าจะช่วยอะไรข้าได้” ลิ่วอี้ตกใจเล็กน้อยเมื่อได้ยิน

“แม้พลังยุทธ์ข้าจะด้วยกว่าเจ้า ทว่าตัวข้าก็เป็นลูกหลานของหงส์สวรรค์ห้าสี มีเคล็ดวิชาลับบางอย่างที่ติดตัวมาแต่กำเนิด ลึกลับเกินกว่าที่เจ้าจะจินตนาการได้” ปิงเฝิงกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ

“ในเมื่อเจ้ากล่าวเช่นนี้ เช่นนั้นข้าก็จะเป็นม้าที่มีชีวิตแต่ก็เหมือนตายไปแล้ว[1]” สีหน้าของลิ่วอี้เปลี่ยนไปเล็กน้อย สูดหายใจเข้าลึก

จากนั้นเขาก็นั่งสมาธิในหลุมขนาดใหญ่โดยทันที และหลับตาโดยไม่ลังเล

ปิงเฝิงถอนหายใจเบาๆ ร่างกายสั่นไหว ปรากฏขึ้นที่ด้านหลังของลิ่วอี้ แล้วนั่งขัดสมาธิเช่นเดียวกัน ปากอ้าออกพ่นไอความเย็นสีขาวออกมา ด้านในเป็นประกายระยิบระยับ ไข่มุกห้าสีขนาดเท่าหัวนิ้วมือค่อยๆ หมุนวนอย่างช้าๆ

หญิงสาวผู้นี้เปล่งเสียงต่ำ มือหนึ่งทำท่าทางร่ายคาถา ด้านหลังมีแสงระยิบระยับ ภาพมายาของหงส์ษาน้ำแข็งขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น

ภาพมายาหงส์ษาน้ำแข็งนี้เงยหน้าเปล่งเสียงร้องที่ชัดเขน ปีกทั้งสองด้านหลังสั่นไหว ทันใดนั้นเส้นใยแสงผลึกนับไม่ถ้วนก็หลังไหลออกมาจากร่างกายเข้าไปสู่ไข่มุกเม็ดกลมที่อยู่ตรงหน้า

ในชั่วพริบตา ไข่มุกก็ส่งเสียงดังสนั่น ชั้นของปราณแท้ที่หนาแน่นก็รวมตัวกันบนพื้นผิว ในชั่วพริบตามันก็ผันผวนอย่างเลือนราง กลายเป็นของเหลวบางอย่างที่มีความเหนียว

ในเวลานี้ ปิงเฝิงกัดฟันเคาะไข่มุกด้วยนิ้วมือหนึ่ง

เสียง “ฟิ้ว” ดังขึ้น

หลังไข่มุกสั่นคลอน ก็หายไปยังแผ่นหลังของลิ่วอี้ราวกับสิ่งที่มองไม่เห็น

จากนั้นปิงเฝิงบริกรรมคาถา มือทั้งสองข้างหมุนวนไปมาไม่มีหยุดราวกับล้อ ร่างกายปล่อยรัศมีแสงผลึก ใบหน้าก็ค่อยๆ โปร่งใส ทำให้หญิงสาวนางนี้เมื่อมองจากระยะไกลดูประหลาดเป็นอย่างมาก

ในเวลาเดียวกัน ลิ่วอี้รู้สึกถึงพลังที่วิ่งวนอยู่ที่หลังราวกับสิ่งมีชีวิต พลังปราณเย็นหลายสายวิ่งไปทั่วจุดชีพจรทั้งหมดในร่างกาย จากนั้นจึงกลายเป็นพลังปราณแท้นับไม่ถ้วนมาบรรจบกันที่จุดตันเถียน

เดิมที่จุดตันเถียนของเขาราวกับมีสิ่งสกัดกั้นไว้อยู่ เมื่อได้สัมผัสกับพลังปราณแท้พวกนี้ พลังของเขาก็ฟื้นคืนกลับมาในทันที เขารู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก

“นี่คือพลังแหล่งกำเนิด ที่แท้เจ้าก็สามารถถ่ายทอดพลังแหล่งกำเนิดให้แก่ข้าได้!” ลิ่วอี้อดไม่ได้ที่จะลืมตาขึ้นมากล่าวด้วยความตกใจและยินดี

“โชคดีที่เจ้าและข้ามีร่างกายที่มีฤทธิ์เย็นเหมือนกัน อีกทั้งแหล่งกำเนินพลังปราณก็ใกล้เคียงกัน มิเช่นนั้น แม้ข้าจะเต็มใจที่จะถ่ายเทพลังให้ด้วยตนเอง ก็ไม่สามารถทำได้” ปิงเฝิงกล่าวอย่างเรียบเฉย

“มีพลังที่เจ้าถ่ายเทให้ ภายในเวลาอันสั้นก็สามารถใช้เคล็ดวิชาลับหลบหนีได้อีกครั้ง ทว่าพลังยุทธ์ของเจ้าไม่สูง เกรงว่าคงใช้ได้เพียงไม่กี่ครั้ง พวกเราจำเป็นต้องคิดหาวิธีอื่นเพื่อจะกำจัดมัน” ดวงตาของลิ่วอี้เป็นประกายเย็นชาเอ่ยเหมือนมีความคิดบางอย่างอยู่ในหัว

“เจ้ามีความคิดอะไรอีก” ปิงเฝิงได้ยินดังนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไป

“เดิมทีข้ามีแผนที่จะยืมมือบุคคลที่สาม แต่ถูกเจ้าบ้านั่นไล่ตามติดจนเกินไป ไม่มีเวลาที่จะดำเนินการ ตอนนี้มีพลังของเจ้ามาช่วยยื้อเวลา ทำให้แผนนี้สามารถทำได้” ลิ่วอี้กล่าวโดยไม่ปิดบัง

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ยังลังเลอะไรอีก เจ้ารีบโคจรพลังปราณแท้ แล้วรีบดำเนินการเถิด” ปิงเฝิงเลิกคิ้ว กล่าวอย่างไม่เกรงใจ

“ฮ่าๆ เรื่องนี้ไม่ต้องให้ท่านนักพรตเตือนหรอก เมื่อพลังของข้ากลับคืนมาบางส่วน เราจะรีบไปยังเขตอาคมส่งตัวที่ใกล้ที่สุดโดยทันที จากนั้นก็รีบไปยังดินแดนที่นำโดยเผ่าเจี่ยวชือ ข้าได้สอบถามมาอย่างชัดเจนแล้ว เผ่าเจี่ยวชือถือเป็นหนึ่งในมหาอำนาจบนแผ่นดินใหญ่ฟ้าคำราม การดำรงอยู่ของมหาเมธีในเผ่านั้นหาได้ยากยิ่ง มีโอกาสที่จะเข้าไปพัวพันกับเจ้าเซียนแท้บ้านั่น” ลิ่วอี้กล่าวโดยไม่ต้องคิด

หนึ่งเดือนต่อมา เมืองไก้หลิงซึ่งเป็นหนึ่งในเหมืองหลักของเผ่าเจี่ยวชือถูกจมโดยแม่น้ำโลหิตที่ไหลโดยไม่มีที่สิ้นสุด

ผู้คนในเผ่าเจี่ยวชือนับไม่ถ้วนต่างดิ้นรนและตะโกนร้องขอชีวิตในแม่น้ำโลหิต แต่ก็ไม่มีประโยชน์ ทำได้เพียงจ้องมองร่างของตนเองละลายไปทีละนิดจนหายไปในแม่น้ำ

บนท้องฟ้าเหนือแม่น้ำโลหิต ชายหนุ่มร่างผอมผู้หนึ่งลอยตัวอยู่ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

ข้างกายเขาคือซากศพของมหาเมธีเผ่าเจี่ยวชือ ลอยอยู่ที่นั่นเช่นเดียวกัน

หนึ่งในร่างที่ดูสมบูรณ์ กะโหลกศีรษะถูกบางสิ่งเปิดออก ภายในว่างเปล่า เป็นเพราะปราณก่อกำเนิดได้ถูกขุดออกไปแล้ว

ทันใดนั้นมีเสียงฟ้าร้องดังกึกก้องมาจากที่ไกลๆ เมฆสีเขียวหลั่งไหลออกมากลายเป็นทะเลหมอกเคลื่อนตัวมาทางนี้

ชายหนุ่มร่างผอมไม่แสดงสีหน้าใดเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่หันไปมองทะเลหมอกอย่างไม่ใส่ใจ

เสียงฟ้าร้องดังขึ้น

ทันทีที่ทะเลหมอกสีเขียวเคลื่อนตัวมาใกล้แม่น้ำโลหิต พวกมันก็ควบแน่นแล้วกลายเป็นมารสีเขียวที่มีความสูงพันจั้ง

ศีรษะมีเขาเดียว ผิวปกคลุมไปด้วยดวงตามารสีเขียว มือข้างหนึ่งถือของวิเศษที่เป็นเจดีย์ทองคำ

“ผู้ใดกล้าที่จะทำการสังเวยโลหิตในเมืองไก้หลิง ไม่กลัวที่จะถูกเผ่าของพวกข้าฉีกกระฉากเป็นชิ้นๆ หรือ นอกจากนี้นักพรตเทียนเซี่ยงที่ปกป้องเมืองนี้อยู่ที่ใดกัน เหตุใดจึงปล่อยให้เจ้าทำเรื่องเช่นนี้ได้ง่ายถึงเพียงนี้” ดวงตามารนับพันบนตัวของโกเลมสีเขียวกวาดตามองด้านล่างเล็กน้อย ก็ส่งเสียงคำรามดังโดยทันที

“เทียนเซี่ยง? เจ้าหมายถึงชายที่อยู่ด้านหน้าของข้าหรือ” ชายร่างผอมชี้ไปที่ซากศพที่กะโหลกศีรษะเปิดอ้าอยู่ แล้วเอ่ยขึ้นเบาๆ

“เป็นไปไม่ได้ นักพรตเทียนเซี่ยงพลังยุทธ์สูงส่ง อีกทั้งด้วยความช่วยเหลือของเขตอาคมเมืองไก้หลิง จะมีจุดจบเช่นนี้ได้อย่างไร!” ลูกตาบนร่างของโกเลมสีเขียวกรอกไปมาอย่างบ้าคลั่ง เสียงแห่งความโกรธแค้นดังขึ้นจากมัน

“เจ้าไม่ต้องตกใจไป หากเจ้าไม่ส่งมอบคนสองคนที่ข้าต้องการ เจ้าเองก็จะมีจุดจบเช่นเดียวกับเขา” ชายหนุ่มร่างผอมเอ่ยอย่างไม่รีบร้อน จ้องมองไปทางโกเลมสีเขียวราวกับสิ่งไม่มีชีวิต

“สองคนไหนกัน” โกเลมสีเขียวประหลาดใจเล็กน้อย

“สองคนนี้ เจ้าเคยเห็นมาก่อนหรือไม่” ชายหนุ่มร่างผอมสะบัดนิ้ว ทันใดนั้นม้วนกระดาษก็ลอยออกมาจากแขนเสื้อ แล้วคลี่ออกอย่างช้าๆ

ในนั้นมีภาพเสมือนของลิ่วอี้และปิงเฝิงปรากฏอยู่

“นี่ไม่ดูเหมือนไม่ใช่คนของเผ่าเจี่ยวชือของพวกเรา ผู้เฒ่าจะไปเคยเห็นได้อย่างไร พวกเขากับเจ้ามีความเกี่ยวข้องอย่างไร เหตุใดไม่ไปสอบถามกับเผ่าของพวกเขา” หลังดวงตาบนร่างกายของโกเลมสีเขียวจ้องมองภาพนั้น ก็เอ่ยตอบกลับมา

“ข้ามิใคร่พอใจในคำตอบนี้เท่าใด ตอนนี้เป็นข้าที่ถามเจ้าก่อน ไม่ใช่ข้าที่ต้องตอบคำถามเจ้า ในเมื่อไม่รู้ เช่นนั้นข้าจะให้เวลาเจ้าสามวัน นำตัวสองคนนี้มาให้ข้า หากทำไม่ได้ ข้าก็จะสังเวยโลหิตเผ่าพันธุ์ของเจ้าทั้งหมดต่อไป” ชายหนุ่มร่างผอมไม่โมโหเมื่อได้ยินคำพูดนั้น ดึงม้วนกระดาษใส่กลับเข้าไปในแขนเสื้อของเขาอีกครั้ง แล้วเอ่ยอย่างไม่รีบร้อน

“ต้องการสังเวยโลหิตเผ่าพันธุ์ของข้า ฮ่าๆ คำพูดน่าขันนี่เป็นครั้งแรกที่ผ็เฒ่าเคยได้ยิน ข้าบอกเจ้าตามตรง อย่าว่าแต่ข้าไม่รู้จักสองคนนี้เลย ต่อให้รู้จักข้าก็ไม่มอบพวกเขาให้เจ้าหรอก” ดวงตาของโกเลมสีเขียวหรี่ลง เอ่ยด้วยเสียงหัวเราะอันเกรี้ยวโกรธ

“ในเมื่อพูดกันดีๆ แล้วไม่ยอมทำตาม เช่นนั้นก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของการสังเวยโลหิตเสียเถิด” ชายหนุ่มร่างผอมได้ยินคำพูดนี้ มุมปากก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มประชดประชัน

สิ้นเสียง ไม่รู้ว่าชายหนุ่มใช้วิธีการใด แม่น้ำโลหิตด้านล่างส่งเสียงกึกก้อง สายน้ำหลายสิบสายม้วนตัวขึ้นมาจากแม่น้ำพุ่งตัวไปทางโกเลมสีเขียว

โกเลมสีเขียวย่อมไม่ยอมจำนน ตะโกนเสียงดังทันที เจดีย์สีทองในมือถูกโยนไปยังฝ่ายตรงข้ามในทันที หลังจากนั้นก็ขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่าพุ่งตรงไปกดชายหนุ่มเอาไว้ภายใต้ ในเวลาเดียวกันดวงตามารนับไม่ถ้วนก็ส่องประกาย แสงสีเขียวพุ่งออกมาอย่างหนาแน่น พุ่งตรงไปเจาะทะลุสายน้ำเลือดจนเป็นรู

ชั่วขณะหนึ่ง กลิ่นอายสีเขียวควบแน่นเหนือแม่น้ำโลหิต เสียงดังกึกก้องขึ้น!

ทว่าการต่อสู่ที่ดูเหมือนจะดุเดือดนี้ไม่ได้กินเวลานานสักเท่าไหร่

หลังจากเกิดเสียงดังกึกก้อง หมอกสีเขียวทั้งหมดก็ถูกพลังที่มองไม่เห็นสลายหายไป โกเลมที่อยู่ด้านในก็สลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย เหลือเพียงเศษผลึกหินสีเขียวนับไม่ถ้วนที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วพื้นดิน

ในทางกลับกัน ในมือของชายหนุ่มร่างผอมมีลูกบอลแสงสีเขียวอ่อนอยู่หนึ่งลูก ด้านในมีคนตัวเล็กที่มีเขาเดียวกำลังดิ้นรนเอาชีวิตรอดอย่างหวาดกลัว ทว่าก็ไม่สามารถออกมาจากบอลแสงนี้ได้

หลังจากที่ชายหนุ่มมองเข้าไปในดวงตาของคนร้ายในลูกบอลแสง ใบหน้าของเขามีรอยยิ้มป่าเถื่อน และสอดนิ้วเข้าไปที่หัวของจอมวายร้ายที่มีเขาเพียงคนเดียวอย่างแม่นยำ

คนตัวเล็กกรีดร้องทันที หลังจากที่ร่างกายกระตุกอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวในลูกบอลแห่งแสงได้อีกต่อไป

หลังเวลาผ่านไปหนึ่งกาน้ำชาเต็มๆ ชายหนุ่มดึงนิ้วออกมาจากบอลแสง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็โยนลูกบอลแสงในมือลงไปยังแม่น้ำโลหิตเบื้องล่าง กลายเป็นแสงสีทองพุ่งหายไปยังแม่น้ำโลหิต

เวลาต่อมา แม่น้ำโลหิตส่งเสียงดังออกมา สายน้ำปั่นป่วนถาโถมไปยังทิศทางหนึ่งพร้อมด้วยเลือดและซากศพจำนวนมาก

ในเวลาเดียวกัน ในที่ที่ห่างออกไปหลายหมื่นลี้ ชายหญิงชาวเจี่ยวชือที่ดูธรรมดาสองคนกำลังพุ่งตัวออกไปยังเมืองใหญ่อีกเมืองที่อยู่ไม่ไกลของเผ่าเจี่ยวชืออย่างรวดเร็ว

“ไม่คิดเลยว่าวิธีนี้จะได้ผลจริงๆ เจ้าเซียนแท้บ้านั่นเมื่อมาถึงเมืองไก้หลิงเขาก็ทำการสังเวยโลหิตทั้งเผ่าพันธุ์โดยไม่พูดไม่จา แม้แต่มหาเมธีเผ่าเจี่ยวชือที่ปกป้องเมืองนั้นก็ล้วนโดนสังหารแล้วขุดเอาปราณก่อกำเนิดออกมา” หญิงสาวเผ่าเจี่ยวชือถอนหายใจแล้วเอ่ยขึ้น

[1] ม้าที่มีชีวิตแต่ก็เหมือนตายไปแล้ว เป็นการเปรียบเปรยว่ารู้ว่าบางสิ่งสิ้นหวัง แต่ยังคงยึดมั่นในความหวังริบหรี่และพยายามกอบกู้มัน โดยปกติยังหมายถึงความพยายามครั้งสุดท้าย

A Record of a Mortal s Journey to Immortality

A Record of a Mortal s Journey to Immortality

Fan Ren Xiu Xian Chuan, Phàm Nhân Tu Tiên, RMJI, 凡人修仙传
Score 8
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2008 Native Language: Chinese
เจ้าบื้อที่สอง หานลี่ เด็กหนุ่มธรรมดาสามัญผู้ได้รับวาสนาให้ไปเข้าทดสอบเป็นศิษย์ในสำนักเล็กๆ แห่งหนึ่ง ทำให้เขาได้รู้จักกับโลกใบใหม่ที่หนุ่มน้อยชนบทอย่างเขาใฝ่ฝันอยากสัมผัสกับมันมาโดยตลอด ในโลกแห่งเซียน เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรต่างฝึกฝนค้นหาเส้นทางเพื่อก้าวเข้าสู่ความเป็นนิรันดร์ ทว่าเส้นทางที่แม้กระทั่งผู้บำเพ็ญเพียรซึ่งมีพรสวรรค์สูงส่งแต่กำเนิดยังต้องผ่านความยากลำบากเท่าไหร่กว่าจะไปถึงจุดนั้น แล้วเด็กหนุ่มปุถุชนเช่นเขาจะทำได้หรือ? ด้วยความสามารถอันธรรมดาสามัญของเขาจะเอาตัวรอดในโลกแห่งเซียนนี้ไปได้อย่างไร? เส้นทางแห่งความสำเร็จช่างอยู่ห่างไกลเสียเหลือเกิน… คัมภีร์วิถีเซียนเป็นนิยายจีนย้อนยุคเล่าเรื่องการเดินทางอันน่าติดตามของหานลี่ ผู้ต้องใช้ทั้งไหวพริบและพลังยุทธ์ในการฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ด้วยตัวคนเดียว มาร่วมเดินทางไปกับหานลี่ ผู้เย้ยฟ้าท้านรกเพื่อแสวงหาเส้นทางแห่งการเป็นเซียนด้วยกันเถอะ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset